ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 21 วิธีการอ่านตำรา
หน้าแรกก็คือหน้าถัดจากหน้าปก ว่างเปล่าดุจหิมะ มีเพียงตัวอักษรหนึ่งประโยคที่เข้ม ชัดเจนอย่างยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดที่พลิกตำราเล่มนี้ ล้วนแต่ไม่เคยพลาดมาก่อน
คนธรรมดาทั่วไปมองเห็นภาพนี้ แน่ใจได้ว่าคงจะพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่ หลังจากนั้นจึงทำความเข้าใจกับประโยคเหล่านั้น และอ่านต่อไป เฉินฉางเซิงกลับไม่เหมือนกับคนเหล่านั้น เขาไม่ได้พลิกหน้าต่อไป แต่ยืดตัวลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าของชั้นวางหนังสือ เสาะหาตำราที่เกี่ยวข้องกับการชำระล้างกระดูกมาจำนวนหนึ่ง พลิกอย่างรวดเร็ว พบว่าหน้าถัดจากหน้าปกของตำราเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยคเหมือนกันทั้งสิ้น ถึงจะกลับมานั่งบนพื้นอ่านต่อไป จิตใจร่วงหล่นลงบนแผ่นกระดาษ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ ตัวอักษรกระชับได้ใจความ เขากำลังอ่านอย่างละเอียด เวลาผ่านไปนานจึงอ่านจบหนึ่งรอบ เนื้อหาของตำราเหล่านี้เกี่ยวกับการฝึกฝนพลังจิตอย่างไร เขาไม่ได้หยุดก้าวเดินเพียงแค่นี้ หรือวิเคราะห์ หรือลองทำดู แต่เขาอ่านเนื้อหาต่อไป อ่านเนื้อหาข้างหลังไม่กี่รอบก็ค่อยๆ จดจำในสมอง
การบรรยายส่วนใหญ่ก็คือเนื้อหาสำคัญสามด้าน
การฝึกฝนพลังจิต การเสาะแสวงหาดาวโชคชะตา รวมทั้งการดึงแสงดาวเข้าสู่ร่าง
เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็สามารถอ่านจนจบ หลังจากนั้นปิดหนังสือ เริ่มหลับตาคิดวิเคราะห์อย่างเงียบๆ
เวลาผ่านมาสิบอึดใจ เขาลืมตาขึ้น เปิดหนังสือเริ่มการอ่านอีกรอบหนึ่ง
ครั้งนี้เขาใช้เวลาสั้นกว่าครั้งแรก เพียงแค่ใช้ระยะเวลาหนึ่งก้านธูปก็อ่านจนจบ
หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงอีกครั้งแล้วเริ่มใคร่ครวญเนื้อหาอย่างเงียบๆ
ไม่กี่อึดใจ เขาลืมตาขึ้น เริ่มอ่านอีกรอบหนึ่ง
ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้หลายๆ ครั้ง แสงดวงอาทิตย์สาดส่องจากนอกหน้าต่างก็ยังคงร้อนระอุเช่นเดิม
เขาปิดตำรา ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ไม่ได้เปิดอีกเลย
เขาหยิบเอาเครื่องเขียนกับหมึกออกมา ไม่ได้พลิกตำรา เริ่มที่จะบันทึกข้อคิดเห็นในการอ่านตำราของตนเองตามความทรงจำในสมอง
เวลาผ่านไปไม่นาน บนกระดาษมีตัวอักษรปรากฏหนาแน่น
เพียงชั่วพริบตาเดียวในที่สุดเขาก็เอาพู่กันวางไว้บนจานฝนหมึก เนื้อหาทั้งหมดของ ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ เหมือนกับสลักไว้บนก้อนหิน ถูกจดจำไว้ในสมอง
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นี่ไม่ใช่ความทรงจำที่จำแบบทื่อๆ แต่คือความเข้าใจอย่างแท้จริง
นี่คือวิธีการอ่านตำราของเฉินฉางเซิง
