ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 551.1
ม่านราตรีมาเยือน ท้องฟ้าเหมือนดั่งม่านดำขนาดมหึมา ยื่นมือไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างปกคลุมอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
เสียงฝีเท้าม้าอันเร่งร้อนและแจ่มชัดเหยียบย่ำกรีดผ่านทุ่งหญ้าอันสงบเงียบ ท่ามกลางความรางเลือน เงาร่างหลายสิบร่างวิ่งห้อตะบึงมาแต่ไกล ม้าศึกที่อยู่ใต้ร่างวิ่งตัดผ่านความมืดดั่งธนู ท่วงท่าปราดเปรียว เมื่อเข้ามาใกล้ถึงค่อยๆ มองเห็นเงาร่างของคนกลุ่มนี้ชัดเจนขึ้น กลับเป็นชาวทูเจวี๋ยเสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตาอิดโรยสามสิบสี่สิบคน ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นดินทั้งหวาดกลัวและประหวั่นลนลาน มีหลายคนที่ยังได้รับบาดเจ็บจากธนูอีกด้วย โลหิตไหลหลั่ง ทว่าพวกมันกลับไม่สนใจที่จะทำแผล เร่งม้าดั่งโผบิน หันกลับไปชะเง้อมองด้วยความตื่นเต้นอยู่เป็นระยะ
ณ สถานที่อันห่างไกลท้องฟ้ายามสายัณห์เวิ้งว้าง มองไม่เห็นเงาคน ไม่เห็นฝีเท้าม้า ชาวต้าหัวซึ่งตามเข่นฆ่าพวกมันมาตอดเส้นทางไม่รู้ถูกสลัดทิ้งจนมองไม่เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่
ทุ่งหญ้า ในที่สุดก็ถึงดินแดนของชาวทูเจวี๋ยของพวกเราแล้ว! ชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื้นตัน กู่ร้องยินดี สีหน้าแห่งความตื่นเต้นออกมาให้เห็นจนหมดสิ้น
การหลบหนีครั้งนี้อย่างน้อยก็เดินทางออกมาได้สี่ห้าสิบลี้ ม้าทูเจวี๋ยเหนื่อยจนส่งเสียงหอบแฮ่กๆ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่บนหลังม้าก็ยิ่งหอบหายใจราวกับวัวด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว
เมื่อพักผ่อนเล็กน้อยไปครู่หนึ่ง ชนเผ่านอกด่านซึ่งเป็นผู้นำที่อยู่ในนั้นก็มองสหายของตนเอง อ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เสียงซึ่งปกติดังก้องกังวานดั่งระฆังยามนี้กลับแหบพร่า เห็นๆ อยู่ว่าคิดจะพูดภาษาทูเจวี๋ย แต่พอฟังด้วยหูของคนในเผ่า กลับเป้นการร้องคำรามสะเปะสะปะดังอ๊าๆ อันแหบพร่า
ข้ากลับพูดไม่ได้! ชาวทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นหน้าซีดเผือด ดวงตาสาดประกายหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาใช้แรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย พยายามสั่งการอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากเสียงอ๊าๆ แหบพร่าที่อยู่ในลำคอแล้ว กลับไม่อาจพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว สิ่งที่ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวนไม่ใช่แค่เขาที่เป็นเช่นนี้ แต่สหายที่ร่วมหลบหนีกับเขามาอีกสามสี่สิบคนต่างหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีผู้ใดพูดออกมาได้สักคนเดียว
หนึ่งในนั้นที่หนวดเคราเต็มหน้า ดึงหมวกลงต่ำคนหนึ่งใช้สองมือดึงปากออกกว้าง พยายามพูดออกมาหลายประโยค จนใจที่พยายามอยู่นานก็ยังไร้ผล ชาวทูเจวี๋ยสามสี่สิบคนได้ยินเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลของเจ้าดำคนนี้ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาพร้อมกัน เสียงโหยหวนของหมาป่าดังสลับกันไปมา ดังไม่ขาดสาย
