ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 270 เสี่ยวป๋ายที่น่าสงสาร
เพียงแต่หูชีเยี่ยนในตอนนี้ที่สวมใส่เสื้อผ้าเช่นนั้นบนร่าง เขาพูดประโยคเช่นนี้ออกมาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกถึงพลังสังหารที่แรงกล้าเท่าไหร่ ดังนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงแกล้งทำเป็นหูทวนลมและกลอกตาใส่เขา
“จ่านมู่หรง!” หูชีเยี่ยนตะโกนเรียก
จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อนถามขึ้น “คุณมีอะไรอยากจะสั่งเหรอครับ”
“ออกไปซื้อเสื้อผ้าให้ฉันหน่อย แล้วก็คืนนี้ฉันอยากกินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดพิทักษ์วัง เป็ดนึ่งเหล้าหอมหมื่นลี้ ต้มจืดกระจับ ฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอย…” หูชีเยี่ยนร่ายชื่อเมนูยาวเป็นหางว่าว จนจ่านป๋ายที่ฟังอยู่นั้นแทบจะมึนงงไปหมด รีบโถมตัวเข้าหาคอมพิวเตอร์และจดบันทึกอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันสิ่งที่ได้รับมอบหมายตกหล่น
คุณลุงท่านนี้ก็เอาใจยากจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่?
“ฉันไม่ชอบกินอาหารที่ซื้อตามโรงแรม ฉันจะทำเอง!” หูชีเยี่ยนส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะพาเชฟที่บ้านมาด้วยนะครับ” จ่านป๋ายบ่นเสียงเบาอุบอิบ แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำได้แต่ออกไปซื้อ แต่มันติดตรงที่ตนเองกับซีเหมินจินเหลียนไม่ค่อยได้เข้าครัวทำกับข้าว ขอแค่เขาได้ลองกินสักครั้ง รับรองไม่มีทางกินครั้งที่สองเป็นแน่
จ่านป๋ายเริ่มคิดถึงเทรนด์เสื้อผ้าในยุคนี้ แต่ดูจากสไตล์เสื้อผ้าที่หูชีเยี่ยนชอบใส่เป็นประจำแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเป็นปม “คุณหู เสื้อผ้าของคุณ…หากต้องการสไตล์เดิม เกรงว่าคงต้องสั่งตัดนะครับ”
“ฉันไม่ชอบแบรนด์อาร์มานี่” หูชีเยี่ยนกลอกตาใส่เขา ก่อนนั่งไขว้ห่างอยู่บนโซฟา
จ่านป๋ายพยักหน้าหงึกหงัก ก็ยังดีๆ ไม่ชอบแบรนด์อาร์มานี่ยังไม่เป็นไร ขอแค่เขาไม่ต้องการสไตล์ย้อนยุคก็ดีมากแค่ไหนแล้ว…
“คุณรอสักครู่นะครับ ผมจะออกไปซื้อกับข้าว” จ่านป๋ายส่งสายตาให้กับซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนก็รู้เจตนาของเขา เมื่อเห็นหูชีเยี่ยนตอบตกลง ทั้งคู่จึงรีบออกไปข้างนอกด้วยกัน
“อยากจะหลบฉันอย่างนั้นเหรอ?” หูชีเยี่ยนเห็นเงาด้านหลังของทั้งสองคนแล้ว ก็ยิ้มหัวเราะออกมา
“คุณลุงนั่นจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกันครับ” จ่านป๋ายสตาร์ทรถและถาม
“คำถามเดียวกัน ฉันก็อยากรู้!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจพูดขึ้น “เขาอยากจะพักนานแค่ไหนก็ให้เขาพักไปเถอะ ฉันก็มีสิทธิ์ไล่เขาออกไปได้ด้วยเหรอ? คนขับรถแท็กซี่คนนั้นพูดถูก เขาเป็นพ่อของฉัน…ไปซื้อเสื้อที่ห้างก่อนเถอะ จากนั้นค่อยไปซื้อกับข้าว อีกเดี๋ยวคุณโทรไปหาหลินเสวียนหลาน เรียกเขามาช่วยทำกับข้าวให้สักมื้อ”
ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงฝีมือทำกับข้าวของตัวเองแล้วก็ต้องถอนหายใจ ส่วนฝีมือของจ่านป๋ายนั้นก็ร้ายแรงเช่นเดียวกัน อุตส่าห์ซื้อตำราอาหารกลับมาศึกษาตั้งกองพะเนิน แต่ก็ยังไม่ได้ออกโรงสักที…ถ้าใครสามารถมองแค่ตำราอาหารแล้วทำกับข้าวจานอร่อยออกมาได้ เชฟทุกคนบนโลกนี้คงได้ตกงานกันเป็นแถวแน่
ฝีมือทำอาหารเป็นทักษะชีวิตอย่างหนึ่ง และเธอก็ไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ ก็พอถูๆ ไถๆ ทำได้แค่มะเขือเทศผัดไข่เท่านั้น
“จินเหลียน ผมว่าพวกเราสองคนลงมือทำเองดีกว่าครับ” จ่านป๋ายยิ้มฝืน
“พวกเราสองคนเนี่ยนะทำกับข้าว? จะกินได้เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“แต่ดูเหมือนคุณลุงคนนี้คิดจะอยู่ที่นี่สักพัก คุณก็ไม่สามารถจะให้หลินเสวียนหลานมาทำกับข้าวให้พวกเราทุกวันใช่ไหมล่ะครับ? สู้พวกเราลงมือทำกันเองดีกว่า ถ้าไม่อร่อย…ภายหลังเขาอาจจะไม่กล้าเรียกร้องข้อเสนอแปลกๆ แบบนี้ออกมาอีก” จ่านป๋ายโคลงศีรษะพูดขึ้น “ต่อไปคงได้ไปโรงแรมบ่อยๆ หรือไม่คุณก็อาจจะต้องหาร้านอาหารสักร้านที่ฝีมือไม่เลวและเหมาซื้อกับข้าวไปสักระยะหนึ่ง ให้พวกเขาช่วยทำกับข้าวส่งมาให้วันละสามมื้อ”
“ไอเดียนี้ของคุณก็ไม่เลวเลย!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “วันนี้พวกเรากลับไปทำ ถ้าเขาบอกว่าไม่อร่อย พรุ่งนี้พวกเราค่อยให้ร้านอาหารมาส่ง…คุณรู้จักร้านอาหารหรือโรงแรมแถวนี้ที่ทำอาหารได้ดีหรือเปล่า?”
“ร้านที่พวกเราชอบไปกินบ่อยๆ ก็รสชาติไม่เลวนะครับ” จ่านป๋ายยิ้ม
หลังจากที่ทั้งคู่เจรจากันเสร็จ จึงขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้า สำหรับหูชีเยี่ยน ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ขี้เหนียวกับเขา เธอซื้อเสื้อผ้ารองเท้าที่ดีที่สุด หากใช้คำพูดของเธอก็คือ ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ ครั้งหน้าแม้เธออยากจะใช้เงินซื้อของให้เขาเพื่อตอบแทนบุญคุณก็ไม่แน่ว่าจะตอบแทนได้
ทุกครั้งที่ทั้งสองคนพบหน้ากัน ความจริงก็จบด้วยการบอกลาอย่างไม่สบอารมณ์ มองหน้ากันไม่ติดตั้งแต่แรก เขาสามารถมาพักที่นี่ได้หลายวัน ซีเหมินจินเหลียนจึงรู้สึกดีใจมาก
จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ไปซื้อผักที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต จ่านป๋ายถือเมนูที่ปริ้นท์ออกมาเช็ควัตถุดิบที่ต้องซื้อมา รวมถึงเครื่องปรุงรสต่างๆ…สุดท้ายก็มองไปยังถุงเล็กใหญ่และเผยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
…
หูชีเยี่ยนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขก ได้ยินซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายส่งเสียงงึมงำปรึกษากันอยู่ในครัว ในใจก็รู้สึกสงสัยไม่หยุด ทั้งคู่คงไม่ได้คิดที่จะใส่สารหนูลงไปในอาหารเพื่อวางยาเขาหรอกใช่ไหม? ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่รู้เหรอว่ายาพิษธรรมดาๆ ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาแม้แต่น้อย?
