ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 248 เหลืองน้ำมันไก่
ลุงงูยกชาขึ้นมาจิบน้อยๆ สวี่อี้หรานจึงหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านก็ไม่กลัวว่าชาของผมจะมีปัญหาแล้วเหรอครับ?”
“จะไปพบอาจารย์ของแกได้ที่ไหน?” ลุงงูเงยหน้าขึ้นถาม
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” สวี่อี้หรานแบมือขึ้นยิ้มขื่น “อาจารย์งู ผม…มีเรื่องอยากขอร้องท่าน”
“จินเหลียน?” ลุงงูยิ้มเยาะถาม “คนอย่างแกก็มีวันนี้ด้วย?”
“อาจารย์งู ผมจริงจังจริงๆ นะครับ!” สวี่อี้หรานพูดอย่างตรงไปตรงมา
ลุงงูครุ่นคิดดูแล้วถึงพูดขึ้น “เรื่องของหนุ่มสาวอย่างพวกแก ฉันก็คร้านที่จะเข้าไปยุ่ง ขอแค่จินเหลียนชอบ เรื่องอื่นๆ ก็ช่างเถอะ แต่ฉันดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยมีใจ ทางที่ดีแกก็อย่าไปเที่ยวรบเร้าหาเรื่องเธออยู่เลย ไม่อย่างนั้น…สำนักของเราคงไม่มีทางได้เห็นที่พึ่งพิง!”
“ใครๆ ก็รู้ว่าสำนักของพวกท่านชอบปกป้องกันเอง” สวี่อี้หรานบ่นเสียงพึมพำ
“พูดถึงปกป้อง เกรงว่าคงไม่มีใครปกป้องได้เท่าอาจารย์อมตะของแกแล้วล่ะ” ลุงงูยิ้มเยาะ เขาจะถือหางปกป้องอะไรได้ หลายปีมานี้วันๆ ได้แต่วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก จะมีเวลาที่ไหนไปปกป้อง เดิมทีคิดว่าครั้งนี้คงไม่มีทางมีชีวิตรอดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะพลิกผัน “ช่วยฉันติดต่ออาจารย์แกหน่อย”
“อาจารย์งู ผมพูดความจริงนะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าอาจารย์อยู่ที่ไหนจริงๆ” สวี่อี้หรานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แสดงว่าไม่ได้ตาย?” ลุงงูหัวเราะแปลก
“ท่านก็แก่แล้วแต่ก็ยังไม่ตายเลยนี่ครับ” สวี่อี้หรานท่าทีไร้เดียงสา เดิมทีเขาต้องอยู่ข้างกายซีเหมินจินเหลียนแท้ๆ! แต่กลับถูกเขาขัดขวางเสียได้ สั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่เขายังต้องตั้งสติทุกเวลาเพื่อเตรียมรับมือกับท่านอาจารย์คนแปลกท่านนี้
“ความตั้งใจที่อาจารย์แกทุ่มเทไปน่ะ ฉันรู้ดี!” ลุงงูถอนหายใจพูด “แกช่วยไปบอกเขาสักหนึ่งประโยคเถอะ”
“บอกว่าอะไรครับ” สวี่อี้หรานรีบถาม
“สำนักของเรายังไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก” ลุงงูพูดพลางลุกขึ้นยืนสวมใส่แว่นกันแดดบนใบหน้าเดินออกไปทางประตู
“อาจารย์งู เดี๋ยวผมไปส่ง!” สวี่อี้หรานพูด
“ไม่ต้อง ฉันยังไม่ได้จะไป” ลุงงูเดินถึงหน้าประตูพลันหันตัวมายิ้มกับสวี่อี้หราน
สวี่อี้หรานได้ยินแล้วเดือดจนบ่นพึมพำ “ท่านคิดจะลีลาไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
ลุงงูยิ้มประหลาด แต่กลับไม่ได้สนใจเขาอีก
เช้าวันถัดมาซีเหมินจินเหลียนเปิดผ้าม่านหนาของโรงแรมออก มองแสงอาทิตย์ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทอดสายตาดูบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า
“จินเหลียน…” จ่านป๋ายเคาะประตูเรียก
ซีเหมินจินเหลียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลา เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว ไม่เช้าแล้ว…ผ่านพ้นเมื่อคืนที่วุ่นวายมาได้ เธอก็นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงจนถึงตีสองตีสามถึงได้ผล็อยหลับไป สุดท้ายถึงได้นอนตื่นสาย
“ประตูไม่ได้ล็อค” ซีเหมินจินเหลียนตอบกลับไป ถึงแม้จะล็อคแต่เขาก็ยังเข้ามาได้อยู่ดี แล้วเธอจะล็อคไปทำไมกัน?
