ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 553
“นักแสดงอะไร?” สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาด้วยท่าทีเอียงอายและงุนงง “เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าไม่เร็วไม่ช้า ยิ้มแล้วพูดว่า “นักแสดงที่ดี ไม่ใช่แค่เรียนรู้การจำแนกฉากเหตุการณ์และช่วงเวลาต่างๆ เท่านั้น แต่ยิ่งต้องเรียนรู้การควบคุมสายตาของตัวเองด้วย! ตอนที่เจ้าพร่ำพรรณนาความรักกับคนผู้หนึ่ง สายตาต้องมีความรักลึกซึ้งและร้อนแรง ต้องรู้ว่าการกลอกตาของเจ้าแต่ละครั้งต่างหมายถึงการแบ่งแยกสมาธิเล็กๆ ครั้งหนึ่งของเจ้าด้วย เช่นนั้นจะทำร้ายการแสดงของเจ้าอย่างรุนแรง…เจ้าดูข้า…”
อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าบนใบหน้าของโจรต้าหัวประดับรอยยิ้มบาง จ้องตนเองเขม็ง! ดวงตาของเขากระจ่างสุกใสดุจสายน้ำ นัยน์ตาดำขลับสะท้อนเงาร่างอันงดงามร่างหนึ่ง สายตาและการกระทำนั้นเป็นธรรมชาติราวกับสายลมแผ่วเบาซึ่งพัดผ่านใบหน้า เต็มไปด้วยความรู้สึกและมุ่งมั่น!
“เจ้า เจ้าทำอะไร?!” อวี้เจียเริ่มประหวั่นลนลาน เสียงใจเต้นตึกตักได้ยินอย่างชัดเจน!
“ข้ากำลังสอนเจ้าแสดงละคร!” หลินหว่านหรงจ้องดวงหน้าอันงดงามของนาง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อเจ้าอยู่หน้าคนที่เจ้าชอบ เจ้าใจเต้นได้ เสียงสั่นได้ แต่สายตาต้องแน่วแน่ ร้อนแรง ให้เขารู้สึกถึงความรู้สึกอันล้ำลึกดั่งห้วงมหาสมุทรของเจ้า นั่นคือความจริงใจไม่มีสิ่งใดเทียมเทียมได้…อย่างเช่นข้าในตอนนี้…”
แสงจันทร์กระจ่างประดุจวารี สาดส่องลงเบื้องหน้าหน้าต่างอย่างเงียบงัน ทุ่งหญ้าเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจของหญ้าเขียวชอุ่ม! เจ้าโจรยิ้มพลามองนาง น้ำเสียงผ่าเบาอ่อนโยนเป็นเหมือนดั่งยันต์สะกดจิต!
ใบหน้าของทั้งสองคนใกล้แค่คืบ ดวงตาทั้งสี่จ้องประสาน ราวกับว่าแม้แต่ลมหายใจก็ยังหลอมรวมกัน! มองดูดวงตา “ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยความรักอันล้ำลึก” ของเขาคู่นั้น ลมหายใจของสาวน้อยทูเจวี๋ยติดขัด อกงามหอบกระชั้นถี่เป็นระยะ นางรีบเบือนหน้าไป กล่าวอย่างมีน้ำโหด้วยใบหน้าแดงก่ำ “โจรต่ำช้า เจ้าอย่ามาใช้วิชามารกับข้า! ข้าไม่ยอมจำนนแน่!”
“วิชามาร?!” หลินหว่านหรงส่ายหน้า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ายกย่องข้ากินไปแล้ว! กลับเป็นเจ้าเสียอีก ใช้วิชาเช่นนี้กับข้ามาตลอดทาง จำนวนครั้งข้านับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว!”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย!” อวี้เจียแค่นเสียงฮึ่มๆ เบาๆ น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนระโหยยิ่งนัก!