ยังเป็นชาวทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าที่สงบเยือกเย็นอยู่บ้าง คิดถึงช่วงหลายวันที่ถูกจับตัว นอกจากเที่ยงวันนี้ที่ชาวต้าหัวส่งมองเนื้อแห้งให้พวกมันหลายชิ้นราวกับบังเกิดความเมตตาแล้ว เวลาอื่นมันกับสหายของมันต่างไม่ได้กินข้าวสักเม็ด ด้วยความตะกละตะกราม เนื้อแห้งนั้นกลายเป็นอาหารชั้นยอดในท้องของพวกมันตั้งแต่แรก ตอนนี้พอมาคิดดูจะต้องเป็นชาวต้าหัวผู้ชั่วช้าที่เล่นตุกติกในเนื้อแน่นอน ทำให้มันกับเหล่าสหายของมันไม่อาจเอ่ยปากพูดได้อีก
ท่ามกลางเสียงขู่แฮ่ๆ ความปีติยินดีซึ่งเกิดขึ้นหลังประสบคราเคราะห์ปลาสนาการไปตั้งแต่แรก ใบหน้าของชาวทูเจวี๋ยทุกคนเต็มไปด้วยความโมโหเดือดดาลและความหวาดกลัว ความเจ้าเล่ห์เพทุบายและความชั่วช้าของชาวต้าหัวทำให้พวกมันหวาดกลัว ความคิดเพียงหนึ่งเดียวในยามนี้ของพวกมันเพียงต้องการหลุดพ้นจากกรงเล็บมารของชาวต้าหัวให้เร็วที่สุด หวนคืนสู่อ้อมกอดของเทพแห่งทุ่งหญ้า
ด้วยความรู้สึกผิดหวังกับความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีออกมาไม่มีเวลามานับว่าที่อยู่ซ้ายขวานั้นเป็นคนรู้จักกันหรือไม่ พวกมันกัดฟันกรอดแล้วควบม้าห้อตะบึงโดยไม่เอ่ยวาจา คล้ายต้องการสลัดความคิดเกี่ยวกับมารร้ายต้าหัวทิ้งไป
“ชาวทูเจวี๋ย” ที่ใบหน้ามีหนวดเคราเต็มไปหมด ปกปิดใบหน้าเกินครึ่งหนึ่งผู้นั้นปะปนอยู่ในกลุ่มของชนเผ่านอกด่าน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าเดือดดาลเศร้าสร้อย เพียงแต่ท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีใครดูรูปโฉมของเขาออก
ทุกคนต่างมีจิตใจหนักอึ้ง อีกทั้งไม่รู้ว่าเดินทางออกมาได้กี่ลี้แล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังขึ้นมา แทรกมาด้วยเสียงดาบม้าและที่ใส่ธนูกระแทกกัน ที่อยู่ไกลๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยหลายร้อยนายชูคบเพลิงสูงแล้ววิ่งห้อตึงมาอย่างรวดเร็ว
“อ๊า…อ๊า…” ครั้นเห็นทหารม้าทูเจวี๋ยอันห้าวหาญ เหล่าชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีมาพลันหลั่งน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื่นเต้นทันที รีบชูแขนร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นยินดี ทหารม้าทูเจวี๋ยกลุ่มนั้นเพิ่มความเร็วในบัดดล พุ่งตรงมาทางนี้
เมื่อทั้งสองฝ่ายใกล้กัน ใบหน้าของทหารม้าทูเจวี๋ยก็มองเห็นได้ชัดเจน ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือชายฉกรรจ์จมูกโด่งโดดออกมาผู้หนึ่ง รูปร่างหน้าตาองอาจห้าวหาญ พอมันเห็นหัวหน้าชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีออกมาผู้นั้นก็พลันส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตกใจ “ตูเอ่อร์ฮั่นจี้ เหตุใดถึงเป็นเจ้าได้?!”
ตูเอ่อร์ฮั่นจี้ผงกศีรษะอย่างเดือดดาล ร้องอ๊าๆ เปะปะวุ่นวายหลายครั้ง หัวหน้าทหารม้าไม่รู้ว่ามันพูดไม่ได้แล้ว มองการแสดงของตูเอ่อร์ฮั่นจี้อยู่นาน ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
ชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีออกมาแต่ะคนสีหน้าร้อนรน ร้องอ๊าๆ เสียงดังออกมาพร้อมกัน ทหารม้าที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นถึงเข้าใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ทันที “พวกเจ้าพูดไม่ได้?”
