ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 542
ดาบนี้ทั้งเร็วและแรง ประกายแสงที่ปรากฏขึ้นรำไรดุจดาวตกที่วิ่งผ่านเข้ามา ฟันตรงลงไปที่ใบหน้าอวี้เจีย
ด้วยความตกใจร้อนรน สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องอ๊าด้วยโทสะคราหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับปราศจากความกริ่งเกรง ดาบโค้งสีทองที่อยู่ในมือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แทงไปที่ท้องน้อยของหลินหว่านหรง
ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จา มาถึงก็ลงมือเ**้ยมโหด พื้นที่ภายในตัวรถนี้เล็กยิ่งนัก ขยับไม่สะดวก หลินหว่านหรงฟันดาบลงไปก็จะสังหารอวี้เจียได้ แต่ตนเองก็ยากจะเลี่ยงถูกนางแทงด้วยเช่นกัน
ดาบเหล็กแวววาวพาดอยู่บนลำคอขาวนุ่มนิ่มของสาวน้อยทูเจวี๋ย อวี้เจียผู้นี้แม้จะเป็นสตรี แต่ความแข็งกร้าวกลับเหนือล้ำบุรุษ เนตรงามเบิกโพลงจนกลม ดาบทองในมืออยู่ห่างจากท้องน้อยของหลินหว่านหรงแค่คืบ ขอเพียงเขาลงมือ สองคนก็จะสู้จนตายตกไปตามกัน ภายในตัวรถเงียบสงบในบัดดล อวี้เจียกัดริมฝีปากแน่น มองเขาอย่างดุดัน เนตรงามเย็นชา
หลินหว่านหรงทอดสายตามองไป เห็นเพียงริมฝีปากน้อยสีแดงสดของสาวน้อยทูเจวี๋ยพ่นลมหายใจหอบหนักๆ ไม่หยุด ใบหน้าแดงซ่านไปหมด แถบผ้าของชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านหลุดเผยให้เห็นหน้าอกอันอ่อนนุ่มนิ่มของนาง ขาวกระจ่างใสดั่งหยกขาวอันงดงาม ข้างกายยังมีชุดกระโปรงดิ้นทองตัวใหม่เอี่ยมตัวหนึ่งวางอยู่ด้วย
สาวน้อยมือหนึ่งถือดาบ อีกมือหนึ่งกลับกำสายรัดเอวแน่น ในสายตาอันเต็มไปด้วยโทสะกลับแฝงความอายอยู่หลายส่วน
“จะ…เจ้าจะทำอะไร?!” อวี้เจียหงุดหงิดโมโห มือจับแถบผ้าบนตัวแน่น แม้แต่ดาบเหล็กที่กำลังพาดคออยู่ก็ไม่สนใจ ลำคอระหงยืดมาข้างหน้าเล็กน้อย ทว่าดาบเหล็กนั้นกลับปราศจากความคิดที่จะรั้งกลับ ซอกคอขาวละเอียดนุ่มนิ่มพลันถูกกดจนเกิดเป็นเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง คราบเลือดปรากฏให้เห็นรำไร
ที่แท้นังหนูนี่กำลังเปลี่ยนชุด หลินหว่านหรงหัวเราะพรวดออกมา เขาเหลือบมองหน้าอกอวี้เจียหลายครั้ง ทว่าสีหน้ากลับดุร้ายเหลือคนา “ทำอะไรหรือ? เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร…” เขาแกว่งดาบเหล็กในมืออย่างดุดัน “…ข้าต้องการฆ่าคน!”