วิธีเช่นนี้พิเศษอย่างยิ่ง เขาและศิษย์พี่สองคนใช้ชีวิตการอ่านหนังสือที่ยากลำบากมาสิบกว่าปีถึงจะสามารถมีสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้ วัดเก่าแก่ในเมืองซีหนิงถึงแม้จะไม่สะดุดตา แต่ตำราที่อยู่ในนั้นกลับมีมากมายมหาศาลประหนึ่งมหาสมุทร การปรารถนาจะใช้เวลาสั้น ๆ ในการท่องจดจำตำราเยอะแยะมากมาย เป็นธรรมดาที่จะต้องมีความสามารถพิเศษ
ก่อนที่จะเป็นวิธีการอ่านตำราเช่นนี้ ตำราหนึ่งเล่มไม่จำเป็นต้องอ่านที่จุดสำคัญก่อน แล้วไปอ่านจุดทั่วไปจนจบ แล้วค่อยกลับมาอ่านจุดสำคัญอีกครั้ง ในความเป็นจริง ข้างในวัดเก่าทรุดโทรมในเมืองซีหนิงยังมีหนังสือจำนวนมากที่ตอนนี้ยังคงใหม่เอี่ยมอ่องเหมือนเดิม แต่ว่าเนื้อหาในตำราเหล่านั้นล้วนแต่ถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองจดจำจนหมดสิ้นแล้ว
สิ่งสำคัญที่สุดของวิธีการจดจำเช่นนี้คือขั้นตอนการบันทึกขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะใช้พู่กันจดจำไว้บนกระดาษ หรือว่าจดจำไว้ในสมองของตนเอง ล้วนแต่คือการจัดระเบียบและยืนยันขั้นตอนการอ่านทั้งหมดอีกรอบหนึ่ง เพียงแค่สำเร็จขั้นตอนนี้ ถึงจะสามารถกล่าวได้ว่าผู้อ่านสามารถนำเนื้อหาทั้งหมดเปลี่ยนแปลงเป็นความรู้ของตนเอง
อ่าน ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ จนจบแล้ว ปิดหน้าตำรา ไม่ใช่เพราะว่าเสร็จสิ้น แต่เวลาศึกษาและร่ำเรียนสามารถดำเนินศึกษาต่อในสมองและสมุดจดบันทึกได้ ทว่าการเป้าหมายของการอ่านคืออะไร มันคือการปฏิบัติ เป้าหมายที่เขาอ่าน ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ ก็เพื่อที่จะสามารถชำระล้างกระดูกสำเร็จ เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร
ขั้นแรกของการชำระล้างกระดูกก็คือการรวบรวมพลัง
จิต พลังจิตเป็นความสามารถของจิตใจมนุษย์
ใช้ภาษาธรรมดาในการอธิบาย ก็คือ ‘ความคิด’ เพียงแค่ความคิดแกร่งกล้าเพียงพอ เป็นหนึ่งเดียวเพียงพอ จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังอย่างหนึ่ง
ฟังดูเหมือนไม่ยาก ราวกับว่าบีบหัวคิ้วให้กลายเป็นแม่น้ำและภูเขาอย่างสุดชีวิต สามารถจินตนาการว่าตนเองผ่านไปผ่านมาในภูเขาและแม่น้ำที่สง่างามอย่างมีอิสระ แต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่าพลังจิตจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งก็คือผู้มีพรสวรรค์บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับความขยัน ถึงแม้ว่าคนธรรมดาจะขยันสักเพียงใด ความแข็งแกร่งของพลังจิตเขาจะแกร่งกล้ามากกว่าสายเลือดหงส์ฟ้าที่กลับชาติมาเกิดได้เชียวหรือ
เฉินฉางเซิงเตรียมตัวที่จะฝึกบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี จะกล่าวให้ถูกก็คือ หลังจากอายุสิบปีร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด เขาเฝ้าคอยให้วันนี้มาถึงอย่างเงียบๆ มาตลอด เขารู้ว่าลมปราณของตนมีปัญหา ก็คือที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ว่าตนมีโรค
