ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 9.1
ผู้อาวุโสเจี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างสดใส “ลองดูไปก่อน ถ้าสนใจชิ้นไหนอยากจะรับกลับไปก็ต่อราคากันได้นะ!”
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจี่ยแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขอบคุณไม่หยุดปาก
ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นเธอได้แต่พยักหน้าอยู่อย่างนั้นก็หันตัวกลับไปทางประตูแล้วเดินออกไป กำชับกับจ่านป๋ายว่า “ถ้าแม่หนูเลือกเสร็จแล้วก็มาเรียกฉันได้เลยนะ ฉันจะไปตัดหยกอยู่ข้างนอก”
จ่านป๋ายพยักหน้าเป็นการตอบรับ ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายออกไปแล้ว ภายในใจก็เบ่งบานขึ้น เธอเดินตรวจสอบดูอย่างทั่วๆ ข้างในโกดังไม่ได้ใหญ่มาก ตั้งวางหินหยกอย่างสะเปะสะปะไม่เป็นที่เป็นทาง แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือหยกพวกนี้ถึงจะผ่านการเดิมพันมาทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่เหมือนจะใช้ได้เลยทีเดียว
ซีเหมินจินเหลียนเลือกบางก้อนที่ดูเหมือนจะเข้าท่าออกมา แต่ยังคงขมวดคิ้วอยู่ไม่คลาย เมื่อสักครู่ที่ผู้อาวุโสเจี่ยบอกว่าหินพวกนี้คือของสะสมส่วนตัวของเพื่อนเขา แต่เมื่อเธอดูหินพวกนั้น มีอยู่ชิ้นหนึ่งแสดงได้ชัดว่าเป็นหินที่ถูกทำให้เก่า
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือได้จากการผ่านการโกงมา เมื่อเบิกตามองอย่างละเอียด เธอก็มองได้อย่างชัดเจนว่ามีรอยร่องของการถูกตัดออกมาก่อน จากนั้นถูกโปะทับให้ติดกัน
การทำให้หินหยกดูเก่านั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลังจากเปิดแล้วต้องติดโปะทับ เมื่อพูดถึงคนสมัยนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายราวกับเสกนิ้ว การที่ทำให้ดูเก่านั้นเพียงแค่วางลงไปในเศษทรายแล้วกลิ้งไปกลิ้งมา จากนั้นเก็บไว้สิบกว่าปี ก็ดูร่องรอยแทบไม่ออก
ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าเจ้าของโรงงานแปรรูปหยกคงถูกหลอกมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน การที่เขารับมันมาจากที่อื่นและไม่ได้ดูลักษณะเนื้อของหยก แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าถูกย้อมแมว?
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ตอนนี้เธอมองหินไปสิบก้อนแต่กลับไม่มีสักก้อนที่ทำให้รู้สึกพึงพอใจ แทบไม่ต้องพูดถึงหยกชนิดแก้วกระจก แม้แต่ชนิดน้ำแข็งยังไม่มีเลย…
ช่างมันเถอะ ลองดูอีกสักสองก้อน ถ้ายังไม่พอใจอีกก็จะกลับบ้านไปนอนก่อนแล้ว
ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ เมื่อความง่วงเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะหาวหวอดอยู่หลายครั้ง ยืดมือกดไปที่ผิวหินสีเขียวเหลืองของหยกก้อนหนึ่ง ในไม่ช้าผิวสีเขียวเหลืองก็ได้จางหายไปในสายตาของเธอ พื้นผิวไม่หนามากเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรครึ่ง แสดงให้เห็นถึงความใสบริสุทธิ์เหมือนแก้วที่ขัดจนวาววับ
“หยกชนิดแก้วกระจก ไม่มีสี?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว
ด้านหนึ่งก็มัวแต่คิด อีกด้านหนึ่งก็ตรวจสอบเนื้อหินหยกก้อนนี้ พื้นผิวไม่มีอะไรผิดปกติ ความยาวประมาณสี่สิบเซนติเมตร ความหนาและความกว้างดูเหมือนจะสามสิบเซนติเมตร ถ้าหากเป็นหยกชนิดแก้วไร้สีจริงๆ ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ผู้หญิงยุคนี้ยิ่งชื่นชอบเครื่องประดับหยกสีใสอยู่ด้วย
แต่ว่าเมื่อดูต่อไปอีกหน่อย ซีเหมินจินเหลียนก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจในทันที มือเธอก็อ่อนยวบลง ถอยหลังสะดุดขาตัวเองพันไปหมด
“ซีเหมิน…” ผู้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างจ่านป๋าย เมื่อได้ยินเสียงตกใจของเธอก็รีบร้อนวิ่งเข้ามายื่นมือประคองตัวเธอไว้ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเธอซีดเผือก สายตาจ้องเขม็งไปที่หินหยกสีเขียวเหลืองก้อนนั้น แล้วรีบร้อนถามว่า ‘’คุณเป็นอะไรไปครับ?”
ปากก็พูดออกไป แต่จ่านป๋ายอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาของเธอไปเช่นกัน เมื่อมองดูหินหยกสีเขียวเหลืองก้อนนั้นแล้วก็ได้แต่มองไปมองมา เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หินหยกก้อนนี้ก็เหมือนหินหยกก้อนอื่นๆ ในสายตาของเขาแล้วพวกมันก็คือหิน
“จินเหลียน…จินเหลียน…” จ่านป๋ายเรียกเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ซีเหมินจินเหลียนเมื่อเรียกสติกลับคืนมาแล้ว เธอก็ยังคงมึนงงอยู่แล้วพูดว่า ”เสี่ยวป๋าย คุณออกไปก่อน ฉันขอดูอีกสักหน่อย!”
“จินเหลียน ถ้าเหนื่อยแล้วก็พอก่อนเถอะครับ” จ่านป๋ายพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย เขาดูออกว่าซีเหมินจินเหลียนน่าจะตกใจกับอะไรบางอย่าง แต่ภายในโกดังหลังนี้ไม่ถึงกับใหญ่มาก มีเพียงแค่ลมที่พัดผ่านมาทางช่องลมของประตู แม้แต่กระจกสักบานก็ไม่มี…
นอกจากห้องจะเต็มไปด้วยหินหยกแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีสิ่งของอะไรที่สามารถทำให้เธอตกใจได้เลย? อันที่จริงความกล้าของเธอก็ไม่ได้น้อย ตอนที่เขาเลือดอาบเปื้อนไปทั้งตัวก็ไม่ได้ทำให้เธอตกใจอะไร แต่ทำไมหินในโกดังนี้ทำให้เธอตกใจได้?
“ไม่ ฉันจะดูต่ออีกหน่อยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” จ่านป๋ายได้แต่พยักหน้าแล้วก็กลับไปยืนที่หน้าประตูเช่นเดิม
ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ เดินไปหาหินหยกผิวสีเขียวเหลืองก้อนนั้น เมื่อไปยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเธอก็ย่อตัวลงมายื่นมือไปสัมผัสผิวของหินก้อนนี้ ทรายละเอียดมาก ไม่เสียแรงเป็นหยกชนิดแก้วกระจกที่ถูกฝังมา ดูแล้วไม่มีร่องรอยที่เคยถูกทำการตัดหรือผ่ามาก่อน หินก้อนนี้ไม่ได้ถูกย้อมแมว…
เหมือนกับเนื้อหินก้อนอื่น หยกก้อนนี้มีแค่เส้นลายหยกที่ไม่ค่อยชัดเพียงเส้นเดียว สีของหยกเบาบาง พื้นผิวดูเหมือนจะไม่ค่อยดี ถึงจะเป็นหยกชนิดแก้วกระจกใสไร้สีก็เถอะ
มือขวาของเธอสัมผัสลงไปอีกครั้ง พลังความร้อนบางเบาแทรกผ่านเข้าไป ผิวของสีเขียวเหลืองได้จางหายไปอีกครั้ง หนึ่งเซนติเมตรโดยประมาณ ชนิดแก้วกระจกไร้สี เสมือนแก้วคริสตัลที่ละเอียดอ่อนและใสสะอาด ความอิ่มน้ำที่เพียงพอ การซึมผ่านของน้ำสูงมาก คล้ายกับแก้วกระจกก็ไม่ปาน
ไม่สิ ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าภายในหยกเหมือนจะเป็นคริสตัลธรรมชาติใสบริสุทธิ์
ถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้าง แต่การเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว แล้วยังจะทำให้ซีเหมินจินเหลียนตกใจกลัวจนหน้าซีดเซียว สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?
ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็พยุงตัวเองขึ้นมายืนเป็นปกติ เดินล้อมรอบหินก้อนนั้นไปมาถึงสองรอบ ในใจคร่ำครวญอยู่ ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ น่าจะสามารถสร้างของปลอมย้อมแมวที่เหมือนขนาดนี้ได้…
แต่อย่างไรหินก้อนนี้ก็ต้องเป็นหินหยกปลอมแน่ๆ
“เป็นอะไรกันแน่?” ซีเหมินจินเหลียนพูดพึมพำอยู่คนเดียว แต่ทันใดนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะนำหินหยกก้อนนี้กลับไปเพื่อที่จะผ่าดูว่าข้างในมีอะไรอยู่กันแน่
“เสี่ยวป๋าย รบกวนคุณไปหาผู้อาวุโสเจี่ยที” ซีเหมินจินเหลียนบอกจ่านป๋าย
“ครับ” จ่ายป๋ายตอบรับอย่างทันควัน จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสเจี่ยก็รีบเดินลนลานเข้ามา แล้วพูดว่า “แม่หนูสนใจก้อนไหนหรือ”
“ก้อนนี้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่หินหยกก้อนนั้น
“ถ้าก้อนนี้ราคาสองแสนหยวน!” ผู้อาวุโสเจี่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ พร้อมตีราคาออกมา
“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่แม้แต่ต่อรองราคา จ่านป๋ายจึงหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋าเป้ข้างใน เตรียมตัวสำหรับการซื้อขาย
ผู้อาวุโสเจี่ยแปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้พกเงินสดก้อนโตมา จึงยิ้มข่มแล้วพูดว่า “คุณซีเหมินพกเงินสดออกไปครั้งนอกด้วยเหรอครับ”
“วันนี้พวกเราเตรียมจะไปถนนหยกเพื่อรับสินค้าน่ะครับ เลยหยิบเงินสดติดตัวมาสักหน่อย ราคาไม่ได้มากมายอะไร เงินสดเลยสะดวกกว่าครับ” จ่านป๋ายอธิบาย
“อืม!” ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นเงินก้อนโตนั่นที่ใส่อยู่ในซองธนาคารที่ยังไม่ได้ถูกแกะก็ขี้เกียจที่จะนับ ได้แต่พยักหน้าพูดว่า “แม่หนูสนใจก้อนไหนอีกไหม”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถึงแม้จะยังดูหินหยกไม่หมด แต่เธอก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะดูต่อแล้ว หินหยกผิวสีเขียวเหลืองก้อนนี้ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก
จ่านป๋ายออกเช่ารถมาหนึ่งคัน เมื่อพนักงานสองคนมาช่วยกันขนย้ายหินหยกก้อนนั้นขึ้นไปบนรถ เมื่อรถขับออกไปจากโรงงานแปรรูปหยกแล้ว ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สีหน้าค่อยๆ ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธอกับจ่านป๋ายกลับโรงแรมไปด้วยกันแล้วยังกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้จ่านป๋ายดูแลหินหยกก้อนนั้นไว้ให้ดี
ในตอนนี้เธอแทบจะทนไม่ไหวอยากจะให้จ่านป๋ายพาหินก้อนนั้นรีบส่งกลับไปที่เซียงไฮ้ จากนั้นล็อคใส่ไว้ในตู้เซฟนิรภัยให้รู้แล้วรู้รอด
จ่านป๋ายไม่เข้าใจ จึงถามเธอขึ้นว่า “หินหยกก้อนนี้เนื้อดีเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพร้อมเอนตัวลงไปที่โซฟาใหญ่ กินไอศกรีมจับเลี้ยง พร้อมนวดขมับที่มีอาการปวดหัวนิดหน่อย คิดอยู่ตลอดว่าข้างในของหินก้อนนั้นมีอะไรกันแน่?
“คุณไม่รู้ แต่ก็ซื้อมาเนี่ยนะ?” จ่านป๋ายส่ายหัวยิ้มเฝื่อน
“ลักษณะของหยกก้อนนั้นดูแปลกๆ” ซีเหมินจินเหลียนอมยิ้ม “แต่ว่าการเดิมพันหยกก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องชนะตลอด ในเมื่อมันแปลกเลยลองซื้อกลับมาตัดเล่นๆ น่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ!” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ถ้าหากคนที่เดิมพันหยกคิดแบบคุณก็ดีสิครับ”
“ผู้อาวุโสเจี่ยก็พูดไม่ใช่เหรอคะว่าการเดินพันหยก ต้องใช้ความรู้สึก!”
“สิ่งที่ผู้อาวุโสพูดคุณก็เชื่องั้นเหรอครับ?”
“เขาคือราชาแห่งการเดิมพันหยกนะ!”
“จี๊…” จ่านป๋ายแสดงถึงความดูหมิ่น “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการหยก ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง?”
“คุณก็ล้อเลียนฉันเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนพุ่งตัวขึ้นมาทำท่าจะตีเขา แต่เสี่ยวป๋ายก็หลบหลีกตั้งหลักได้ทันก่อน ทั้งสองคนต่างไล่ตีกันไป