“หมาป่ากางกรงเล็บอันแหลมคม นั่นเพราะเป็นอาวุธสุดท้ายของมัน เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า หากข้าขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย ข้าก็ไม่ใช่อวี้เจียสตรีแห่งทุ่งหญ้าแล้ว” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกทางจมูกคราหนึ่ง มองเขาอย่างดูแคลนหลายครั้ง หลับตาลงอย่างแช่มช้า สีหน้าสงบนิ่งอย่างหาที่เปรียบมิได้
ทุกสำนวนทูเจวี๋ยที่อวี้เจียใช้ต่างเกี่ยวข้องกับหมาป่า หลินหว่านหรงฟังแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาส่ายหน้าพร้อมหล่าวระคนหัวเราะ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคนนี้ใจอ่อน ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นหมาป่า เทียบกับแม่นางอวี้เจียเช่นเจ้าไม่ได้ พอตวาดออกมายังร้ายกาจกว่าหมาป่าตัวเมียที่ติดสัดบนทุ่งหญ้าเป็นร้อยเท่า ข้าว่าให้เจ้าเป็นจ่าฝูงหมาป่า ยังพอฝืนให้เหมาะสมกับสถานะของเจ้าได้”
นัยน์ตาสีฟ้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยล้ำลึกดั่งวารี นางมองเขาหลายครั้ง กล่าวออกมาอย่างแช่มช้า “ฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าไม่มีวันรู้ว่าจ่าฝูงของพวกมันอยู่ที่ใด นั่นเพราะพอเจ้ารู้ เจ้าก็ฝังร่างไปแล้ว”
นังหนูนี่ช่างเข้าใจนิสัยของหมาป่าดีเสียจริง หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้านอกจากศึกษาเรื่องหมาป่าบ้ากามแล้ว เรื่องอื่นก็งั้นๆ เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้ากลับอยากจะรู้จริงๆ…น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าชี้นำทหารม้าทูเจวี๋ยพวกนั้นมาได้อย่างไร?”
สาวน้อยทูเจวี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักขึ้นมาทันที นางพลันหัวเราะคิกคัก ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งรุนแรง ร่างที่ประคองหน้าต่างรถสั่นอยู่ตลอดเวลา จนสุดท้ายแม้แต่ดาบทองที่อยู่ในมือก็ถือไม่มั่น ค้อมเอวลงหัวเราะร่าทันที ใบหน้าแดงก่ำ อกงามอ่อนนุ่มนิ่มขยับขึ้นลง เสียงดั่งกังสดาลเงินนั้นลอยออกไปไกลลิบ
นังหนูนี่คงไม่ได้กินยา ‘อมยิ้มครึ่งก้าวล้ม’[1] ลงไปหรอกนะ?! หลินหว่านหรงถูกนางหัวเราะจนขนหัวลุก รีบชูดาบยาวในมือ “ห้ามหัวเราะ ถ้าหัวเราะอีกข้าจะฆ่าคนแล้วนะ”
“เจ้าฆ่าคนข้าก็จะหวัเราะ…” สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้เหมือนได้พบกับเรื่องที่น่าสนุกที่สุดบนโลกนี้ ไม่แยแสการขู่จากเขาแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะกระจ่างสดใสดังไปทั่วทุ่งหญ้า
“แย่แล้ว!” เหล่าเกากับเหล่าหูสบตากัน เห็นความประหวั่นพรั่นพรึงภายในดวงตาของอีกฝ่าย ขอเพียงเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้หัวเราะ แม่ทัพหลินจะต้องได้รับความกระทบกระเทือนแน่นอน นี่แทบจะวนกลับแบบเดิมเลย
ยากเย็นนักกว่าที่อวี้เจียจะหยุดหัวเราะได้ ทว่าใบหน้ายังคงแดงไปหมด “ใต้เท้าหลิน แม่ทัพหลิน อ้อ เกือบลืมไป ชื่อทูเจวี๋ยของเจ้าคือซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้ารู้หรือไม่ พอเจ้าโง่ขึ้นมายังน่าดูกว่าท่าทางตอนที่เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดเป็นร้อยเท่าพันเท่า คิกๆ…”
‘ใต้เท้าอัวเหล่ากง’ ที่แสนดีนัก หลินหว่านหรงหัวเราะร้องไห้ไม่ออก “อย่างนั้นหรือ? ข้านึกว่าท่าทางก่อนหน้านี้ของข้าก็หล่อที่สุดแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าจะหล่อกว่านี้ได้อีก…ขอบคุณการเตือนสติของแม่นาง”
ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน อวี้เจียแค่นเสียงเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าพูดว่าข้าชักนำคนในเผ่าของข้ามา เช่นนั้นข้ากลับใคร่เรียนถามใต้เท้าท่านแม่ทัพสักคำ อวี้เจียถูกเจ้ากักตัวอยู่บนรถเพียงลำพัง ทุกคำพูดและการกระทำต่างอยู่ในสายตาของพวกเจ้า แล้วข้าจะส่งสารให้คนในเผ่าของข้าเช่นไร?”