สุดท้ายด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงคิดจะเดินเข้าไปดูในห้องครัว…
“เสี่ยวป๋าย ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานนี่ต้องใส่น้ำตาลมากแค่ไหน แล้วน้ำส้มสายชูล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋าย
“ดูในหนังสือสิครับ ผมก็กำลังศึกษาไก่ผัดพิทักษ์วังอยู่เลย…” ศีรษะของจ่านป๋ายก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
“เสี่ยวป๋าย บ้านเราไม่มีเครื่องชั่งใช่ไหม? พรุ่งนี้ไปซื้อสักเครื่องเถอะ… ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอีกครั้ง
“หา…” จ่านป๋ายถามอย่างแปลกใจ “ซื้อมันมาทำอะไรครับ พวกเราขายหยก ไม่ใช่ขายทองคำสักหน่อย?” แม้ว่าจะทำเครื่องประดับจิวเวลรี่เป็นหลัก แต่หลักการนี้ก็ไม่เหมือนกัน แล้วเธอจะซื้อเครื่องชั่งมาทำอะไร
“เอามาชั่งน้ำตาลเอย เกลือเอยไง ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าสิบห้ากรัมมันแค่ไหน?” ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำ ไม่สู้พรุ่งนี้ไปซื้อเครื่องชั่งกลับมาชั่งให้แม่นยำแล้วค่อยว่ากัน
สองคนนี้ทำกลับข้าวไม่เป็น! หูชีเยี่ยนได้ผลสรุปออกมาหนึ่งอย่าง
“พวกเธอสองคนไม่กินข้าวกันเหรอ?” หูชีเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว
“จินเหลียนชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังชีวิต ไม่ค่อยเข้าครัวลงมือทำอาหารเท่าไหร่ครับ” จ่านป๋ายพูดออกไปตามความจริง
“มิน่าล่ะถึงได้ยิ่งเลี้ยงยิ่งผอม” หูชีเยี่ยนส่ายศีรษะพูด “ไม่เห็นอ้วนจ้ำหม่ำน่ารักเหมือนตอนเด็กๆ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วแค่นยิ้มออกมา “แค่ฉันเป็นแบบนี้ยังไม่มีใครมาขอเลยค่ะ ถ้าให้อ้วนกว่านี้ เกรงว่าคงไม่มีใครต้องการแล้ว”
“จินเหลียน ลูกไปนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขกเถอะ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง” หูชีเยี่ยนพับแขนเสื้อขึ้น ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาเกรงว่ากลางดึกก็คงไม่ได้กินข้าวแน่…ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่ที่เขาขึ้นรถไฟมา ทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่มีเงินติดมาเลยสักแดง และนั่งรถไฟมานานถึงสิบกว่าชั่วโมงโดยที่ไม่ได้กินอะไร
กว่าจะรอให้ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายทำกับข้าวเป็น เกรงว่าเขาคงต้องหิวตายในเซี่ยงไฮ้แน่ ขอร้องให้ใครช่วยก็ไม่เท่าช่วยเหลือตัวเอง
“คุณหู ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขกด้วยคนนะครับ!” จ่านป๋ายมองหูชีเยี่ยนที่ใช้มีด ในใจก็เย็นวาบ หันตัวเตรียมจะรีบสาวเท้าวิ่งออกไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” หูชีเยี่ยนพูด
“คุณมีอะไรอยากจะรับสั่งเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างเคารพ
“อยากจีบจินเหลียนเหรอ” หูชีเยี่ยนถาม “บอดี้การ์ดอยากใฝ่สูงขึ้นเตียงเจ้านาย นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันก็ไม่ใช่คนแก่หัวโบราณ…”
แม้ว่าหูชีเยี่ยนจะให้ซีเหมินจินเหลียนไปนั่งดูโทรทัศน์ในห้องรับแขก แต่เธอก็รู้สึกสงสัยว่าเขาจะนำสารหนูมาเป็นเครื่องปรุงอาหารหรือเปล่า ดังนั้นจึงยืนมองอยู่อีกฝั่ง เมื่อได้ยินแล้วจึงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“แต่หากอยากจีบเธอ อย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้ทักษะติดตัวไว้” หูชีเยี่ยนพูด “จะให้ลูกสาวของฉันกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งสามมื้อไม่ได้หรอกนะ”
“ครับ ผมจะเรียนรู้จากคุณครับ” จ่านป๋ายถอนหายใจ
“จินเหลียนออกไป!” หูชีเยี่ยนพูดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นคำสั่งที่ลั่นออกมาจากปาก
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขก เพิ่งออกจากห้องครัวได้ไม่นาน ที่ด้านหลังประตูก็ปิดลงอย่างรุนแรง ในใจของเธอสงสัยเป็นอย่างมาก เขาทำกับข้าวจริงๆ ใช่ไหม? ช่างเถอะ เขายังกินได้ เธอก็ไม่เชื่อว่าเธอจะกินไม่ได้ รอดูแล้วกัน สงสัยพ่อตัวเองแบบนี้มันดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
แต่ทำไมต้องปิดประตูห้องครัวด้วย หรือว่าเขาจะมีวิธีทำกับข้าวที่ไม่เหมือนคนทั่วไป? เขาคงไม่ตีจ่านป๋ายหรอกใช่ไหม?
กลางคืนเวลาหนึ่งทุ่ม ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนรอคอยอย่างทนไม่ไหว จนต้องไปสอบถามอยู่หน้าประตูหลายต่อหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่ข้างใน เธอถึงได้สบายใจลง
ความสามารถของจ่านป๋าย เธอก็พอรู้อยู่บ้าง แต่หูชีเยี่ยนก็ไม่ง่ายที่จะรับมือ
มองจ่านป๋ายยกจานออกมา ซีเหมินจินเหลียนก็กระซิบถาม “เขาทำกับข้าวเป็นจริงๆ เหรอ?”
