ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 552.3
ชาวทูเจวี๋ยที่กระเสือกกระสนก่อนตายย่างก้าวรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันกวัดแกว่งดาบทำศึก วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หอบหายใจหนักหน่วง เส้นเอ็นปูดโปนบนหน้าผาก สองตาแดงฉานมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นเงาร่างของฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าได้รางๆ
หมาป่าก็คือหมาป่า เพียงแต่ถูกถอดเขี้ยวไปก็เท่านั้นเอง หลินหว่านหรงส่ายหน้า โบกมืออย่างเย็นชา ตวาดเสียงดังออกมาว่า “ยิงหน้าไม้!”
หน้าไม้ยิงต่อเนื่องอันแสนจะร้ายกาจยิงออกไป ถักทอเป็นร่างแหธนูอันแน่นขนัดอยู่เบื้องหน้ากระบวนของชนเผ่านอกด่าน ลูกศรอันคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนแทงทะลุหน้าผากและหน้าอกชาวทูเจวี๋ย พวกมันล้มลงไปทีละคน ตายตาไม่หลับ ชนเผ่านอกด่านที่สูญเสียม้าศึกปราศจากความน่าเกรงขามในกาลก่อนอีกต่อไป กลายเป็นเป้าที่มีชีวิตของทหารม้าต้าหัว
หลังจากห่าธนูสามรอบผ่านพ้นไป ชาวทูเจวี๋ยสูญเสียไปเกินครึ่ง โลหิตสดๆ ไหลย้อมพื้นหญ้าเป็นสีแดงฉานเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ท่วงทีในการโจมตีก็ค่อยๆ เบาบาง ความดุร้ายของชนเผ่านอกด่านปรากฏให้เห็นยามนี้จนหมดสิ้น แม้คนจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง แต่พวกมันก็ยังเหยียบย่ำซากศพของสหายกรูกันมาข้างหน้าโดยปราศจากความลังเล เพียงแต่สิ่งที่ต้อนรับพวกมันก็คือลูกศรอันคมกริบอันเย็นเยียบกับดาบใหญ่ขาววิบวับของชาวต้าหัว
“บุก!” ไม่รอให้หลินหว่านหรงสั่งการ ทหารม้าห้าพันนายบุกออกไปราวกับลมสลาตัน ฝีเท้าม้าอันอึกทึกคึกคักสั่นสะเทือนทุ่งหญ้า ประกายโลหิตสาดกระจาย ทหารม้าต้าหัวใช้ท่วงทีที่รุนแรงดั่งสายลมพัดพาเมฆากระจัดพลัดพราย กวาดม้วนชาวทูเจวี๋ยหลายร้อยคนที่เหลืออยู่ สนามรบปราศจากเรื่องให้คำนึงอีกต่อไป นี่กลายเป็นการเข่นฆ่าสังหารเพียงอย่างเดียวไปแล้ว ชาวทูเจวี๋ยที่สูญเสียม้าศึกเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารม้าต้าหัวก็อ่อนแอราวกับมดปลวก การดิ้นรนขัดขืนทั้งหมดต่างเสียเที่ยวเปล่า เมื่อเผชิญกับทหารม้าที่ดุร้ายราวกับหมาป่าและพยัคฆ์ การดิ้นรนทุกอย่างของพวกมันต่างแลกมาด้วยดาบที่ฟาดฟันร่าง
ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนตายนั้น ชาวทูเจวี๋ยส่วนใหญ่บังเกิดความทรงจำอันรางเลือน จำได้ไม่แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ที่พวกมันเคยเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เพียงแต่พวกมันซึ่งนั่งคร่อมอยู่บนหลังม้าในตอนนั้นกลับล้มครวญครางจมกองเลือด กลับเป็นชาวต้าหัวที่ทุกอย่างในตอนนี้ต่างกลับตาลปัตร หรือว่านี่จะเป็นการลงโทษจากเทพแห่งทุ่งหญ้าจริง? จวบจนสิ้นชีวิต ชาวทูเจวี๋ยก็ยังไม่เข้าใจปัญหานี้อยู่ดี