หลินหว่านหรงร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง สายตาร้อนแรง แย้มยิ้มพลางมองนาง! อวี้เจียถูกเขามองจนใจสั่น สองแก้มอดที่จะแดงซ่านไม่ได้ รีบเบือนหน้าหนีไป ตำหนิเสียงเจื้อยแจ้วออกมาเบาๆ “มองข้าทำไม?! โจรผู้ต่ำช้า!”
ตราบาปเรื่องเป็นโจรของข้านี้ดูท่าทางคงล้างไม่ได้เสียแล้ว หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า ตบศีรษะอวี้เจียเบาๆ “ยังคงเป็นคำพูดเดิมนั้น น้องสาว เป็นคนต้องบริสุทธิ์ใจเสียหน่อยนะ!”
“ข้าจะบริสุทธิ์ใจหรือไม่บริสุทธิ์ใจต้องให้เจ้ามายุ่งด้วย!” สาวน้อยทูเจวี๋ยยิ้มหยันพลางประชดกลับ “พูดจาปาวๆ ว่าข้าแสดงละคร ข้าว่านะ เจ้าต่างหากล่ะที่แสดงละครเก่งที่สุด! เจ้ามีชีวิตอยู่ก็เพื่อแสดงละคร!! ถุย โจรถ่อยต่ำช้า อัวเหล่ากงผู้ต่ำช้า!”
มองดูท่าทางโมโหเดือดดาล ด่าทอผรุสวาสใหญ่โตของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับตอนที่นางเจ้าเล่ห์และยวนเสน่ห์แล้วก็ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป! หลินหว่านหรงหัวเราะเสียงดัง “แม่นางอวี้เจีย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมองธาตุแท้ของข้าออกเร็วถึงเพียงนี้! เจ้าพูดไม่ผิด ชีวิตของข้าเดิมทีก็คือละครฉากหนึ่ง! น่าเสียดาย เจ้าไม่มีวันดูเข้าใจไปตลอดกาล!”
เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ในรอยยิ้มแฝงความอ้างว้างอยู่บ้าง!
“ทุเรศ!” เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าโจรผู้นี้ก็รู้สึกว่าขัดหูขัดตามากเป็นพิเศษ สาวน้อยทูเจวี๋ยก้มหน้าลงพร้อมเปล่งเสียงด่าออกมาเบาๆ!
ภายในกระโจมเงียบสงัดไปชั่วขณะ สองคนต่างไม่เอ่ยวาจา! แสงจันทร์สีเงินสาดกระทบกระโจม เปล่งประกายเรืองรองเย็นเยียบ!
อวี้เจียเดิมทีไม่อยากสนใจเขา ทว่าจนใจที่ในกระโจมก็มีกันอยู่แค่สองคน ข้างกายมีคนนั่งอยู่ผู้หนึ่ง แล้วนางจะหลับได้อย่างไรกัน! นางช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าเจ้าโจรนั่นไม่รู้นั่งลงบนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือไม่รู้ว่าเอาจดหมายมาจากที่ใด เขามองจดหมายในมือด้วยใบหน้าอมยิ้ม นิ่งและเหม่อลอย! แสงจันทร์สาดส่องลงบนจดหมาย สิ่งที่วาดบนกระดาษจดหมายแผ่นนั้นกลับเป็นสตรีที่มีเรือนร่างอันอรชรอ้อนแอ้นนางหนึ่ง บ้างเคลื่อนไหวบ้างสงบนิ่ง บ้างหัวเราะบ้างขมวดคิ้ว งดงามเหลือเกิน! เจ้าโจรถูจดหมายฉบับนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ดวงตาทอประกาย น้ำลายไหลยาวออกมาสามนิ้ว!
สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงเหอะเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวอย่างดูแคลน “สมกับเป็นคนต่ำช้า ไม่รู้ว่าไปแอบขโมยภาพเหมือนของสตรีบ้านใด เอารัดเอาเปรียบผู้คนเช่นนี้?!”