“จินเหลียน ลูกต้องเชื่อในตัวพ่อ ไม่ใช่คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนั้น!” หูชีเยี่ยนเดินออกมาจากห้องครัว ใบหน้าเคร่งขรึม “ทำไมลูกถึงไม่เคยเชื่อในตัวพ่อเลย?”
“ประเด็นมันอยู่ที่ คุณไม่มีเหตุผลทำให้คนเชื่อถือ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “อีกอย่าง ลุงงูก็ไม่ใช่คนอื่น”
ครั้งนี้หูชีเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สั่งให้จ่านป๋ายเตรียมมื้อเย็นทั้งหมด ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ หูชีเยี่ยนไม่เพียงแต่ทำกับข้าวเป็นเท่านั้น แต่ฝีมือของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเชฟระดับท็อปเลย หรือไม่แน่อาจจะชนะพวกเขาขาดลอยก็ได้ นี่เป็นสิ่งที่เธอแปลกใจ จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้าน เขาทำกับข้าวไม่เป็นนี่นา?
“คุณทำกับข้าวเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ซีเหมินจินเหลียนคีบปีกเป็ดชิ้นหนึ่งและกัดไปคำหนึ่งพร้อมถาม
“เมื่ออยากจะกินของที่ดีกว่าเดิม ก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำกับข้าวให้เป็น” หูชีเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ หากไม่เคยหิวโหยมาก่อน แล้วจะรู้ถึงความสำคัญของรสชาติอาหารได้อย่างไร?
“รสชาติไม่เลวเลยค่ะ ถ้าคุณอยู่ที่นี่สักระยะ ฉันคงต้องอ้วนแน่ๆ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“อย่าทำหน้าทำตาไม่ต้อนรับแบบนั้นสิ พ่อไม่ใช่คนรับมือยากขนาดนั้นหรอก” หูชีเยี่ยนพูด
“ฉันก็ไม่เห็นเคยเจอว่าคุณรับมือง่าย!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด
หลังจากมื้อเย็น ซีเหมินจินเหลียนเตรียมตัวเก็บถ้วยชามช้อนตะเกียบ แต่หูชีเยี่ยนก็พูดออกมาประโยคหนึ่งว่าให้จ่านมู่หรงเป็นคนทำ…จ่านป๋ายจึงเก็บถ้วยชามไปไว้ในห้องครัวอย่างว่าง่าย
“เมื่อครู่ที่สอนนายไป พรุ่งนี้ก่อนหกโมงเช้า อย่าลืมมาเคี่ยวโจ๊กพุทราด้วยล่ะ!” หูชีเยี่ยนไม่ลืมที่จะกำชับ
“ครับ คุณหู!” จ่านป๋ายพยักหน้าอย่างจริงจัง ดูท่าแล้วต่อจากนี้ชีวิตเขาคงไม่ง่ายแน่ เมื่อครู่ที่อยู่ในห้องครัว หูชีเยี่ยนปิดประตูลง แต่ไม่ใช่ท่าทางเหมือนอย่างในตอนนี้ คนคนนี้เป็นถึงพ่อของซีเหมินจินเหลียน และมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง และปัญหาหลักก็คือตนตีเขาไม่ได้!
ถึงตีได้ก็ตีไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถูกตี
เมื่อเก็บล้างถ้วยชามเสร็จเรียบร้อย และเช็ดกวาดห้องครัวจนสะอาดสะอ้าน คิดไว้ว่าจะได้พักผ่อนสบายใจเสียหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าหูชีเยี่ยนจะเอ่ยปากออกคำสั่งใหม่ออกมา “เช็ดถูพื้นให้สะอาดด้วยล่ะ ฉันเป็นโรคเกลียดความสกปรก”
จ่านป๋ายไร้ซึ่งคำพูด แต่ตอนนี้เขามีอำนาจชี้ขาดอยู่ที่คฤหาสน์จินเหลียน เขาทำได้แค่รับฟังและเริ่มขัดถูพื้น…
“พรุ่งนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อย่าลืมซักผ้าม่านด้วย ใช่สิ ผ้าม่านไหมแท้ซักกับเครื่องซักผ้าไม่ได้นะ” หูชีเยี่ยนนั่งพิงโซฟา และมอบหน้าที่ใหม่ในวันพรุ่งนี้ให้กับเขา
เสี่ยวป๋ายที่น่าสงสาร …ซีเหมินจินเหลียนแอบทอดถอนใจ!