ม้าทูเจวี๋ยสองพันกว่าตัวที่วิ่งออกไปไกลสุดก็ไม่เกินสี่สิบลี้ ส่วนใหญ่ล้วนข้าสี่ข้างอ่อนระทวย น้ำลายฟูมปาก นอนอยู่บนพื้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ม้าศึกส่วนน้อยซึ่งยังยืนหยัดต่อไปได้ก็ยากจะหนีพ้นจากชะตาชีวิตที่คมดาบฟาดฟันร่าง ศึกใหญ่ที่ควรจะรุนแรงจบสิ้นไปอย่างสงบเช่นนี้ ทหารม้าชนเผ่านอกด่านสามพันคนถูกกำจัด พวกมันไปไม่มีวันไปถึงต๋าหลานจาตลอดกาลด้วย
“น้องเกา เจ้าใช้ยาอะไรกันแน่?!” ทอดสายตามองม้าศึกซึ่งกองอยู่บนพื้นไปทั่วทุ่งหญ้า หูปู้กุยตกใจยิ่งนัก อดดึงเกาฉิวมาไต่ถามให้ละเอียดไม่ได้
เหล่าเกาครุ่นคิด ส่ายหน้าอย่างแช่มช้าแล้วตอบว่า “จำไม่ค่อยได้แล้ว อย่างไรเสียก็กองใหญ่ ยาถ่าย ยาพิษ ยาปลุกกำหนัด ยาสลบอะไรต่อมิอะไร สรุปแล้วที่ใช้ได้ก็เอามาใช้ ผสมรวมกันทั้งหมด น้องหลินกังวลว่าฤทธิ์ยาจะไม่พอ ยังสั่งเป็นพิเศษว่าให้ข้าเพิ่มสารหนูลงไปอีกหลายหยด ฮิๆ ไม่ต้องพูดถึงม้า แม้แต่เทพเซียนก็ทนไม่ไหว”
แม้แต่สารหนูก็ใช้ด้วย รุนแรงมากจริงๆ! เหล่าหูขนลุก อดจ้องมองเกาฉิวหลายครั้งไม่ได้
“มองข้าทำไม” เกาฉิวกลอกตาค้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ “สมบัติที่ข้าพกมาก่อนเดินทางใช้จนหมดแล้ว ตอนนี้ยาสักห่อเดียวก็ไม่มี เพื่อต้าหัว ข้าถึงกับมอบทุกอย่างให้เลยนะ”
หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ สองครา ยกนิ้วกล่าวชื่นชมอย่าบต่อเนื่อง สองคนหัวเราะเฮฮาอยู่ครู่หนึ่ง เกาฉิวมองไปรอบด้าน ทันใดนั้นก็ร้องเอ๊ะด้วยความตกใจ “นั่นไม่ใช่น้องหลินหรือ เขาไปทำอะไรที่นั่นกัน?!”
มองไปตามสายตาของเขา เห็นว่ามีซากศพซากหนึ่งนอนอยู่ไกลๆ ซึ่งก็คือจั่วจ้านหัวหน้าทหารม้าแห่งฮาเอ่อร์เหอหลินนั่นเอง ร่างของจั่วจ้านต้องลูกศรหลายดอก หลั่งโลหิตจนตาย หลินหว่านหรงยืนอยู่ข้างจั่วจ้านที่รบจนตัวตายผู้นั้น ในมือไม่รู้ว่าถืออะไร กำลังยืนนิ่งเหม่อลอย
หูปู้กุยรีบตามเข้าไป สายตาเหลือบมองก็เห็นว่าสิ่งที่ถืออยู่ในมือหลินหว่านหรงกลับเป็นผ้าไหมเปื้อนเลือดผืนหนึ่ง บนผ้าไหมผืนนั้นคล้ายวาดร่างคนเอาไว้ เนื่องจากอยู่ไกลเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัด
“พี่หู พี่เกา พวกท่านดูนี่สิ!” เมื่อเห็นสองคนเข้ามาหา หลินหว่านหรงหัวเราะ ส่งผืนผ้าที่อยู่ในมือให้หูปู้กุย “ค้นได้จากตัวจั่วจ้าน”
หูปู้กุยรับมาอยู่ในมือ รู้สึกว่าผ้าผืนนั้นสัมผัสอ่อนนุ่ม วิจิตรงดงามล้ำค่า เมื่อมองบนผืนผ้าอีกครา กลับวาดเงาร่างขอสตรีนางหนึ่ง เรือนผมสีดำขลับ คิ้วโก่ง นัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึกประดุจสายน้ำ ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านสีทองขับเรือนร่างของนางให้อรชรมากขึ้น งดงามยวนเย้าเหนือธรรมดา ในมือของสตรีผู้นั้นถือดาบโค้งสีทองเล่มหนึ่ง ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ คล้ายแฝงความรู้สึกบีบคั้นกดดันซึ่งควบคุมชะตาชีวิตผู้อื่นได้
“เอ๊ะ ดูคุ้นตามากเลยนะ!” เหล่าเกาพึมพำกบตัวเอง ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยน “…นี่ นี่คือเยวี่ยหยาเอ๋อร์!”