ที่หลินหว่านหรงสงสัยก็คือปัญหานี้ โปรยตัวยา? รอบด้านต่างมีนายทหารจับตาดูนาง อย่าว่าแต่โปรยยาเลย แม้แต่ทิ้งเข็มปักผ้าสักเข็มก็มีคนเห็น เป่าอวี้เจียส่งข่าว? อย่าล้อเล่นน่า ถ้าชนเผ่านอกด่านอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงเป่าของนาง ข้าคงตายไปหลายร้อยครั้งมารดามันแล้ว เขาส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเดาไม่ออก…เช่นนั้นเจ้าว่ามาสิ เจ้าทำได้อย่างไร?!”
“ข้า…ถุย…เจ้าถึงส่งข่าวน่ะสิ!” ไม่ทันระวัง สาวน้อยทูเจวี๋ยเกือบหลงกลเขาแล้ว อดหน้าแดงระเรื่อไม่ได้ ตำหนิเขาด้วยโทสะหลายครั้ง
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “ที่จริงเจ้าจะส่งหรือไม่ส่งข่าวก็ไม่เป็นไร ในเมื่อข้ากล้ามุ่งหน้าเข้าไปในทุ่งหญ้า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกคนพบเข้าสักวันอยู่ดี แค่ช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าเจ้าจะมีสองหมื่นหรือว่าสองแสน สำหรับข้าแล้วก็เหมือนกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคนในเผ่าของเจ้าตอนนี้ยังอยู่ห่างจากพวกเราอีกสองร้อยกว่าลี้ ข้ามีเวลาเพียงพอที่จะปรับกระบวน ข้าอยากสู้ก็สู้ อยากไปก็ไป ต้องให้พวกมันไม่ได้อะไรกลับไปแน่นอน”
คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หากต้องการเล่นสงครามกองโจรบนทุ่งหญ้า การใช้การรบเพื่อเลี้ยงการรบถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากไม่อยากถูกชนเผ่านอกด่านพบเห็น นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง “ใช้รุกเพื่อถอย เจ้ากลับเจ้าเล่ห์นัก เพียงแต่ก็อย่างที่เจ้าว่ามา เจ้าเข้าสู่ทุ่งหญ้า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกพบเห็น แล้วเหตุใดข้าต้องเอาชีวิตของคนในเผ่าจำนวนหลายร้อยคนของข้ากับข้าเป็นค่าตอบแทน สิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ที่เสียเปรียบเพื่อส่งข่าวด้วย?! เจ้านึกว่าอวี้เจียจะโง่เหมือนเจ้าหรือ?!”
“พูดเหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง” หลินหว่านหรงหัวเราะผงกศีรษะ “พูดเช่นนี้ก็ไม่ใช่เจ้าที่ส่งข่าวจริงๆ? เช่นนั้นเป็นใครล่ะ?”
อวี้เจียสีหน้าเย็นชา “ต้องให้ข้าพูดอีกรอบหรือ? อวี้เจียไม่ได้ต่ำช้าเช่นเจ้า เทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยานให้ข้าได้ เจ้าอย่าประเมินตัวเองสูงไป ในเผ่าข้ามีผู้กล้าผู้มีความสามารถถือกำเนิดมากมาย หากต้องการมองแผนการกระจอกของเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งนั่นง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ! ยังต้องมีคนส่งข่าวอีกหรือ?”