พลังลมปราณเก้าระยะไม่สามารถผสานกันได้
จิตวิญญาณของเขาหมดหนทางที่จะหมุนเวียนภายในร่างกาย จึงถูกบีบให้ระบายออกมาเป็นเม็ดเหงื่อ
ถึงแม้หลังจากอายุสิบปี จะถูกอาจารย์ใช้ยาระงับไว้
แต่จิตวิญญาณแก่นสำคัญกลับมิได้ไหลหายไป แต่ว่ายังคงเป็นปัญหา ดังนั้นเมื่อตอนทดสอบที่สำนักเทียนเต้า ก้อนหินหน่วงนำสีดำๆ ก้อนนั้น จึงไม่รับรู้พลังจิตใดๆ ในร่างกายของเขา
ถ้าหากจิตวิญญาณไม่แข็งแกร่งพอ จะรวบรวมพลังจิตได้อย่างไร
ไม่มีพลังจิต แล้วจะปลดปล่อยได้อย่างไร
ก้าวแรกของการชำระล้างกระดูก ควรที่จะก้าวเท้าเดินอย่างไร
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกหดหู่เหมือนกับผู้คนที่เพิ่งพบว่าตนเองหมดความหวังที่จะฝึกบำเพ็ญเพียร และยิ่งไม่สิ้นหวัง
เขาเชื่อมั่นมาตลอดหลายปีก่อน จะต้องมีผู้คนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ก่อนอย่างแน่นอน เพราะว่าผู้ที่เป็นเหมือนตนนั้นมีมากมาย เขาเคยอ่านตำราและคัมภีร์เต๋าเหล่านั้น เขามักจะพบบันทึกคล้ายกับผู้ที่ผิดหวังเสาะแสวงหาวิธีของผู้มีพรสวรรค์พบ และเปลี่ยนแปลงเป็นผู้แกร่งกล้าของโลกนี้ ดังเช่นหวังจือเช่อ แต่ว่าเขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าปัญหาพลังลมปราณของเขาไม่เคยพบเห็นกรณีตัวอย่างที่คล้ายคลึงในตำรา
อาจารย์เอ่ยว่าไม่มีวิธีที่จะรักษา
นั่นคือโชคชะตา
เขาไม่มีเวลาหลงเหลือที่จะต่อสู้กับโชคชะตา
ไม่คิดว่าตนเองจะคิดวิธีใหม่ๆ ดั่งเช่นผู้มีพรสวรรค์ภายในระยะเวลาอันสั้นได้ เขาชอบที่จะทำตามกระแสน้ำที่ไหลไปตามทาง เขาคิดว่าตนเองต้องทำตามวิธีของโลกนี้ และก็สามารถรวบรวมพลังจิต เริ่มการฝึกบำเพ็ญเพียร เขาเชื่อในสติปัญญาของคนรุ่นก่อนมากกว่าใคร
‘อ่านตำราร้อยครา สัจธรรมพึงเห็นเอง’
ด้านบนของตำราทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชำระล้างกระดูก ล้วนแต่มีประโยคที่สะดุดตาเช่นนี้ ชัดเจนอย่างยิ่ง ประโยคนี้คือกุญแจสำคัญส่วนหนึ่งของการชำระล้างกระดูก ก็เป็นส่วนหนึ่งที่คนรุ่นก่อนอยากจะบอกกล่าวถึงคนรุ่นหลัง เพียงแค่ว่าจะต้องอ่านเล่มไหนกันเล่า
เฉินฉางเซิงอ่าน ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ ด้านหลังของปกตำราอัดแน่นไปด้วยรายชื่อ มองไปยังชื่อของตำราความสงบสุขสายกลาง หรือว่ากระบี่เดินทางอ้อม ส่ายศีรษะ คาดไม่ถึงหลังจากมาถึงจิงตู ยังคงมีวันเวลาที่ดำเนินต่อไปเหมือนกับอยู่ที่เมืองซีหนิง
อยู่ที่สำนักเทียนเต้าหรือว่าสำนักเด็ดดารา หากนักเรียนปรารถนาที่จะทะลวงด่านชำระล้างกระดูก เป็นธรรมดาที่จะมีอาจารย์คอยบอกพวกเขา หัวใจสำคัญของการชำระล้างกระดูกก็คือข้ามผ่านการอ่านตำราที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก การบรรลุจิตวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้จะต้องมีเป้าหมายในการรวบรวมพลังจิต
‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ เป็นเพียงบททั่วไป เป้าหมายที่จะต้องศึกษาอย่างแท้จริง ก็คือตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มด้านหลังของปก