“น้องสาวอย่างเจ้านี้กลับสอดมากนักนะ ข้าดูแล้วลูบภาพเหมือนของเมียข้าสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครา เก็บจดหมายจากทางบ้านกลับเข้าไปในอก จากนั้นจึงหยิบผืนผ้าเปื้อนเลือดผืนหนึ่งติดมือออกมา ค่อยๆ คลี่ออกแล้วแกว่งอยู่ตรงหน้าอวี้เจีย!
เยวี่ยหยาเอ๋อร์พอเห็นก็นิ่งอึ้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ทันที “นี่ นี่คือภาพเหมือนของข้า เจ้าไปเอามาจากที่ไหน?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางกะพริบตา เก็บผ้าผืนนั้นอย่างแช่มช้า “จะเอามาจากที่ไหนเจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าแค่มาแจ้งข่าวให้สักหน่อย…คุณหนูอวี้เจีย คนในเผ่าเจ้าคิดถึงเจ้ามากนะ! พวกเขาต่างอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าถึงจะกลับไปราชสำนักทูเจวี๋ยได้เสียที?!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำหมัดแน่น สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ชาวต้าหัวต่ำช้า อย่าคิดเพ้อฝันว่าจะได้อะไรจากปากข้าเลย อวี้เจียไม่มีทางยอมจำนนต่อหมาป่าชั่วร้ายเช่นเจ้าแน่!”
“เจ้าไม่ตอบ…หรือว่าข้าจะเดาไม่ได้?!” หลินหว่านหรงโบกมือโดยไม่แยแส กล่าวระคนหัวเราะ “ผู้ที่มาจากราชสำนัก ทั้งมีความรู้ หน้าตาก็สะสวย แถมยังมีจิตรกรวาดภาพเหมือนให้เจ้า สถานะจะต้องไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่องค์หญิงก็ต้องเป็นต๋าต่าอะไรนั่น ข้าพูดถูกหรือไม่?!”
อวี้เจียดวงตาสงบนิ่งดั่งวารี มุมปากผุดรอยยิ้มประชด “เจ้าไม่ใช่คนที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดของต้าหัวหรอกหรือ แม้แต่ลายมือก็ยังนับได้ชัดเจน ยังจะมาถามข้าอีกทำไม”
ความหนักแน่นมั่นคงของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หลินหว่านหรงรับรู้มาตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นนางมีสายตาเรียบเฉย ปราศจากความตื่นตกใจ คำพูดปราศจากพิรุธใดๆ จึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย! เขาผงกศีรษะพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ไม่รีบๆ อย่างไรเสียเวลายังอีกยาวไกล ที่ข้ามีก็คือเวลา! พวกเราค่อยๆ ใช้ไปก็ได้ ไม่แน่ว่ายังต้องใช้เวลาจนมหาสมุทรแห้งผากศิลาแหลกสลาย ตราบชั่วฟ้าดินสลายก็ได้นะ…” เขานำผ้าที่อยู่ในมือส่งให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ “นี่ คืนให้เจ้า!”
“คืนข้า?!” อวี้เจียตกใจ มองเขาอย่างอึ้งๆ หลายครั้ง “คืนให้ข้าจริง?! เจ้าจิตใจดีขนาดนี้เชียว?!”
“ไม่คืนให้เจ้าแล้วจะทำอะไรได้อีก?!” หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ถืออยู่ในมือข้า เจ้าต้องนึกว่าข้าคิดไม่ซื่อ ต้องการกระทำมิดีมิร้ายกับเจ้าแน่! คืนให้เจ้าจะดีกว่า ข้าจะได้โล่งอกอยู่อย่างสบายใจ!”
ดวงหน้างามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แดงแล้วแดงอีก ก้มหน้าลงไป กำผ้าผืนนั้นแน่น!
ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ช่างมีเสน่ห์น่าลุ่มหลงอยู่บ้างจริงๆ! หลินหว่านหรงส่ายหน้า ตบศีรษะนางเบาๆ หลายครั้ง “ดึกแล้ว ข้าต้องออกไปทำงานแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เร็วสักหน่อยเถอะ! อย่าลืมนับเส้นลายมือล่ะ ดูสิว่าเจ้ามีความทุกข์มากเท่าใด แล้วยังมีความสุขอีกเท่าใด ในหนึ่งชีวิตของคนเราก็มีแค่นี้ล่ะ…เอ๊ะ เจ้าจ้องข้าทำไม?!”
อวี้เจียริมฝีปากขมุบขมิบหลายครั้ง ในที่สุดก็แค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาออกมา “ข้าว่าเจ้ากำลังแสดงละครอยู่ใช่หรือไม่ ลายมือนั่นใช้งานได้เช่นนั้นจริงหรือ?!”
“ไม่ต้องสงสัย! คิดให้น้อยหน่อย จริงใจให้มากหน่อย!” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบเฉย “เมื่อมองจากสันดานคน นอกจากความขัดแย้งทางชนชาติ ข้ากับเจ้าเนื้อแท้หาได้แตกต่างกันเลย!”
อวี้เจียครุ่นคิดอยู่นาน รู้สึกว่าในคำพูดของเขาแฝงความหมายมากมายเหลือเกิน ทำให้ตนเองผู้ฉลาดหลักแหลมก็ไม่อาจรับรู้ไปชั่วขณะ! เห็นเขาย่างก้าวออกไปนอกกระโจม สาวน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ร้องเรียกเบาๆ ขึ้นมา “อัวเหล่ากง”
“หืม?!” เจ้าโจรยิ้มพลางหันหน้ากลับมา “ข้าชอบฟังเจ้าเรียกชื่อข้ามากที่สุดแล้ว น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าเรียกชื่อข้าทำไมหรือ?!”
เจ้าคนนี้เปลี่ยนสีหน้ายังเร็วกว่าพลิกตำราเสียอีก! เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าอยากเรียนภาษาทูเจวี๋ยจริง ข้ายินดีสอนให้ ยิ่งไปกว่านั้น รับรองว่าสำเนียงแข็งกระด้างของลูกน้องเจ้าจะดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า!”
“ขอบใจ!” หลินหว่านหรงโบกมือโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “เจ้าก็รู้ ข้าเป็นคนที่แสดงละครเป็น อย่าถือคำพูดข้าเป็นจริงมากเกินไปเลย…ภาษาทูเจวี๋ยและสตรีทูเจวี๋ย ข้าไม่สนใจเลยสักนิด!”
“ปัง” เสียงดังเบาๆ อยู่ข้างหลังคราหนึ่ง ดังชัดเจนเป็นพิเศษท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบเหงาทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน! เขาหันหน้ากลับไป เห็นว่าภาพเหมือนเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผืนนั้นหล่นอยู่บนพื้นข้างหลังตนเอง อวี้เจียที่นอนอยู่บนเตียงสองตาสาดประกายเย็นเยียบ สีหน้าเย็นชาประดุจเหล็กกล้า!
สองมือของนางมัดอยู่ด้วยกัน แต่กลับโยนภาพเหมือนมาไกลขนาดนี้เชียว?! หลินหว่านหรงมองจนตาโตอ้าปากค้าง! อวี้เจียมองเขาอย่างเดือดดาล ตาไม่กะพริบ ขนตายาวคล้ายหมอกพิรุณเดือนสามท่ามกลางแสงจันทร์อันเย็นเยียบ!
แสดงละคร! ต้องแสดงละครอยู่แน่! หลินหว่านหรงใจสั่นสะท้าน รีบหนีออกมาจากกระโจม!
ฝีเท้าของเขาเร็วรี่ เพิ่งจะเลิกผ้าม่านขึ้นก็รู้สึกว่าที่ประตูมีขุนเขาใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่สองลูก พลันหลบไม่ทัน กลับกระแทกไปตรงๆ และร้อง “โอ๊ย!” ด้วยความตกใจ! ร่างแข็งแรงกำยำสองร่างล้มลงบนพื้นอย่างแรง เจ็บยิ่งนัก!
“พี่เกา พี่หู พวกท่านมาทำอะไรที่นี่?!” เมื่อเห็นเจ้าคนลามกสองคนที่นอนอยู่บนพื้น หลินหว่านหรงก็ทั้งโมโหทั้งรู้สึกขบขัน!
เกาฉิวนวดก้นพลางยืนขึ้นมาจากพื้น ยิ้มประจบพลางพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรๆ ราตรีช่างงดงามเสียเหลือเกิน ข้านอนไม่หลับ เลยนัดหูปู้กุยออกมาคุยความในใจกัน ใช่ไหม เหล่าหู?!”
เขาแอบบีบเหล่าหูหลายครั้ง หูปู้กุยหน้าแดงก่ำ รีบเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ใช่ๆ คุยความในใจขอรับ!”
“อ้อ กลางดึกคนเงียบสงัด มาคุยความในใจที่ประตูหน้ากระโจมข้า…” หลินหว่านหรงผงกศีรษะรับรู้ทันที กล่าวโดยยิ้มแต่เปลือกนอก “พี่ชายทั้งสองช่างมีอารมณ์สุนทรีจริงนะ…”
น้องหลินเป็นใครกัน?! นั่นเป็นโคตรของคนที่ฉลาดเป็นกรด! เกาฉิวย่อมรู้ดีว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ ดังนั้นจึงรีบหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่จริงคุยความในใจเป็นเรื่องรอง เรื่อหลักของพวกเราคือต้องการฟังว่าน้องหลินจะแสดงแสนยานุภาพ สยบเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้เช่นไร!”
“ใช่ๆ เหล่าเกาพูดไม่ผิด พวกเรามาเพื่อฟังเรื่องบนเตียงขอรับ!” เหล่าหูรีบพูดเสริมตามความสัตย์จริงทันที!
“อ้อๆ ที่แท้ก็ฟังเรื่องบนเตียง!” หลินหว่านหรงแยกเขี้ยว “เช่นนั้นพี่ชายทั้งสองได้ยินอะไรบ้างล่ะ?”
เกาฉิวหัวเราะลามก “ยังรุนแรงกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก น้องหลินกำลังวังชาเปี่ยมล้น ฝีมือช่างสูงส่งล้ำเลิศ ทำให้คนติดเบ็ดแล้วยังไม่รู้ตัว! สมกับเป็นผู้ที่เน้นเรื่องความรู้สึก ใช้กำลังเป็นเรื่องเสริม นับถือ นับถือ!”
“ติดเบ็ดไม่ติดเบ็ดอะไรกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา “จินตนาการข้าจนเป็นคนเช่นไร?! พี่เกา เป็นคนต้องจิตใจบริสุทธิ์!”
เกาฉิวส่งเสียงอืม สีหน้าจริงจังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “บริสุทธิ์แล้วสยบม้าพยศได้ด้วย? หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนข้าก็ไม่มีวันเชื่อแน่นอน! แต่วันนี้พอฟังเรื่องบนเตียงเสร็จ ข้าถึงตระหนักขึ้นมาได้ทันที ขอเพียงน้องหลินออกโรง ความบริสุทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นอนาจาร อนาจารเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ได้! น้องหลินการวิจารณ์การแสดงละครอันสูงส่งครั้งนี้ ช่างทำให้คนขนหัวตั้ง…โอ๊ะ ไม่ใช่ ชื่นชมยิ่งนัก! วิธีการสูงส่ง ถือเป็นการใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง ลงมือยอดเยี่ยมทุกกระบวนท่า ปราศจากร่องรอย น่าเสียดายที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ดูถูกคนแสดงละคร แต่ตัวเองตกอยู่ในการแสดงแล้วยังไม่รู้ตัวอีก! สมกับคำที่ว่า ผู้ที่ต้องการควบคุมคนกลับถูกคนควบคุม น่าขัน น่าทอดถอนใจ! ทีเพียงน้องหลินที่ปล่อยตัวปล่อยใจไม่ยึดติด ดูเหมือนไม่ได้แสดง แต่กลับมีการแสดงอยู่ทุกที่ แล้วจะใช้คำว่าสูงส่งแค่คำเดียวได้อย่างไร!”