อวี้เจียยกเทพแห่งทุ่งหญ้าออกมา ดูท่าคงดูถูกแผนการชั่วช้าเช่นนี้จริงๆ หลินหว่านหรงหัวสมองกระจ่างวูบ กล่าวด้วยความเข้าใจทันที “อ้อ ข้ารู้แล้ว ที่แท้พวกมันไม่ได้พบพวกเราจริงๆ”
สาวน้อยทูเจวี๋ยดวงตาฉายแววประหลายใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ง่ายดายมาก” หลินหว่านหรงหัวเราะ “คนในเผ่าสองคนของเจ้าที่ข้าปล่อยไปจงใจปล่อยข่าวปลอม ทหารม้าทูเจวี๋ยสองหมื่นนั่นพอรู้ข่าวนี้ หากฉลาดสักหน่อยก็จะนึกถึงความเป็นไปได้เรื่องส่งเสียงตะวันออกโจมตีตะวันตก ถึงอย่างไรอู่หยวนที่อยู่ข้างหน้าก็ยังมีไพร่พลจำนวนสี่หมื่นรอคอยอยู่ ไม่ห่วงว่าพวกเราจะบินหนีหายไป ดังนั้นไพร่พลสองหมื่นนี้จึงวางใจเดินทัพย้อนศรเพื่อสืบหาตำแหน่งที่แท้จริงของเราได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนส่งข่าวเลย นี่คือการสับขาหลอกนี่นา ข้าชอบดูการละเล่นนี้มากที่สุด ยังต้องขอบคุณแม่นางอวี้เจียที่เตือนสติข้า คิดไม่ถึงว่าในชาวทูเจวี๋ยก็มีผู้มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย”
อวี้เจียแค่นเสียง “เป็นการคาดเดาของเจ้าทั้งนั้น ได้ใจอะไรกัน? หากมีความสามารถเจ้าก็หยุดตรงนี้ไม่ไปไหน ดูสิว่าใครจะเป็นผู้กล้าที่แท้จริงกันแน่!”
หลินหว่านหรงโบกมือ กล่าวระคนหัวเราะ “เมื่อเข้าทุ่งหญ้าแล้วก็ถือว่าร่ายรำอยู่บนปลายดาบ ผู้กล้าเช่นข้านี้เต้นรูดเสาจะดีกว่า หากมีชาวทูเจวี๋ยคนไหนชื่นชอบและชื่นชม ข้าก็ไม่สนใจ ส่วนเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่ไม่ใช่คาดเดา แม่นางอวี้เจียรู้อยู่แก่ใจดี ที่จริงแล้วข้าอยากบอกเจ้ามากว่าตรงนี้ยังมีข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่อยู่จุดหนึ่ง เพียงแต่ตัวของแม่นางอวี้เจียเจ้าไม่รู้สึกตัวก็เท่านั้นเอง”
เต้นรูดเสาอะไร ฟังเขาพูดศัพท์แปลกประหลาด สาวน้อยทูเจวี๋ยหน้าแดง เพียงแต่เมื่อเห็นเขาโม้จนสั่นสะเทือนถึงสวรรค์ ความมั่นใจนั้นกลับเปี่ยมล้น นางก็อดประหลาดใจไม่ได้ “ข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่? ข้อบกพร่องอะไร?!”
“ข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่นี้น่ะหรือก็คือตัวเจ้าเอง” หลินหว่านหรงหรี่ตาเป็นเส้นตรง รอยยิ้มลามก
สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงเฉยชา “เจ้าพูดเหลวไหล ข้ามีข้อบกพร่องอะไร?”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะแล้วตอบว่า “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีที่มาที่ไปอันใดกันแน่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ คนฉลาดหลักแหลมงดงามเช่นเจ้า สถานะในทูเจวี๋ยจะต้องไม่ต่ำต้อย ข้าพูดถูกหรือไม่?!”