เจ้าเหล่าเกาคนนี้ปฏิกิริยาตอบสนองช้าเกินไปหน่อยนะ! หลินหว่านหรงหัวเราะพลางผงกศีรษะ “น่าจะใช่กระมัง พี่หู ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
หูปู้กุยพินิจพิจารณาผืนผ้าและภาพวาดคนนี้อย่างละเอียด ครุ่นคิดอยู่นานถึงผงกศีรษะ “สตรีที่อยู่ในภาพน่าจะเป็นอวี้เจียอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ข้าเหล่าหูจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ก็มองออกว่าภาพเหมือนนี้ประณีตวิจิตรงดงาม ในแคว้นทูเจวี๋ย วิชาการต่อสู้คือทุกสิ่ง มีภาพเหมือนอันวิจิตรงดงามในชีวิตที่อยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไรเช่นนี้ได้ นั่นต้องเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ธรรมดาแน่นอนขอรับ”
“ผู้สูงศักดิ์?!” หลินหว่านหรงหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลง ครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่นานจากนั้นถึงหัวเราะออกมา “พี่หู ท่านพูดต่อไป”
หูปู้กุยผงกศีรษะเล็กน้อย “อีกประเด็นหนึ่ง คุณภาพของผ้าไหมที่ใช้บนผืนผ้าภาพวาดนี้ เมื่ออยู่ที่ต้าหัวก็ถือเป็นของระดับสุดยอด ดังนั้นเมื่ออยู่ที่แคว้นทูเจวี๋ยจึงยิ่งเป็นของที่คนธรรมดาไม่อาจใช้ได้ บวกกับภาพเหมือนที่งามวิจิตรนี้ ผ้าผืนนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมาจากราชสำนักทูเจวี๋ย”
เกาฉิวถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อมาจากราชสำนักทูเจวี๋ย เช่นนั้นเหตุใดภาพนี้ถึงมาอยู่ในมือจั่วจ้านได้ล่ะ หรือว่าเจ้าคนแซ่จั่วนี้จะเป็นคนรักของเยวี่ยหยาเอ๋อร์?”
เหล่าเกาอะไรก็กล้าคิดออกมาได้นะ! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “จะใช่คนรักของเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้าแน่ใจได้อย่างหนึ่ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ต้องมาจากราชสำนักทูเจวี๋ยแน่นอน มิหนำซ้ำสถานะยังสูงส่งอีกด้วย สั่วหลานเข่อก่อนหน้านี้รู้จักดาบทองเล่มนี้ ยอมใช้ชีวิตของคนในเผ่าสามพันคนเพื่อแลกให้ข้าปล่อยตัวอวี้เจีย ส่วนบนตัวจั่วจ้านก็ยิ่งมีภาพเหมือนอันวิจิตรงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อีก นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ พิสูจน์เรื่องหนึ่งได้พอดี…”
“เรื่องอะไรขอรับ!” หูปู้กุยรีบถาม
หลินหว่านหรงยิ้มบาง “พิสูจน์ได้ว่าชาวทูเจวี๋ยกำลังออกตามหาเบาะแสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างสุดกำลัง! ภาพเหมือนของนางจะต้องส่งไปทุกดินแดนตั้งนานแล้ว ดังนั้นสั่วหลานเข่อถึงยอมสู้ตายเข้าแลก ส่วนสถานะของอวี้เจียจะต้องอยู่ล้ำกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ หรือก็ไม่แน่ว่ายังจะเป็นองค์หญิง ต๋าต๋าอะไรนั่นจริงๆ เสียด้วยซ้ำ”
เกาฉิวกับหูปู้กุยต่างสบตากัน พลันบังเกิดความยินดีอย่างยิ่งหากเยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นองค์หญิงทูเจวี๋ยจริง เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเขาสองคนต่อให้ต้องสู้อย่างเอาเป็นเอาตายก็ต้องให้น้องหลินเป็นราชบุตรเขยทูเจวี๋ยนี้ให้ได้
สามคนคาดเดาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงรูปโฉม ความรู้ บุคลิกท่าทางของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนองค์หญิง เกาฉิวหัวเราะอย่างต่ำช้า “น้องหลิน ฉวยโอกาสค่ำคืนนี้ฟ้ามืดลมแรง ไม่สู้จัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ ถ้าให้ชนเผ่านอกด่านได้เปรียบไป ไม่สู้ได้เปรียบน้องหลินผู้สง่างามล้ำเลิศเช่นเจ้าจะดีกว่า ขอเพียงเจ้าไม่แต่งเข้าทูเจวี๋ย ข้าเหล่าเกายังมีสมบัติส่วนตัวชิ้นสุดท้ายที่จะมอบให้ อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนลงมาจากสวรรค์ นางก็ต้องนอนลงไปอย่างว่าง่าย”
“นี่ ก็ไม่ค่อยดีกระมัง!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะอย่างเหนียมอาย “ถึงข้าจะเป็นผู้ที่เข้ากับคนได้ง่าย…แต่ไม่ใช่คนใจง่ายเด็ดขาด ใช้ยาออกจะชั้นต่ำเกินไป ไม่สู้…ใช้กำลังไปเลยจะดีกว่า!”
เหล่าเกาเหล่าหูสองคนตะลึงงันก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาทันที คนลามกสามคนพูดคุยหัวเราะกัน รู้สึกมีความสุขไปชั่วขณะ
เมื่อสะสางสนามรบเสร็จสิ้น ทัพใหญ่ก็เคลื่อนที่โต้รุ่ง ควบม้าเดินทางไปหลายร้อยลี้ถึงหาสถานที่ตั้งค่ายเพื่อพักผ่อน อวี้เจียสงบนิ่งเป็นพิเศษระหว่างการเดินทางนี้ ทั้งไม่เอะอะด่าทอ ทั้งไม่ดิ้นรนขัดขืน สายตาเฉยชาประดุจสายน้ำ ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อหลินหว่านหรงเข้ามาในกระโจมก็ผ่านยามสามไปแล้ว อวี้เจียนอนอยู่บนพื้นหญ้าอันเย็นเฉียบ ร่างอันสูงโปร่งขดตัวอยู่ที่หนึ่ง บนขนตามีน้ำค้างกระจ่างใสเกาะ กำลังหลับสนิท สาวน้อยทูเจวี๋ยที่อยู่ในห้วงแห่งความฝันสงบนิ่งเรียบร้อย ปราศจากท่าทีเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอีกต่อไป น่ารักน่าชังยิ่งนัก
หลินหว่านหรงจ้องมองอยู่นาน ส่ายหน้าอย่างเงียบงัน เขาค้อมเอวลงไป อุ้มร่างของอวี้เจียขึ้นแล้ววางลงบนเตียงทหาร การเคลื่อนไหวของเขาแผ่วเบาอ่อนโยน เพิ่งวางร่างของนางลงเรียบร้อย สาวน้อยทูเจวี๋ยที่กำลังหลับลึกกลับลืมตาขึ้นมา ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ จ้องมองเขาอย่างเย็นชา
หลินหว่านหรงร้องหวาพลางกระโดดหลบ “เจ้า เจ้าทำอะไร?! นอนหลับก็ลืมตาด้วย?!”
“คำพูดนี้น่าจะเป็นข้าถามเจ้าถึงจะถูกนะ” อวี้เจียแค่นเสียงด้วยโทสะ “กลางดึกกลางดื่น เจ้าอุ้มข้าขึ้นเตียงเจ้าทำไม?”
“ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เตียงของข้าแล้ว” หลินหว่านหรงหัวเราะ “เมื่อคืนมันถูกเจ้าทำให้แปดเปื้อน นอกจากเจ้า ยังมีใครกล้านอนมันอีก?”
ดวงหน้าอันงดงามของอวี้เจียแดงเล็กน้อย “แปดเปื้อนอะไรกัน เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่นอนรังสุนัขเหม็นของเจ้าหรอกน่า”
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางยืนขึ้น บิดขี้เกียจยาวๆ “ข้าจะออกไปปัสสาวะ จากนั้นจะไปฝึกเพลงดาบกับเหล่าเกา ต่อไปก็ฝึกภาษาทูเจวี๋ยกับหูปู้กุย คืนนี้ไม่กลับมาแล้ว เจ้านอนไปก่อนเถอะ”
โจรไร้ยางอาย! เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลอบกัดฟันกรอด กับความหน้าหนาของเจ้าคนนี้ นางมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาจะเดินออกไปจริงๆ อวี้เจียจึงรีบพูดว่า “เจ้า เจ้ารอก่อน!”
หลินหว่านหรงหันหน้ากลับไปมองนางคราหนึ่ง อวี้เจียหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลงไปน้อยๆ กล่าวด้วยสียงอันอ่อนโยน “จะ…เจ้าไม่ต้องไป ข้า ข้ากลัว! เจ้าต้องการเรียนภาษาทูเจวี๋ย ข้าสอนเจ้าได้”
หลินหว่านหรงหัวเราะพรวดออกมา นังหนูนี่น่าสนใจจริงนะ หรือว่าบนโลกนี้จะยังมีอะไรที่น่ากลัวกว่าข้าอีก? เขาหัวเราะหัวเราะฮ่าๆ สองครา เดินไปนั่งข้างเตียงนาง “เจ้ากลัวอะไร?!”
ดวงตาโตอันงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กะพริบปริบๆ กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ข้ากลัวหมาป่า!”
หลินหว่านหรงกลอกตามองค้อน แพ้แล้ว! หรือว่าข้าพออยู่ต่อหน้าเจ้ายังสู้หมาป่าไม่ได้?!
อวี้เจียคล้ายอ่านความคิดเขาออก อดหัวเราะคิกคักเบาๆ ไม่ได้ ใบหน้าฉายประกายงามยวนเย้า “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ได้ยินว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ฉลาดมากที่สุดในต้าหัว?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะพลางมองนาง “หากเจ้าเอาคำว่าหนึ่งในออกไป ข้าจะยอมรับด้วยความยินดีมาก เจ้าพูดถูกต้อง”
“ขี้โม้” อวี้เจียยิ้มงามเฉิดฉัน ดวงหน้าอันงดงามประหนึ่งบุปผาที่ผลิบานเต็มที่ หลินหว่านหรงมองคราหนึ่ง จากนั้นก็มิอาจเคลื่อนสายตาออกไปได้อีก
แสงจันทร์สุกสกาวลอดผ่านหน้าต่างกระโจมเข้ามา ส่องใบหน้าอวี้เจีย ส่องประกายงดงามยวนเย้า นางมองท้องนภาสว่างอย่างเหม่อลอย พึมพำออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่ฉลาดมากที่สุดในต้าหัว เช่นนั้นอัวเหล่ากง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้างนี้ ที่แท้มีดวงดาราอันสุกสกาวกี่ดวงกันแน่?”
หลินหว่านหรงมองนางพลางยิ้มเล็กน้อย “นับดวงดาวเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก หากเจ้าจะถามให้ได้ เช่นนั้นก็ลองดูเส้นผมของเจ้า มากเท่ากับผมดำขลับของเจ้านั่นล่ะ”
“ผมของข้า?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า “ข้าไม่เคยนับเส้นผมข้ามาก่อนเลย อัวเหล่ากง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ข้ามีผมดำกี่เส้น?”
“เช่นนั้นก็ดูลายมือที่ฝ่ามือเจ้า” อัวเหล่ากงจับมือน้อยของนางขึ้นมาแล้ววางตรงหน้านางเบาๆ เยวี่ยหยาเอ๋อร์เหม่อลอย “ลายมือ? ดูอย่างไร?!”
โจรจับมือน้อยขาวกระจ่างใสของนาง หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “เจ้าดู ลายเส้นที่หยักโค้ง เล็กละเอียดทุกเส้นบนฝ่ามือเจ้าก็คือเส้นผมหนึ่งเส้นของเจ้า และเป็นเส้นชีวิตของเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อดูลายมือของเจ้าชัดเจนก็จะคำนวณเส้นผมที่อยู่บนศีรษะเจ้าได้ และเข้าใจความทุกข์สุขพบเจอพรากจาก ความยินดีความเสียใจแต่ละครั้งในชีวิตเจ้าด้วย นู่น เริ่มนับจากตรงนี้ หนึ่ง สอง สาม…”
อวี้เจียสายตาดี เป็นอย่างที่เจ้าโจรว่าไว้ บนฝ่ามือขาวสะอาดของนางมีเส้นเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเส้นล้วนเล็กจนแทบจะมองไม่เห็น ถึงกระนั้นกลับมีอยู่จริง
หรือว่าลายเส้นบนฝ่ามือนี้จะคาดการณ์ชีวิตข้าล่วงหน้าได้จริง? มองดูเจ้าโจรกุมมือน้อยของตน อวี้เจียก็บังเกิดอารมณ์สับสนขึ้นเล็กน้อย ฝ่ามือกลับมีเหงื่อซึมออกมาจำนวนมาก
“นับได้หรือยัง?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยขัดขืนเล็กน้อย เอามือออกไปเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เจ้าโปรดบอกข้ามา ฝ่ามือข้ามีเส้นลายมืออยู่เท่าใด แล้วข้าจะมีความทุกข์สุขพบเจอพรากจากมากเท่าใด?!”
หลินหว่านหรงมองนาง หัวเราะพลางส่ายหน้า “ลายเส้นบนฝ่ามือเจ้า ความทุกข์สุขพบเจอพรากจากในชีวิตเจ้า บางทีอาจมีมากเหมือนแผนการของเจ้าก็ได้ น้องสาว เป็นคนน่ะทำตัวบริสุทธิ์สักหน่อยก็ดีนะ”
“เจ้าน่ะสิถึงไม่บริสุทธิ์ใจ!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถลึงตาตำหนิเขา ทางแจ้งคือโมโห ทว่ากลับมีความรู้สึกอันยากจะบรรยายได้เกิดขึ้นรำไร
จะตายแล้ว! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ในใจลอบทอดถอนคราหนึ่ง
“โจร เจ้ารู้เรื่องราวมากขนาดนี้ได้อย่างไร?” เสียงของอวี้เจียแผ่วเบาราวกับยุง ใบหน้าซับสีแดงซ่าน เบาบาง ประหนึ่งชาดทาหน้าอันงดงาม มือน้อยอันอ่อนนุ่มนิ่มไร้กระดูกของนางไม่รู้สั่นเทาเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นฝ่ายกุมมือหลินหว่านหรงก่อน “เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยของเรานะ?!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยเรือนร่างอ่อนนุ่มนิ่ม ก่อเป็นเส้นสายอันน่าลุ่มหลง ปรางแก้มงดงามของนางแดงดั่งแสงอรุโณทัย ปากน้อยสีแดงสดใสพ่นกลิ่นกรุ่นออกมาเล็กน้อย นิ้วมือเรียวนุ่มนิ่มแฝงเหงื่อหอสะอาด กุมมือหลินหว่านหรงแน่น รสชาติที่แสนจะกวักวิญญาณเช่นนั้น หากเป็นมนุษย์ล้วนยากจะทานทนได้
“ถ้าเป็นชาวทูเจวี๋ย เจ้าจะให้ข้าเป็นราชบุตรเขย?!” โจรจ้องมองเรือนร่างอันงดงามของนาง กลืนน้ำลายอย่างแรง กล่าวกระเซ้า
อวี้เจียดวงตาฉายประกายแปลกประหลาด นางแก้มแดงเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปเบาๆ ระหว่างที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา ปรากฎสีหน้าออกมาสารพัน
“ดูแล้วงดงามมาก!” โจรหัวเราะร่า ตีแก้มอันอ่อนนุ่มนิ่มของนางคราหนึ่ง ดวงตาสุกใสประดุจสายน้ำ “แต่ ข้าไม่พูดไม่ได้…คุณหนูอวี้เจีย เจ้าช่างเป็นนักแสดงยอดแย่คนหนึ่งเสียจริง”