จ่านป๋ายรู้ว่าประตูไม่ได้ล็อค การเคาะประตูก็เป็นแค่มารยาทขั้นพื้นฐานเท่านั้น เพราะถ้าหุนหันพลันแล่นเข้าห้องไป เธออาจจะโกรธจนระเบิดลงก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
“จินเหลียน ผมซื้ออาหารเช้ามา” จ่านป๋ายผลักประตูเดินเข้าไป “วันนี้ยังอยากไปถนนพนันหยกอีกไหมครับ?”
“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“วันนี้คุณอารมณ์ดีไม่เบาเลย” จ่านป๋ายเห็นสายตาของเธอแอบซ่อนความรื่นรมย์ไว้ จึงลองถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “คุณไม่รู้สึกกระวนกระวายใจบ้างเลยเหรอ?”
“ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เมื่อวานฉันคิดได้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำ ยังไงก็แค่เรื่องนี้ ถึงฉันจะกลุ้มใจขนาดไหน แต่เรื่องบางเรื่องก็หนีไม่พ้นหรอก ที่คุณย่าของฉันพูดไว้ก็ไม่ผิดเลย นอกเสียจากชั่วชีวิตนี้ไม่สัมผัสหิน เรื่องบางอย่างก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว มันยากที่จะหลีกเลี่ยง ในเมื่อเป็นอย่างนั้นสู้เผชิญหน้ากับมันโดยตรงเสียดีกว่า คุณว่าถูกไหม?”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จพวกเราก็ไปเดินเล่นที่ถนนพนันหินหยกกันเถอะครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “จริงสิ อวิ๋นเจียส่งเงินหนึ่งหมื่นยูโรมาให้แล้ว เธอกล้าหาญกว่าป้าของเธออีกนะ กล้าพนันกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ไม่เบี้ยวเงิน!”
เมื่อพูดถึงอวิ๋นเจีย ซีเหมินจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมา แต่มันเป็นเรื่องของเขา เธอเลยพูดอะไรไม่ได้มาก เธอไปกินข้าวเช้ากับจ่านป๋ายและเรียกรถพาไปยังถนนพนันหินหยกอีกครั้ง เมื่อถึงร้านค้าที่ปากทางเข้าถนนพนันหินหยก ก็เห็นเจียหยวนฮวากับพรรคพวกกำลังมุงล้อมดูหินหยกก้อนหนึ่งที่น่าจะหนักราวๆ ครึ่งตัน
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายรู้สึกสงสัยจึงเข้าไปดู
“จินเหลียน!” เจียหยวนฮวาเห็นซีเหมินจินเหลียนยิ้มและทักทาย “มาๆๆ เข้ามาดูเถอะ”
“กำลังไปดูเหมือนกันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มไปให้ทุกคนและพยักหน้า ทันใดถามเจียหยวนฮวา “เช้าขนาดนี้ คุณได้ของแล้วเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ผมหรอก เป็นคุณหม่าท่านนี้ต่างหาก” เจียหยวนฮวายิ้ม “หินหยกก้อนนี้ลักษณะใช้ได้เลย น่าเสียดาย…รอยเกลื้อนริ้วนี้คอยหลอกหลอนทำให้ไม่สบายใจ!”