อวี้เจียแค่นเสียงออกจมูกคราหนึ่ง ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
“ข้าจับตัวคนที่ยอดเยี่ยมและสูงศักดิ์เช่นนี้ อีกทั้งยังจงใจปล่อยคนในเผ่าของเจ้าไปสองคนเพื่อส่งข่าว ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นนี้แม้จะสงสัยทิศทางที่แท้จริงของพวกเรา แต่มันก็ไม่มีทางกล้าไม่สนใจชีวิตเจ้า แย่ที่สุด มันจะแยกกำลังเป็นสองสาย ทางหนึ่งไล่ตามไปทางอู่หยวน ปกป้องคุณหนูอวี้เจียผู้สูงศักดิ์มากที่สุด อีกทางหนึ่งกลับสืบหาทิศทางที่พวกมันสงสัย ต่อให้มอบขวัญให้มันสิบขวัญ มันก็ไม่อาจรวบรวมกำลังทั้งหมดแล้วพุ่งไปยังทิศทางที่ไม่แน่ใจได้…เจ้าดูสิ ข้อบกพร่อง! นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่องหรอกหรือ? ข้ากล้าพนันกับเจ้าว่าหากพวกมันออกมาเป็นร้อยลี้แล้วหาร่องรอยพวกเราไม่เจอ การสืบหานี้ก็จะสิ้นสุด กองกำลังช่วยเหลือสองสายของพวกมันก็จะตามไปที่อู่หยวนแต่โดยดี ว่าอย่างไร คุณหนูอวี้เจีย เจ้ากล้าพนันกับข้าสักตาหรือไม่?”
สาวน้อยทูเจวี๋ยดวงตาสาดประกายคมกริบเร็วรี่ ความประหลาดใจไม่อาจกลบเกลื่อน ถึงกระนั้นกลับแค่นเสียงด้วยความดึงดัน “เจ้าจะพนันอะไร?”
หลินหว่านหรงตรวจดูสีหน้า ความมั่นใจยิ่งเพิ่มพูน หัวเราะฮิฮะแล้วตอบว่า “พนันอะไรน่ะหรือ ง่ายดายมาก ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะปล่อยคนในเผ่าเจ้าสิบคนทันที”
อวี้เจียมองเขาอย่างระแวดระวัง แค่นสียงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะใช้คนในเผ่าข้ามาเล่นละครให้เจ้าอีกแล้ว?! เช่นนั้นหากข้าแพ้ล่ะ…”
“เจ้าแพ้หรือ…” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ดวงตามองวนร่างกายนางอย่างเปล่งประกาย ปล่อยแสงวาวโรจน์อยู่ตลอดเวลา อวี้เจียรีบยกชุดขึ้นมาปิดหน้าอก ดาบทองกันอยู่ตรงหน้าอกแนบแน่น ตวาดด้วยโทสะออกมา “หมาป่าชั่วช้า อย่าคิดลบหลู่ความบริสุทธิ์ของสตรีแห่งทุ่งหญ้าเป็นอันขาด”
“เอ๊ะ ดาบเล็กนี้ไม่เลว ทองเหลืองอร่าม” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “หากเจ้าแพ้ก็มอบดาบน้อยเล่มนี้ให้ข้าก็ได้ ยามข้าว่างจะได้ปอกผลไม้ ตัดแต่งเล็บ…”
“ฝันกลางวัน” ไม่รอให้เขาพูดจบอวี้เจียก็ตัดบทเขา กล่าวดูแคลนว่า “ผู้ที่ได้รับดาบทองเล่มนี้จากข้ายังไม่ถือกำเนิดบนโลก”
หลินหว่านหรงแค่นเสียงด้วยความหงุดหงดโมโห “ก็แค่ดาบสับปะรังเคเล่มหนึ่งเองนี่นา? อย่าว่าแต่ทองเลย ต่อให้เอาไข่มุกโมรามากองข้าก็ไม่สน เช่นนั้นก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไข หากเจ้าแพ้ ต้องเรียกชื่อทูเจวี๋ยของข้าต่อหน้าทุกคนสิบรอบ ไม่ ร้อยรอบ! เจ้าตกลงหรือไม่ตกลง…หากไม่ตกลงข้าจะฆ่าคน!”
ชื่อทูเจวี๋ยของมัน?! เยวี่ยหยาเอ๋อร์ครุ่นคิด จากนั้นจึงผงกศีรษะแล้วตอบว่า “ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง นี่มันชื่อบ้าบออะไรกัน เรียกก็เรียกสิ ข้ายังกลัวเจ้าอีกหรือ?”
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมเก็บดาบยาวเข้าฝัก “รบกวนโดยพลการ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ น้องสาว เจ้าสวมเสื้อผ้าต่อไปเถอะนะ”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา มุมปากยิ้มเย็นชา “เหตุใดเล่า เจ้าไม่ฆ่าข้าแล้วหรือ?!”
หลินหว่านหรงกล่าวอย่างมีเลศนัย “นั่นจะทำลงได้อย่างไร? ตอนนี้เจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าของข้า เกี้ยวแปดคนหามก็ยังเชิญมาไม่ได้ พี่น้องห้าพันของข้านี้ยังหวังให้เจ้าช่วยชีวิตอยู่”
อวี้เจียดวงตาปรากฏแววเย็นเหยียบกระจ่างวูบ เมื่อสงบจิตใจครุ่นคิด การประมือในวันนี้ต่างกับเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง กลับเป็นเจ้าโจรคนนี้ที่แอบได้เปรียบ ควบคุมการกระทำ
สำรวจอกอวบอิ่มของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อีกหลายครั้ง ขณะกำลังจะกระโดดลงจากรถไป อวี้เจียที่เงียบงันอยู่พลันเอ่ยปากพูดพร้อมหัวเราะ ความงามยวนเย้าพลันบังเกิด “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ลืมบอกเจ้าไป ข้าชอบร่ายรำบนคมดาบเช่นกัน”
“อ้อ เต้นรูดเสาหรือเปล่า?!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะโดยไม่หันหน้ากลับ “เช่นนั้นพวกเราเต้นด้วยกันได้ ยังมีเสาเหล็กอีก…”
พูดยังไม่ทันจบอวี้เจียที่อยู่ข้างหลังก็เดือดดาลยกใหญ่ ปาสมุนไพรแห้งใส่หลังเขาอย่างหนักหน่วงหลายชิ้น “ชาวต้าหัวต่ำช้า ไสหัวไป…”
หลินหว่านหรงกระโดดลงจากรถม้า แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อมาตั้งแต่แรก เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หวนนึกถึงการปะทะกันที่ผ่านมากับสาวน้อยทูเจวี๋ย ถือได้ว่าสุ่มเสี่ยงทุกย่างก้าว ความคิดอันละเอียดรอบคอบ การตัดสินอย่างแม่นยำ การรู้ถึงจิตใจคนของอวี้เจียคนนี้ต่างเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ยินไม่ได้เห็นมาก่อน ยังดีที่คราวนี้ถูกเขาลดทอนความแหลมคมลงไปบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
“แม่ทัพหลิน เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร สืบได้อะไรบ้างหรือไม่ขอรับ?” หูปู้กุยกับเกาฉิวรีบควบม้าห้อตะบึงมาข้างหน้าเขา เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เมื่อดูจากท่าทางของแม่ทัพหลินตอนนี้ หน้าชื่นตาบาน อิ่มเอิบซาบซ่าน ท่าทางไม่เหมือนพ่ายแพ้ต่อหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หรือว่าแม่ทัพหลินจะสยบอวี้เจียได้แล้ว? เหล่าเกาเหล่าหูสองคนต่างงุนงงสงสัย
“สืบได้ครึ่งหนึ่ง” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง เกาฉิวเอ่ยด้วยความตกใจเบาๆ ว่า “เอ๊ะ หากพูดเช่นนี้ ไม่ใช่นางส่งข่าวจริงๆ หรือ?”
หูปู้กุยผงกศีรษะ “ในใจชาวทูเจวี๋ย เทพแห่งทุ่งหญ้ามีสถานะสูงส่งที่สุด สตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้จิตใจเย่อหยิ่ง ไม่มีทางโกหกต่อเทพแห่งทุ่งหญ้าแน่ ดูท่าท่ามกลางทหารม้าทูเจวี๋ยนั่นจะต้องมีคนที่สูงส่ง ท่านแม่ทัพ ท่านคิดว่าเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้ไม่พบพวกเรา ตอนนี้พวกมันก็แค่ลองสืบมาทางนี้เท่านั้นจริงหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ใช่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ส่งข่าว ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นก็ไม่มีวันพบร่องรอยของพวกเราแน่ อย่างมากก็แค่สงสัย มิหนำซ้ำเมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สถานะของอวี้เจียในหมู่ชาวทูเจวี๋ยน่าจะสำคัญยิ่ง ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางกล้าละเลยแน่ ก่อนจะยืนยันทิศทางที่แท้จริงของพวกเราได้ พวกมันจำเป็นต้องไปอู่หยวน กลับเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้สิ ฮิฮิ พี่เกา ที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลยสักนิด นี่คือปลาใหญ่นะ”
เกาฉิวเอ่ยถามตาปริบๆ “แต่นี่จะเป็นปลาเช่นใดกันเล่า? น้องหลิน เจ้าพอคลำทางได้หรือไม่?”
“ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในช่วงคลำหา” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “แต่ท่านวางใจเถิด อย่างที่ว่ากันไว้ ขอเพียงลงแรงให้มาก กระบองเหล็กต้องกลายเป็นเข็ม ต้องมีวันที่น้ำลดตอผุดอย่างแน่นอน เชื่อข้า”
เหล่าเกาหัวเราะลามกหน้าตาระรื่น หูปู้กุยค่อนข้างซื่ออยู่บ้าง ฟังรหัสลับของพวกเขาสองคนไม่ออก ส่งเสียงอืมหลายครั้งพร้อมพูดว่า “เช่นนั้นตอนนี้ทัพเราควรเคลื่อนไหวเช่นไรดี? ต้องหยุดหรือไม่ขอรับ?”
“อย่านะ หยุดทำไมเล่า” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างต่อเนื่อง “ต่อให้พวกท่านเชื่อใจข้า แต่ก็ไม่อาจเชื่อใจเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนั้นนะ สาวน้อยคนนี้แผนการยังมากยิ่งกว่าข้าเสียอีก หากนางแอบใช้วิธีการอะไรเพื่อส่งข่าว พวกเราจะไม่รอรับการทุบตีอยู่ตรงนี้หรือ? เพื่อความปลอดภัย พวกเรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเข้าสู่ทุ่งหญ้าต่อไป ทะลุเข้ากลางรังของชนเผ่านอกด่าน อึกทึกครึกโครมเช่นไรก็สู้เช่นนั้น ต้องทำให้ชาวทูเจวี๋ยตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อให้จงได้ นอกจากนี้ทหารม้าทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้หากพี่หูท่านส่งพี่น้องออกไปสืบต่อไป จะต้องได้เจอกับพวกมันอย่างแน่นอน”
หูปู้กุยกับเกาฉิวสองคนรับคำพร้อมกัน จากนั้นจึงไปจัดการ ขบวนทัพใหญ่เพิ่มความเร็วมุ่งหน้าไปทิศตะวันตก ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็ว ราวกับทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นนั้นไล่ตามอยู่ด้านหลังก้น
อวี้เจียเลิกผ้าม่านมองทัพต้าหัวผู้ชั่วร้ายที่วิ่งกระเจิดกระเจิงเหล่านี้ เจ้าหัวหน้าโจรหน้าดำคนนั้นขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุด หวดแส้ตวาดเสียงดังวิ่งห้อตะบึงตลอดทาง
สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกทางจมูกคราหนึ่ง “โจรขวัญอ่อน เจ้ากล้าร่ายรำบนคมดาบด้วยหรือ?”
——
[1] อมยิ้มครึ่งก้าวล้ม มาจากภาพยนตร์ของโจวซิงฉือ เป็นตัวยาที่เมื่อกินเข้าไปแล้วหากยิ้มแย้ม หรือเดินแค่ครึ่งก้าวก็จะตาย