แน่นอน เช่นนี้ไม่ได้หมายถึงว่านักเรียนทั้งหมดจะต้องอ่านหนังสือทั้งสี่สิบเก้าเล่มให้จบหนึ่งร้อยรอบ ถึงจะสามารถนำจิตวิญญาณฝึกฝนจนถึงระดับการรวบรวมพลังจิต เมื่อเวลาผ่านไป เพียงแค่ต้องการให้ไปถึงระหว่างทาง พลังจิตของผู้อ่านก็จะสิ้นสุดการรวบรวม ขั้นตอนนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์
ขั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่ายิ่งสำเร็จเร็วยิ่งดี ถ้าหากอ่านตำราเพียงหนึ่งเล่มเป็นจำนวนสิบรอบ ก็สามารถสำเร็จการรวบรวมพลังจิตได้ แต่คนผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่มีพลังจิตอ่อนที่สุดของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรในประวัติศาสตร์ ในทางกลับกัน ยิ่งอ่านตำราเยอะ ยิ่งอ่านจำนวนหลายๆ ครั้ง จิตวิญญาณถูกฝึกฝนยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง กลับยังคงไม่สามารถทำลายชั้นกระดาษเบาบางออกได้ จนกระทั่งสุดท้ายรวบรวมพลังจิตสำเร็จ พลังจิตเช่นนี้ถึงจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ถ้าหากมีคนสามารถนำรายชื่อตำราของตำรา ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ ทั้งสี่สิบเก้าเล่มหลังจากอ่านจบหนึ่งร้อยรอบ แล้วค่อยรวบรวมพลังจิตในตอนสุดท้าย อย่างนั้นในอนาคตเขาคงสามารถรวบรวมดวงดาวชำระล้างกระดูกได้จนสามารถบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ที่สุด เพียงแค่เหตุการณ์เช่นนี้พบเจอน้อยมาก นอกจากผู้โชคดีที่มีสายเลือดของผู้มีพรสวรรค์ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีคนสามารถทำได้
นี่เป็นขั้นตอนที่สะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง วันเวลาจะผ่านไปกับสายน้ำ การอ่านตำราและการเพิ่มจำนวนครั้งการอ่านให้มากขึ้น คุณสามารถรอให้ตนเองเปลี่ยนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีพลังจิตอันแข็งแกร่ง แต่ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ว่า สุดท้ายแล้วจะไร้หนทางรวบรวมพลังจิต และกลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
มีความหวังกับผิดหวัง ขั้นตอนการอ่านตำราและที่ไม่หยุดที่จะขยายให้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายจึงแปรเปลี่ยนเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ผลลัพธ์ของการเล่นการพนัน เพียงแค่อ่านตำราเหล่านี้จบแล้ว หลังจากอ่านหนึ่งร้อยรอบ ผลลัพธ์ก็จะปรากฏออกมาเอง
อ่านตำราร้อยครา สัจธรรมพึงเห็นเอง
ก็คือความหมายเช่นนี้
อ่าน ‘คัมภีร์การชำระล้างกระดูก’ จบหนึ่งรอบ เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของตนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใด ไม่ได้รับรู้ถึงจิตวิญญาณ เป็นธรรมดาที่จะไม่รับรู้ถึงพลังจิต