ชาวทูเจวี๋ยสี่สิบคนผงกศีรษะพร้มอกัน สีหน้าเสียใจเดือดดาลออกมาให้เห็นชัดเจน
คบเพลิงส่องทุ่งหญ้าให้สว่างขึ้นมาก ชายฉกรรจ์หนวดเคราเต็มใบหน้าท่าทางดุร้ายมากที่สุดซึ่งร้องโวยวายก่อนหน้านั้นแอบก้มหน้าลงต่ำ เพื่อไม่ให้คนจับพิรุธได้ แม้จะฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่ออก แต่เขาก็เดาได้ว่าเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้กำลังคุยอะไรกันอยู่ อดยื่นมือไปลูบคลำหน้าอกไม่ได้ แอบหัวเราะฮิฮะ พูดไม่ได้แล้วจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ขอเพียงท่านปู่เกาของเจ้ายินดี ทำให้พวกเจ้านกเขาไม่ขันทั้งชาติ นั่นเป็นเรื่องเล็กที่ทำได้ง่ายดายราวกับยื่นมือไปหยิบมา
สี่สิบคนต่างพูดไม่ได้? หัวหน้าทหารม้าตกใจยิ่ง เมื่อเห็นสายตาร้อนรนของตูเอ่อร์ฮั่นจี้ก็ไม่ถามไถ่ รีบโบกมือ ทหารม้าขบวนใหญ่เปลี่ยนทิศทาง คุ้มกันส่งชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีมากลับไป
เดินทางได้ยี่สิบสามสิบลี้ ก็เห็นพื้นราบขนาดมหึมาแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ชาวทูเจวี๋ยสองสามพันคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เสียงคนดังเซ็งแซ่ ชาวทูเจวี๋ยเหล่านี้เหงื่อท่วมร่าง ท่ามกลางความดุร้ายแฝงความเหนื่อยล้า ม้าทูเจวี๋ยซึ่งเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในแผงคอมีเหงื่อกระจ่างใสเกาะเป็นชั้นๆ ท่ามกลางแสงสว่างของเปลวเพลิงอันลุกโชน ดูสะดุดตาอย่างเห็นให้ชัด
เห็นชัดว่าชาวทูเจวี๋ยเพิ่งมาถึงที่นี่ อานม้ายังไม่ได้ถอดลง คอกม้ายังสร้างไม่เรียบร้อย ม้าทูเจวี๋ยสามพันตัวแกว่งหางไปมาเดินสับสนวุ่นวายไปทั่ว ดูอลหม่านยิ่งนัก
เกาฉิวมองหลายครั้ง อดที่จะลอบผงกศีรษะไม่ได้ เจ้าเหล่าหูนี่มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ชาวทูเจวี๋ยตั้งค่ายยามพระอาทิตย์ตกดินจริงด้วย
เหล่าทหารม้าทูเจวี๋ยซึ่งกำลังเตรียมน้ำและหญ้าให้ม้าศึกมองดูสหายร่วมชาติราวสี่สิบคนซึ่งชุดขาดวิ่น หน้าตาอิดโรยเดินเข้ามาในค่ายอย่างไร้ชีวิตชีวา ค่อยๆ มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น ชาวทูเจวี๋ยนิสัยป่าเถื่อน แต่ไหนแต่ไรมาเทิดทูนแต่ผู้แข็งแกร่ง พวกมันเหยียบย่ำซากศพของสหายร่วมชาติเพื่อเดินไปข้างหน้าได้ นิสัยหมาป่ามองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นกับคนร่วมชนเผ่าซึ่งถูกชาวต้าหัวจับตัว ทั้งยังหลบหนีออกมาพวกนี้ สีหน้าดูแลนจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองของชาวทูเจวี๋ย ตัวปลอมเช่นเกาฉิวนี้จึงรีบดึงหมวกให้ต่ำลงมากขึ้น ศีรษะก็ก้มจะติดเท้าแล้ว เพื่อไม่ให้คนจับผิดได้ เขา ‘ทำตัวต่ำต้อย’ ขนาดนี้ แม้ทำให้ชาวทูเจวี๋ยยิ่งหัวเราะเยาะและดูแคลน แต่กลับไม่มีใครสงสัย ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชาวต้าหัวกลับขวัญกล้าถึงเพียงนี้ กล้าปะปนเข้ามาในค่ายของทูเจวี๋ยเพียงลำพัง
“พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก ห้ามผู้ใดไปไหนซี้ซั้ว” หัวหน้าทหารม้าคำรามใส่ทุกคน ลากตัวตูเอ่อร์ฮั่นจี้ผู้สูญเสียการพูด รีบเดินเข้าไปในกระโจมที่เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยหลังหนึ่ง
เกาฉิวกลอกตาวุ่นวาย แอบมองประเมินรอบด้าน บนตัวและใบหน้าทหารม้าทูเจวี๋ยสามพันคนนี้เต็มไปด้วยฝุ่นดินทราย เห็นชัดว่าการเคลื่อนทัพทางไกลหนึ่งวันหนึ่งคืนทำให้สูญเสียพลังกายพวกมันอย่างมาก ในมือของคนส่วนใหญ่ถือเนื้อแห้งและอาหารเสบียง นั่งอยู่บนพื้น กำลังดื่มน้ำสะอาดที่เพิ่งจะตักมา ขบฉีกเนื้อกันอยู่ ยังมีอีกหลายร้อยคนที่กำลังสร้างคอกม้า เตรียมป้อนหญ้าและน้ำให้ม้าศึก
ทั่วทั้งค่ายตั้งกระโจมอย่างง่ายๆ มาแค่สองหลัง ชาวทูเจวี๋ยนั่งจับกุล่มเล็กๆ พักผ่อนกระจายอยู่บนพื้นหญ้า ดูจากท่าทางพวกมันแค่พักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ผ่านไปไม่นานก็จะออกเดินทางอีก
เกาฉิวกำลังมองอย่างใจลอย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กแปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังเข้ามา “ถอยไปๆ เจ้าพวกเชลยขวัญอ่อน!”
เขาฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่ออก ดังนั้นจึงอดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ เห็นทหารม้าทูเจวี๋ยสองคนกำลังร้องเสียงดัง หัวเราะแปลกประหลาด ในมือยกถังไม้ขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยน้ำสะอาดที่เพิ่งตักมาจากทะเลสาบ ผลักเกาฉิวและชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างกายเขาโดยไร้ความกริ่งเกรง เดินไปทางคอกม้า
ชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีออกมาพ่ายแพ้หลายครั้ง เดิมทีก็มีเพลิงโทสะอยู่ในใจอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของคนในเผ่าก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ สายตาของทุกคนต่างเดือดดาล ขวางทหารม้าสองคนนี้ไว้ เข้าไปหาแล้วระดมต่อยวุ่นวาย! การต่อยตีครั้งนี้พลันเหมือนกระทะที่เดือดพล่าน ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่ยังพักผ่อนอยู่บนพื้นหญ้าพลันเข้ามาจากรอบด้าน ค่ายของชนเผ่านอกด่านต่างสับสนอลหม่าน
เกาฉิวหัวเราะฮิฮะเย้ยหยันหลายครา ฉวยโอกาสยามราตรีเบียดร่างออกมาจากฝูงชน เข้าใกล้บริเวณรวมตัวของม้าศึกโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง หญ้าอ่อนที่เพิ่งงอกเงยเรียงรายกันเป็นทิวแถว ห่างออกไปไม่ไกลราวสามถึงห้าก้าวมีรางให้อาหารม้าขนาดกว้างใหญ่รางหนึ่ง ภายในรางนั้นบรรจุน้ำสะอาดที่ตักมาเต็มไปหมด ม้าศึกสามพันตัวเดินทางอย่างเร็วรี่มาทั้งวัน มีเหงื่อกระจ่างใสผุดออกมาจาตามซอกขน เปล่งประกายวิบวับ กำลังกินน้ำและหญ้าอย่างสบายอารมณ์
กวาดตามองโดยรอบคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนต่างไปอยู่ที่เหตุชุลมุนบนสนามหญ้า เกาฉิวก็ควักห่อยาหลากสีออกมาจากอก กลั้นลมหายใจ เดินกระย่องกระแย่งเข้าใกล้รางน้ำ กวนผงยาที่อยู่ในมือลงไปในน้ำอย่าเงียบงัน
“เอะอะอะไรกัน!” มีคนสามคนเดินออกมาจากกระโจมที่เพิ่งสร้างเสร็จ นอกจากตูเอ่อร์ฮั่นจี้กับหัวหน้าคนก่อนหน้านี้แล้ว ผู้ที่อยู่หน้าสุดกลับเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบกว่าปี ลำตัวตั้งตรงองอาจห้าวหาญ หน้าตาดุร้ายป่าเถื่อน สองตามันเบิกโพลง ใหญ่โตราวกับกระดิ่ง จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดส่งเสียงดังขึ้นมาอีก
ชายฉกรรจ์ผู้นี้เหือนเป็นหัวหน้าของทหารม้าสามพันคนนี้ มันกล่าวด้วยท่าทีดุร้ายออกมาว่า “ผู้กล้าทูเจวี๋ยทุกคน รวมพลทันที ทหารม้าต้าหัวอยู่ข้าหน้าพวกเรา ถึงเวลาทำคุณประโยชน์ให้ท่านข่านแล้ว!”
“สั่วหลานเข่อ แบบนี้จะบุ่มบ่ามเกินไปหรือเปล่า? จากคำพูดของตูเอ่อร์ฮั่นจี้ ชาวต้าหัวที่เข้าสู่ทุ่งหญ้าพวกนั้นมีถึงห้าพันคน ต่างเป็นทหารต้าหัวชั้นยอดที่เลือกมาจากหนึ่งในพัน มิหนำซ้ำอัวเหล่ากงหัวหน้าของพวกมันเจ้าเล่ห์เพทุบาย แผนการมากมาย พวกเราไปเช่นนี้จะตกหลุมพรางของมันหรือเปล่า?!”
ผู้ที่พูดก็คือหัวหน้าทหารม้าที่ช่วยตูเอ่อร์ฮั่นจี้ก่อนหน้านี้ มันขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง
“กลัวใช่หรือเปล่า?” สั่วหลานเข่อกล่าวระคนหัวเราะอย่าดูแคลน “หรือว่าทหารอาชาเหล็กทั้งสามพันของข้ายังจะสู้ชาวต้าหัวแค่ห้าพันไม่ได้? หากเจ้ากลัว เจ้าก็พาคนจากฮาเอ่อร์เหอหลินกลับไปก่อนเถอะ พวกเราเอ๋อจี้น่าไม่มีวันถอยเด็ดขาด”
หัวหน้าทหารม้ากล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้ากล้าดูถูกพวกเรา? ดินแดนฮาเอ่อร์เหอหลินผู้กล้าหาญของข้าไม่มีคนที่ถอยหนีเด็ดขาด”
สั่วหลานเข่อผงกศีรษะ “ดี ท่านข่านก็ต้องการผู้กล้าเช่นเจ้านี้ ตอนนี้จงถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ตรวจสอบสามสิบห้าคนที่ตูเอ่อร์ฮั่นจี้พามาให้ละเอียด ชาวต้าหัวเจ้าเล่ห์เพทุบาย ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะปล่อยนักโทษง่ายดายขนาดนี้ จะต้องมีแผนการแอบแฝงแน่นอน”
พกมันสองคนสนทนากัน เกาฉิวฟังออกเป็นแค่เสียงโช้งๆ เช้งๆ กลับฟังไม่ออกสักประโยคเดียว ห่อยาโปรยลงไปในรางอาหารของม้าจนหมดสิ้น รอเวลาครึ่งป้านน้ำชา หญ้าและน้ำเสบียงของม้าศึกก็เกือบหมดแล้ว เกาฉิวอดหัวเราะฮิฮะไม่ได้
ชาวทูเจวี๋ยค่อยๆ รวมตัวกันที่ค่ายใหญ่ ชนเผ่านอกด่านสามสิบกว่าคนที่หลบหนีมาก็ถูกเรียกมาไต่ถามทีละคนด้วยเช่นกัน
“ขาดไปคนหนึ่ง!” หลังจากสั่วหลานเข่อนับไปหลายรอบ ทันใดนั้นก็ตวาดเสียงดังกึกก้องออกมา “เจ้านั่นจะต้องเป็นไส้ศึกแน่ รีบค้นเร็ว!”
มันพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงพลุสัญญาณดังพรึบมาจากท้องฟ้า แตกเป็นประกายอันเจิดจ้าที่สุดท่ามกลางม่านราตรี เจิดจ้าอร่ามตายิ่งนัก
“หลานชาวทูเจวี๋ยทั้งหลาย ท่านปู่เกาแห่งต้าหัวของพวกเจ้าอยู่นี่!” ชายฉกรรจ์สวมชุดชนเผ่านอกด่าน หนวดเคราเต็มใบหน้าคนหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนหลังม้า ระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น เขาโยนหมวกทิ้งไป เผยให้เห็นใบหน้าอันแท้จริง
“เป็นมัน…จับมันเอาไว้!” เหล่าทหารม้าทูเจวี๋ยตวาดดังลั่นด้วยความเดือดดาล ชูดาบม้าขึ้นสูงแล้วบุกเข้าหาเกาฉิว
“ไป!” เกาฉิวรีบคตวาดออกมาคราหนึ่ง มือหนึ่งถือดาบปัดป่ายธนูอันคมกริบที่ยิงเข้ามา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับแผงคอม้าแล้วเร่งม้าศึกที่อยู่ใต้ร่าง ม้าทูเจวี๋ยกู่ร้องยาวๆ พุ่งขวับออกไปไกล ทะลวงชาวทูเจวี๋ยจนกระจัดกรจาย เพียงชั่วพริบตาก็วิ่งทะยานออกไปนอกค่าย
ชาวทูเจวี๋ยฝึกฝนมาดีดังคาด เกาฉิวขี่ม้าบุกออกไป ทั้งรวดเร็วรุนแรงและกะทันหัน ชนเผ่านอกด่านกลับไม่สับสนวุ่นวายแม้แต่น้อย คนหลายพันคนขึ้นหลังม้า บังคับม้าดึงบังเ**ยนพร้อมเพรียงกัน ไล่ตามอยู่ข้างหลังเขา
“ฟิ้ว!” บนท้องฟ้าอันห่างไหลปรากฏพลุสัญญาณขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายกำลังตอบรับทางนี้อยู่
“ข้างหน้าออกไปอีกสี่สิบลี้ พบเงาร่างของทหารม้าต้าหัว!” ม้าเร็วที่อยู่ข้างหน้ามารายงาน ทำให้ใบหน้าของหัวหน้าทูเจวี๋ยแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นทันที ดาบโค้งในมือมันออกจากฝัก ตวาดเสียงดังออกมา “เหล่าผู้กล้าทูเจวี๋ยผู้ไร้เทียมทาน เพื่อท่านข่าน เวลาสร้างผลงานมาถึงแล้ว! ฆ่าชาวต้าหัวที่บุรุกทุ่งหญ้า ฆ่าพวกมัน!”
“ฆ่าชาวต้าหัว!” นิสัยดุร้ายของชาวทูเจวี๋ยปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจน ส่งเสียงขู่คำรามของหมาป่าดังแฮแฮ่ สามพันคนคร่อมอยู่บนหลังม้า ร่างแทบจะอยู่ในระนาบเดียวกับหลังม้า ความรวดเร็วนั้นยังเร็วยิ่งกว่าลูกธนูเสียอีก เสียงฝีเท้าดังตึงๆ กระแทกทุ่งหญ้าราวอสุนีบาตยามวสันต์ ผืนแผ่นดินคล้ายบังเกิดความสั่นสะเทือน