ซีเหมินจินเหลียนสังเกตมาแต่แรกแล้ว หินหยกก้อนนี้หนักครึ่งตัน ในนั้นมีสามจุดที่มีสีเขียวมรกตสดเปลือยออกมา ชนิดหยกเนื้อแก้วมาจากพะกัน เรียบเนียนเกลี้ยงเกลา ชนิดดีน้ำดี ข้อเสียอย่างเดียวก็คือบนหินหยกก้อนนี้มีริ้วรอยเกลื้อนล้อมรอบอยู่ด้านบน
หินหยกก้อนนี้มีโอกาสเผยสีเขียวออกมา นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย แต่ใครจะไปรู้ว่ารอยเกลื้อนนั้นจะลงลึกขนาดไหน? หากรอยเกลื้อนอยู่แค่ชั้นผิวเปลือกหิน หินหยกก้อนนี้ก็มีโอกาสที่จะชนะพนัน ไม่อย่างนั้นหากหินหยกก้อนนี้ถูกรอยเกลื้อนกลืนกินไปทั้งหมดแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเป็นหินเสียของ ไร้ซึ่งมูลค่าราคาใดๆ
“พนันรอยเกลื้อน ความเสี่ยงก็ไม่น้อยเลย!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
คุณหม่าที่เจียหยวนฮวาแนะนำนั้นอายุราวสามสิบปี ได้ยินแล้วเขาก็ยิ้มฝืนพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิครับ? หากราคาต่ำลงหน่อยก็พอว่า น่าเสียดายที่เถ้าแก่เนี้ยร้านนี้ขี้งก แค่หินหยกก้อนเดียวแต่ขายตั้งห้าแสน!”
“ยูโรเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ใช่แล้วครับ” คุณหม่าส่ายศีรษะพูด
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน ไม่พูดอะไรออกมา แม้คุณหม่าจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะซื้อ จนกระทั่งราคาก็ยังตกลงกันแล้วดิบดี
“จินเหลียน คุณไม่ลองสัมผัสดูหน่อนล่ะ?” เจียหยวนฮวายิ้ม
“พวกคุณดูหมดแล้วเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“อืม” เจียหยวนฮวาพูด “คุณหม่ากำลังจะผ่าหินพอดี พวกเราเลยดูกันหมดแล้ว”
ซีเหมินจินเหลียนคิดดู แม้ว่าจะเป็นของที่มีคนซื้อแล้ว แต่เธอก็ยังสงสัย “ก็ได้ค่ะ ฉันขอดูหน่อยนะคะ”
จ่านป๋ายได้ยินแล้วจึงรีบควานหาไฟฉายกับแว่นขยายส่งไปให้เธอ ซีเหมินจินเหลียนเปิดไฟฉายกำลังสูงส่องไปยังเนื้อหยกเปลือยที่เผยออกมาตำแหน่งหนึ่ง หยกสว่างชุ่มชื้น น้ำใสแจ๋ว ไม่เลวเลย ปัญหาอยู่ตรงที่รอยเกลื้อนพวกนั้น ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ห้ามใจไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสัมผัส…
ไม่ว่าจะเป็นรอยเกลื้อนหรือจุดขาว ความจริงก็เป็นหิน สัมผัสอย่างไรก็ให้ความรู้สึกแข็งๆ เหมือนกัน ซีเหมินจินเหลียนถือโอกาสใช้ฝ่ามือแตะลงไป ผิวหินของหินหยกก้อนนี้เป็นสีเหลืองแกมน้ำตาล ผิวบางมาก เมื่อทะลุผ่านผิวหินชั้นบางไปก็เป็นสีเขียวมรกตสว่างใส แต่น่าเสียดายบนสีเขียวมรกตมีปานสีดำไม่รู้เท่าไหร่รวมตัวอยู่อย่างหนาแน่น พัวพันกันอย่างแนบเนียนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เมื่อสักครู่ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนดูก็พอจะคาดเดาแล้วว่ารอยเกลื้อนพวกนี้น่าจะลงลึก แต่ภายใต้ความจริงที่ปรากฏนั้น รอยเกลื้อนพวกนี้แข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก ลงลึกเข้าไปในหินหยกทั้งก้อนถึงเก้าส่วนสิบ ในหนึ่งส่วนที่เหลือลักษณะก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร
ดูถึงตอนนี้ ซีเหมินจินเหลียนก็แอบทอดถอนใจ คุณหม่าท่านนี้คงไม่สมหวังแล้วสินะ? โชคดีของทั้งหมดก็คือ…อย่างน้อยมีหนึ่งในสิบส่วน แม้จะแพ้พนันแต่ก็ไม่ถึงขั้นอนาถ
“คุณซีเหมิน คุณลองดูแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ” คุณหม่าอมยิ้มถาม
“เอ่อ…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณหม่า ฉันแค่ดูเฉยๆ ค่ะ” พูดจบเธอก็ไม่พูดอะไร คนพวกนี้เป็นนักธุรกิจหยกในประเทศ ครั้งที่แล้วที่เธอพนันหินใหญ่ในงานนิทรรศการหยก ชื่อเสียงก็แพร่หลายไปไกล ตอนนี้ถึงจะอยู่ด้านนอก แต่ชื่อเสียงก็คงต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหา เลี่ยงที่จะไม่พูดดีเสียกว่า
คุณหม่าได้ยินเช่นนั้นจึงรู้ว่าเธอจงใจ ถึงเธอจะชอบหรือไม่ชอบคงไม่พูดเอื้อนเอ่ยให้มากความ เพราะอย่างไรก็ซื้อมารอผ่าหินอยู่แล้ว
เถ้าแก่เนี้ยเป็นผู้หญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วม ดูจากรูปร่างลักษณะแล้วน่าจะเป็นคนจีน กำชับลูกน้องในร้านให้เตรียมเครื่องผ่าหินมา และในความช่วยเหลือของลูกน้องทั้งสองคน คุณหม่านำหินหยกจัดตำแหน่งไว้เหมาะสมบนเครื่องตัดหิน พร้อมเตรียมตัวที่จะตัด
ซีเหมินจินเหลียนเลื่อนสายตาไปเห็นหินหยกจำนวนหนึ่งตั้งวางแถวอยู่ในมุมมุมหนึ่ง ทันใดนั้นจึงรีบถามหญิงวัยกลางคนว่า “เถ้าแก่เนี้ยคะ ฉันดูได้หรือเปล่า?”
“ได้ค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้า และพูดภาษาจีนอย่างไม่คล่องปาก “ดูได้ตามสบายเลยนะจ๊ะ”
คนอื่นๆ ไปดูคุณหม่าเปิดเปลือกหิน ส่วนซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปในร้าน กวาดสายตาไปสแกนหินหยกทีละก้อน แต่ไม่เห็นมีก้อนไหนที่สะดุดตา ในใจรู้สึกผิดหวัง กลับตัวหันหลังสายตากวาดไปเห็นสิ่งหนึ่งก็ได้แต่สงสัย ตรงประตูทางออกมีหินหยกผิวสีน้ำตาลเทา ขนาดไม่ใหญ่น่าจะหนักสิบห้าสิบหกกิโลกรัมได้
สิ่งที่เตะตาต้องใจซีเหมินจินเหลียนก็คือหินหยกก้อนนี้มีหมอกสีเหลืองอ่อนๆ หรือว่าจะเป็นหยกสีเหลือง?
ของสะสมของซีเหมินจินเหลียน มีหยกสีเหลืองอยู่หลายก้อน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นหยกหายาก เพราะเธอมีถึงขั้นหยกสามสีเกรดดีหายาก แต่ในเมื่อเห็นแล้วก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปง่ายๆ
เธอรีบเดินเข้าไปดูทันทีและนั่งยองๆ อยู่บนพื้นเพื่อทำการศึกษาดูอย่างละเอียด…จากผิวหินน่าจะมาจากโรงงานต่ามู่ข่าน สถานที่นั่นเป็นแหล่งผลิตหยกสีแดง คิดถึงหยกสีแดงซีเหมินจินเหลียนคิดถึงหินหยกก้อนนั้นที่ได้ดูเมื่อคืน และในใจก็เป็นทุกข์ขึ้นมา สายตาเกียจคร้านทำท่าเหมือนสำรวจและแตะมือลงไปด้านบน
โชคดีที่สัมผัสผิวหินไม่เลว เม็ดทรายละเอียดยิบ ผิวสีเทาแกมน้ำตาลค่อยๆ เลือนหายไป ข้างในมีสีเหลืองชนิดหนึ่งที่ดูแล้วเลี่ยน…สีเหลืองน้ำมันไก่?
ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำคำหนึ่งขึ้นมา ตอนนั้นหลินเสวียนหลานเคยพูดกับเธอว่า ในบรรดาสีเหลือง ยกย่องสีเหลืองน้ำมันไก่ และสิ่งที่เรียกว่าสีเหลืองน้ำมันไก่ก็คือสีเหลืองบริสุทธิ์ภายในไก่…หยกสีเหลืองไม่กี่ก้อนที่เธอมีอยู่ ความจริงก็ไม่ใช่สีชนิดนี้ แต่เป็นสีเหลืองอร่ามเหมือนกับแสงสีทองต่างหาก ไม่ถึงขั้นสีเหลืองน้ำมันไก่