เขาเชื่อว่าความสามารถการอ่านของตนเองสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป อย่างนั้นคงไม่จำเป็นต้องอ่านถึงร้อยรอบ อาจจะยี่สิบสามสิบรอบก็เพียงพอแล้ว คำอรรถาธิบายคัมภีร์ทั้งสี่สิบเก้าเล่ม หากนับจากอัตราความสามารถในการอ่านของเขา รอบแรกที่เริ่ม หนึ่งวันสามารถอ่านได้มากที่สุดเพียงเจ็ดเล่ม เจ็ดวันอ่านจบหนึ่งรอบ ถึงแม้จะตามเวลาที่ผ่านไป เพิ่มอัตราความเร็วการอ่าน อ่านตำราเหล่านี้เสร็จสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็ใช้เวลาครึ่งปี เขามีเวลาครึ่งปีหรือ ไม่มี อย่างนั้นควรจะทำอย่างไรเล่า หลังจากมาถึงจิงตู ครั้งแรกเขารู้สึกกลัดกลุ้มใจ
ถ้าหากให้ผู้อื่นรับรู้ความกลัดกลุ้มใจของเขาตอนนี้ ก็คงจะรับรู้ไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน เพราะว่าจากการคำนวณของเขา ชัดเจนอย่างยิ่งว่าจะต้องอ่านตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มให้จบถึงจะสามารถเริ่มรวบรวมพลังจิตได้ ถ้าหากเขาสามารถรวบรวมพลังจิตได้ พูดอีกอย่างก็คือ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุด แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาพริบตาเดียว ที่จริงแล้วเขาเชื่อมาตลอดว่าตนเองอยู่ในระดับเดียวกับผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้น ถึงขนาดว่ามีความสูงกว่าเล็กน้อย
มิน่าเล่าครั้งแรกที่ถังซานสือลิ่วเจอหน้าเขา รู้สึกว่าเขาเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง
มองดูแล้วเหมือนกับว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย คอยระมัดระวัง
แต่ในความเป็นจริง เขามีเหตุผลหลากหลายด้านที่ทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง จนทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เย่อหยิ่ง
เมื่อกำลังใคร่ครวญ พลันมีลมบางเบาผัดผ่าน มีเงาตกกระทบ ปิดปังตัวอักษรเหล่านั้นบนปกหลัง
เฉินฉางเซิงแหงนศีรษะมองขึ้นไป พบสตรีที่งดงามนางหนึ่ง กำลังยิ้มเยาะจ้องมองตนเอง
ตอนนี้เขานั่งอยู่บนพื้น เป็นธรรมดาที่สตรีนางนั้นจ้องมองเขาจากด้านบนลงมายังด้านล่าง
สตรีนางนั้นก็คือซวงเอ๋อร์แห่งจวนขุนพลเทพตงอวี้ นางจ้องมองหน้ากระดาษที่เกี่ยวข้องกับการชำระล้างกระดูกที่อยู่ข้างกายเขา เข้าใจว่าเขาอยากทำอะไร กล่าวอย่างเย้ยหยัน “อายุสิบสี่ปีถึงจะเริ่มชำระล้างกระดูก ไม่สายไปหน่อยหรือ”
เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “การได้ยินมีก่อนหลัง เริ่มก่อนถึงทีหลัง เริ่มทีหลังถึงก่อน”
ซวงเอ๋อร์คาดคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบอย่างนี้ ตะลึงงัน หลังจากนั้นกล่าวอย่างเหยียดหยามออกมา “ตำราสี่สิบเก้าม้วน หนึ่งร้อยรอบ สิบวัน เป็นตัวเลขที่คุณหนูของข้าได้รวบรวมพลังจิตเมื่ออายุสี่ขวบทิ้งเอาไว้ เริ่มที่หลังถึงก่อนหรือ เจ้าสามารถไปถึงก่อนที่ไหนกัน”
เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร