ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 15
ช่างเถอะ เอากลับไปทำกำไลให้ตัวเองก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นหยกชนิดแก้ว ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดอยู่ในใจ พร้อมกับจดจำหมายเลขนี้ไว้ แต่เมื่อดูราคาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจไม่หยุด ห้าล้าน เธอคงต้องตั้งราคาประมูลที่แปดล้าน ถึงจะได้มาไว้ในครอบครอง งานประมูลหยกครั้งนี้จัดมาเพื่อแย่งชิงเงินกันเหรอ?
แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหยกสีน้ำเงิน ถ้าไม่นำมันกลับไปตัดดู เธอก็คงรู้สึกไม่สบายใจ แถมจ่านป๋ายกับฉินเฮ่าที่ได้เจรจาตกลงจะซื้อหุ้นของบริษัทตระกูลหลินอีก ตอนนี้ไม่ขายหินหยกให้พวกเขาก็อีกเรื่อง แต่ถ้าซื้อหุ้นสำเร็จ บริษัทจำเป็นต้องหาเครื่องประดับจากหยกที่พอใช้ได้มาเป็นหน้าเป็นตา นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควร
ลักษณะของเนื้อหยกที่ดี ต้องมีความโปร่งใส ผลึกเงางาม อย่างน้อยจากการที่เธอส่องแสงดูก็ไม่ได้พบเจอตำหนิอะไร
เธอกระซิบกระซาบกับจ่านป๋ายว่าให้จำหมายเลขนี้เอาไว้ ไม่สามารถประมูลในราคาสูงและต่ำเกินไป หินหยกก้อนนี้คุณภาพดีเลยทีเดียว ถ้าราคาน้อยไปก็คงจะเอามาไว้ในครอบครองไม่ได้ ถ้าสูงเกินไปก็เกรงว่าเจ้าของสินค้าจะสงสัยแล้วเก็บสินค้าไว้ไม่ขายให้อีก
เดิมทีเธอคิดจะเขียนลงไปในสมุดประมูลสักแปดล้าน แต่ว่าคิดไปคิดมา กัดฟันสู้เพิ่มไปอีกสักหนึ่งล้าน เป็นเก้าล้านก็ได้ ถ้ายังไม่สามารถซื้อหยกสีน้ำเงินนั้นได้อีก ก็จะปลอบใจตัวเองเสียว่า เธอกับหยกชิ้นนี้ไม่มีวาสนาต่อกัน!
ตอนห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ผู้คนที่เข้าร่วมงานค่อยๆ ทยอยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่คอยต้อนออก
ซีเหมินจินเหลียนก็ได้ดูสินค้าประมาณสองร้อยกว่ารายการแล้ว ก่อนรายการที่สองร้อยสิบเอ็ด เธอได้ครุ่นคิดตัดสินใจว่าถ้าดูเสร็จชิ้นนี้ก็พอก่อน ที่เหลืออีกร้อยกว่ารายการ พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ ยังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งวันครึ่ง นี่ก็เพียงพอแล้ว
แม้ว่าเธอจะคิดว่าพรุ่งนี้จะกวาดสายตาดูเนื้อหยกคร่าวๆ ก่อนสักรอบ ถ้าหากมีเวลาเหลือค่อยมาลงลึกดูอย่างละเอียดอีกที ลองใช้พลังมองทะลุสำรวจดูสักหน่อยว่ามีตำหนิอะไรหรือไม่
พูดโดยรวมก็คือหินหยกจากงานประมูล ลักษณะของมันก็ไม่ได้โดดเด่นเตะตาอะไรมากนัก เธอยังหาสิ่งที่ทำให้เธอหัวใจเต้นแรงไม่เจอเลย นอกเสียจากหยกสีน้ำเงินที่พอจะดูได้ชิ้นนั้น หยกชนิดอื่นๆ เช่น หยกใสแบบไข่ขาว สีเขียวอ่อน รูปร่างเหมือนเม็ดถั่ว กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลย
จ่านป๋ายบอกไว้ว่าในอนาคตถ้าหากซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องเดินเส้นทางเหมือนตอนนี้ แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นหินหยกที่เธอต้องการ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นชนิดหยกน้ำแข็งสีเขียว
แถมหยกน้ำแข็งนั้น เมื่อวานเธอได้เดินสำรวจถนนหยกไปแล้ว หินหยกทั้งสิบห้าก้อน นอกเหนือจากก้อนที่ไม่ได้ดูห้าก้อน ก้อนที่เหลืออีกหกก้อนก็เป็นชนิดน้ำแข็ง
หมายเลขที่กำลังดูหินอยู่ตอนนี้คือสองร้อยสิบเอ็ด สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอก็คือหินหยกชิ้นนี้ใหญ่กำลังพอดี ถึงจะเทียบกับหยกสีแดงหนักหนึ่งตันที่เคยซื้อไปไม่ได้ และก็ไม่สามารถเทียบกับหยกแก้วสีเขียวสดหนักสองตันที่อยู่ที่บ้านของเธอ แต่ก็ถือว่าไม่ได้เล็ก
เธอคิดคำนวณอยู่พริบตาหนึ่ง เต็มที่น่าจะหนักสักห้าหกร้อยกิโลกรัมขึ้นไป สีค่อนข้างแดงน้ำตาล ไม่มีลายเส้นหยกสีเขียว แต่ว่าซีเหมินจินเหลียนมีประสบการณ์จากครั้งที่แล้วที่บ้านชายชราหู ถึงรู้ได้ว่าผิวด้านล่างของหินหยกก้อนนี้ แอบซ่อนสีขาวหมอกอ่อนๆ ไว้อยู่
“หมอกขาว?” ซีเหมินจินเหลียนสงสัยเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็นสีใส? ช่วงสองปีนี้ หยกแก้วสีใสกำลังเป็นที่นิยมอยู่ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเด็กสาววัยรุ่น ความหมายก็คือสะอาดใสบริสุทธิ์
แต่ว่าซีเหมินจินเหลียนกลับชอบหยกที่มีสีสันเติมแต่งมากกว่า ในบรรดาสีทั้งหมด สีที่เธอชอบกลับถูกคนเรียกว่าสีแดงไร้รสนิยม
เมื่อเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสผิวสีน้ำตาลแดง เวลาก็เหลือไม่มากแล้ว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้จักกับหินหยกก้อนนี้มากพอ ซีเหมินจินเหลียนใช้มือขวาสัมผัสลงไปโดยตรง
พื้นผิวสีน้ำตาลค่อยๆ จางหายลงไป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นกลับเป็นสีม่วงอ่อน
“สีควันม่วงอีกแล้วเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยังรู้สึกค้างคาใจ สีควันม่วงไม่ใช่ไม่ดี แต่ว่าสีของมันก็อ่อนเกินไปสักหน่อย
เมื่อมองไปยังเส้นแสงที่ได้ยิงส่องแทรกซึมลงไป สีม่วงอ่อนๆ ก็เริ่มเข้มจัดขึ้นเรื่อยๆ แสงแทรกซึมไปได้ประมาณหกเซนติเมตร นี่คือสีม่วงเข้มที่ใสบริสุทธิ์
“สีม่วงดอกไลแอค” ซีเหมินจินเหลียนหาคำที่จะมานิยามสีชนิดนี้ได้แล้ว ที่จริงสีม่วงเข้มนี้ ก็เหมือนกลับปลายฤดูใบไม้ผลิเริ่มฤดูร้อน เมืองเจียงหนานที่เต็มไปด้วยต้นสีเขียวอ่อน ผสมผสานกับดอกไลแอค
งานประมูลครั้งนี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยว ขายหยกน้ำแข็งสีควันม่วงออกไป ในงานประมูลหยกก็มาเจอสีม่วงเข้มดอกไลแอคอีก มีเพียงสีม่วงเข้มสดใสชนิดนี้ เมื่อทำเป็นเครื่องประดับก็จะส่องแสงเจิดจรัสออกมา
ซีเหมินจินเหลียนเริ่มจินตนาการ กำไลสีม่วงดอกไลแอค ปิ่นปักผม สร้อยคอ…แน่นอนชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เธออยากจะทำเครื่องประดับอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น
แต่ว่าเมื่อเธอมองทะลุไปได้ครึ่งหนึ่ง ซีเหมินจินเหลียนก็ต้องตกใจ เส้นหยกสีเขียวที่คาดไว้ในแนวนอน เมื่อดูจากตรงกลางเข้าไป…
มีสองสี? ซีเหมินจินเหลียนรวบรวมสติไม่ได้ แม้แต่นิ้วมือของเธอยังสั่นระริกไปหมด นี่เป็นสีผสมหรือ?
เส้นสีเขียวมรกต กว้างไม่ถึงสองนิ้วมือ แต่เหมือนจะข้ามผ่านสีม่วงดอกไลแอคทั้งหมด เขียวม่วงผสมผสานกัน ยากที่จะแยกออกจากกัน นี่ต่างหากถึงเรียกว่าสีผสมของจริง
ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมความงดงามอยู่ในใจไม่หยุด หยกสีผสมที่ซื้อมาจากบ้านชายชราหู ไม่เพียงแต่สีอ่อนไป แถมยังไม่ใช่หยกชนิดแก้วกระจก ถึงจะโปร่งแสงแต่ก็ยังซีดไปหน่อย
แต่สิ่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นชนิดแก้วกระจก เนื้อคริสตัลใสสะอาด ความเข้มของสีสมดุลกัน แถมสียังสว่างสดใส…
หินหยกชิ้นนี้ เธอต้องคว้ามาให้ได้ ไม่สนใจแล้วว่าจะเดิมพันชนะหรือว่าแพ้ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเธอชื่นชอบสีนี้มาก ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ชาตินี้คงไม่มีโอกาสหาหยกสีผสมแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกแล้วแน่
สายตาของเธอหันเหลือบไปมองที่ราคาขั้นต่ำที่เด่นสง่าออกมา สิบสองล้าน ราคาก็ไม่ใช่เล่นๆ เลย?
คิดไปคิดมา ซีเหมินจินเหลียนจึงตัดสินใจเพิ่มราคาเป็นเท่าตัว ภายนอกของหินหยกก้อนนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่คนที่เข้าใจในการดูหยกในที่นี้คงจะไม่น้อยเลย ถ้าราคาน้อยไปคงจะไม่ได้หินหยกมาไว้ในครอบครองแน่
เพียงแต่ราคายี่สิบสี่ล้าน…ซีเหมินจินเหลียนคงต้องเข้ากระดูกตัวเองสักหน่อย ถึงจะรู้ว่าจะชนะเดิมพัน แต่เมื่อคำนึงถึงเงินสดที่อยู่ในมือมีไม่มากแล้ว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอก็ยังเป็นแค่คนจนคนหนึ่งสินะ ในโลกธุรกิจอัญมณีแห่งนี้ เงินของเธอแทบที่จะอุดรูโหว่ของฟันยังไม่ได้เลย
นอกจากนี้เมื่องานประมูลสิ้นสุดลง เธอก็อยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตัวเอง อย่างไรก็ต้องเก็บเงินไว้ไปซ่อมถนนหนทางที่หมู่บ้านสักหน่อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลับไปเมืองเซี่ยงไฮ้คงจะต้องขายหยกออกไปบ้างแล้ว ถึงจะอยู่รอด
“จินเหลียน พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันเถอะครับ นี่ก็ถึงเวลาแล้ว เจ้าหน้าที่เริ่มไล่คนให้ออกแล้ว” จ่านป๋ายคอยอยู่ข้างๆ เธอตลอด เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเรียกคนให้ออกไปข้างนอก
“อืม ไปกันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วสื่อแววตาไปทางจ่านป๋าย
จ่านป๋ายรู้เจตนาว่าซีเหมินจินเหลียนต้องการจะซื้อหินหยกชิ้นนี้ เขาจึงได้แอบจำหมายเลขนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อทั้งคู่กลับไปที่โรงแรมก็เขียนลงไปที่สมุดประมูล แน่นอนว่าปัญหาอยู่ที่ราคา ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะตั้งยังไง เรื่องนี้ต้องพึ่งคำแนะนำจากจ่านป๋ายซะแล้ว
สำหรับหยกสีน้ำเงินก้อนนั้น ซีเหมินจินเหลียนเขียนไปเก้าล้าน เขาเองก็เห็นด้วยกับราคานี้ ถึงจะไม่รู้เรื่องการเดิมพันหยก แต่สองสามวันที่ตามติดเธอมานี้ เขาก็ได้เรียนรู้มาไม่น้อยเลย โดยประเมินจากพื้นผิวของหินหยกและขนาดเล็กใหญ่ เขาก็สามารถคาดเดาราคาในใจของผู้ขายได้
เพียงแต่ว่าหยกสีผสม เมื่อซีเหมินจินเหลียนบอกว่าจะเพิ่มราคาอีกเป็นเท่าตัว เป็นยี่สิบสี่ล้าน จ่านป๋ายก็ได้แต่ส่ายหัววิเคราะห์ “หยกก้อนนั้น ผมว่าคงมีคนเรียกมากสุดแค่ประมาณสิบแปดล้าน ถ้าคุณอยากจะได้มันมา เขียนไปยี่สิบล้านก็พอแล้วครับ”
“แต่หินหยกก้อนนั้นก็ไม่เล็กเลยนะ” ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำ เธอไม่สนใจว่าจะเพิ่มเงินเข้าไปอีกเท่าไหร่ แต่ปัญหาก็คือถ้าหากราคาสูงไปก็กลัวเจ้าของสินค้าจะปฏิเสธได้ หรือไม่แน่อาจจะพูดว่าราคาที่ให้ไม่เป็นตามที่คาดไว้ ถึงเวลานั้นก็ลำบากแย่
“ผมรับรองครับ ราคาแค่ยี่สิบล้านก็สามารถซื้อมันมาได้ ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด ผมจะเป็นขโมย ขโมยของกลับมาชดใช้ให้คุณเอง!”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา หยิกแก้มจ่านป๋ายแล้วพูดว่า “ห้ามโขมยนะ”
จ่านป๋ายยิ้มแล้ววิ่งหลบเธอ เขาพบว่าตอนที่เขาหยอกล้อเธอ บางครั้งเธอก็เห็นว่าเขาเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น หยิกแก้มเขาเล่น…ความรู้สึกแบบนี้ไม่เลวเลย
“ผมกลับตัวกลับใจแล้วล่ะครับ ต่อไปเป็นบอดี้การ์ดดีกว่าไม่เป็นขโมยแล้ว แน่นอนขอแค่คุณออกคำสั่งมา ไม่ว่าจะไปขโมยกางเกงในประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ผมก็จะไปทำ” จ่านป๋ายยิ้ม
“ฉันจะเอากางเกงในประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาไปทำไมกัน?” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะจนน้ำตาไหล “ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกพิเศษอะไรแบบนั้นหรอกนะ”
“จินเหลียน คุณดูมาทั้งวันแล้ว ตั้งใจจะซื้อหินหยกสามชิ้นนี้ใช่ไหมครับ” จ่านป๋ายเขียนสมุดประมูลอยู่ แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนดูเหมือนว่าจะไม่ได้เขียนอะไรลงไปอีกจึงเอะใจถามเธอขึ้นมา
“คุณก็บอกว่าให้เดินเส้นทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณไม่ใช่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาบนถามออกไป
“อืม ผมเตรียมตัวสำหรับบริษัทหยกของพวกเราในอนาคต ทำแต่ธุรกิจค้าหยกอย่างเดียว นอกจากนี้เดินแต่เส้นทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ” จ่านป๋ายยิ้ม “ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ผมก็สังเกตแล้วว่ายังไม่มีบริษัทอัญมณีแบบนี้!”
“คุณยังคิดที่จะตีตลาดต่างประเทศอยู่เหรอคะ”
“ทำไมล่ะ หรือว่าไม่ได้ครับ” จ่านป๋ายถาม “หยกเนื้องามขนาดนี้เชียวนะ?” เขาพูดในขณะที่กำลังเล่นปิ่นปักผมหยกสีเขียวมรกตของซีเหมินจินเหลียนที่วางกองไว้อยู่บนโต๊ะ
“แต่ต่างประเทศเหมือนจะชอบเพชรมากกว่านะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดเตือนเขา คนที่อยากจะส่งเครื่องประดับหยกออกนอกประเทศไม่ใช่มีแค่จ่านป๋ายคนเดียว แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีใครทำได้สำเร็จสักคน
“ถ้ามองเพชรจนเอียนแล้ว ก็มาลองมาเล่นหยกก็ไม่แย่นะ จากนั้นผสมผสานไปกับวัฒนธรรมหยกแบบดั้งเดิมของจีน ก็นับว่าเป็นจุดขายที่ดี” จ่านป๋ายพูด
“คุณก็พูดไปเรื่อย” ซีเหมินจินเหลียนพูด “วัฒนธรรมหยกของจีนโดยปกติจะหมายถึงถึงหยกเนื้ออ่อน หยกไม่ได้เป็นที่นิยมในสมัยโบราณ?”
“คนต่างชาติใครจะไปแยกออกระหว่างหยกกับหยกขาวล่ะครับ” จ่านป๋ายยิ้ม