มีการแสดงไม่แสดงอะไรกัน เหล่าเกาวกไปวนมา ทำเอาหูปู้กุยวิงเวียน! หลินหว่านหรงหัวเราะ “พี่เกาคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไหนเลยจะเป็นคนชั่วร้ายขนาดนั้น! ก็แค่ผู้อื่นต้องการทำกับข้าเช่นไร ข้าก็ย้อนคืนกลับไปเช่นนั้นก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจ!”
เมื่อทั้งสองคนหัวเราะเสร็จแล้ว หูปู้กุยถึงพูดว่า “ท่านแม่ทัพ หน่วยลาดตระเวนหลายสายที่ส่งไปฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่าก่อนหน้านี้เพิ่งกลับมาส่งข่าว พวกเขาหาสถานที่ตั้งของทั้งสองแห่งได้แล้ว! จริงดังคาด ชนเผ่านอกด่านสองดินแดนนี้ยังรักษากำลังทหารส่วนใหญ่เอาไว้ ชายฉกรรจ์มากถึงสี่พักว่าคนขอรับ!”
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ผงกศีรษะแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกมันน่าจะกำลังรอข่าวจากจั่วจ้านกับสั่วหลานเข่ออยู่ จะไม่เลื่อนทัพโดยง่ายเป็นการชั่วคราวแน่!”
เกาฉิวขมวดคิ้ว “นี่กลับลำบากแล้ว ถ้าพวกมันหัดหัวไม่เคลื่อนไหว ชายฉกรรจ์สี่พันกว่านั่นเฝ้าอยู่ที่เอ๋อจี้น่า ถ้าพวกเราดึงดันตัดผ่านที่นี่ไปยังอี้อู๋ เกรงว่าจะสูญเสียจำนวนมาก ได้ไม่คุ้มเสียแน่!”
เหล่าเกากลับฉลาดขึ้นมาสักครั้งอย่างยากจะหาได้ หูปู้กุยผงกศีรษะเห้นด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน! หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมพูดว่า “พี่เกาไม่ต้องเป็นห่วง ข้อดีที่สุดของการใช้การศึกเลี้ยงการศึกก็คือปราศจากภาระ คิดจะสู้ก็สู้ คิดจะไปก็ไป ไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือที่ใด ทุ่งหญ้านี่ใหญ่ขนาดไหน พวกเราก็ไปไกลมากขนาดนั้น! พูดได้ว่าศิษย์ในการเป็นฝ่ายกระทำนั้นอยู่ในกำมือของพวกเราทั้งสิ้น! ส่วนชนเผ่านอกด่านต้องเฝ้าดินแดน ทำได้แค่ถูกกระทำถูกทุบตีเท่านั้น นี่ไม่ใช่นิสัยของพวกมัน! ขอเพียงพวกเราเล่นลูกไม้สักหน่อย การยึดเอ๋อจี้น่าย่อมไม่ใช่ปัญหาแน่! พูดกันตามจริง เรื่องที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้กลับไม่ได้อยู่ที่ทุ่งหญ้า…”
ไม่ได้อยู่ที่ทุ่งหญ้า?! หูปู้กุยถามด้วยความตกใจ “ท่านแม่ทัพ ท่านหมายถึงกุนซือสวี?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา “ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า แม้จะสู้อย่างสะใจ เพียงแต่การติดต่อระหว่างเรากับโลกภายนอกกลับตัดขาดโดยสิ้นเชิง! เฮ่อหลานซานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? คุณหนูสวีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? นางได้รับข่าวสารที่ข้าส่งไปหรือไม่? ทุกอย่างต่างไม่ชัดเจน นี่ถึงเป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา!”