ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 6.1
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าหลินเสวียนหลานพักที่โรงแรมนี้เหมือนกัน แต่หลินเสวียนหลานรู้อยู่แล้วว่าเธอพักที่นี่จึงตั้งใจเข้าพักโรงแรมเดียวกันกับเธอโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
หลินเจิ้งกับหวังเซียงฉินกลับจากโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ละแวกนั้นแล้ว ทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่หวังเซียงฉินยังคงเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายและโวยวายจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจให้ได้ว่าซีเหมินจินเหลียนเจตนาทำร้ายร่างกายเธอ หลินเจิ้งได้แต่เก็บความเจ็บแค้นไว้ในใจเงียบๆ หลังมื้อค่ำเขาจึงตัดสินใจไปหาหลินเสวียนหลานที่ห้องพัก พอรู้ว่าปู่จู้ไม่อยู่ในห้องด้วยเขาจึงถือวิสาสะปิดประตูห้องเพื่อหารือกับหลินเสวียนหลานว่าควรจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไรดี เพราะเขาไม่ยอมถูกทำร้ายฝ่ายเดียวแน่
หลังทราบจุดประสงค์ของหลินเจิ้งแล้ว หลินเสวียนหลานก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นอกจากจะยอมรับผลของมันแล้วพวกเขายังจะทำอะไรได้อีก? ถ้าเกิดไปแจ้งความจริง ตระกูลหลินจะยอมเสียหน้าได้หรือ? เรื่องราวทั้งหมดเกิดในตลาดค้าหยกต่อหน้าธารกำนัลที่เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ถึงอารองกับอาสะใภ้รองจะไม่เห็นแก่หน้าตัวเอง แต่เขาก็ไม่ยอมเสียหน้าและเสียชื่อเสียงด้วยหรอก
“อารอง เรื่องนี้ผมว่าช่างมันเถิดนะครับ” หลินเหลียนหลานมองดูใบหน้าบวมช้ำราวหัวหมูของหลินเจิ้ง คราวนี้หวังเซียงฉินไม่ได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย เธอคงพักผ่อนอยู่ในห้องกระมัง ก่อเรื่องวุ่นวายจนต้องอับอายขายหน้าเสียขนาดนั้นเธอคงไม่มีกะจิตกะใจออกมาให้คนอื่นหัวเราะเยาะอีกแน่ พอนึกถึงสภาพของอารองกับอาสะใภ้รองแล้วหลินเสวียนหลานก็ต้องถอนหายใจอีกรอบ พร้อมเอ่ยเตือนสติขึ้น “อารองเองก็รู้ความจริงทั้งหมดแล้วว่าทางเราไปเสียมารยาทกับเขาก่อน แล้วอารองยังจะทำอะไรได้อีกครับ?”
“หึ!” นัยน์ตาของหลินเจิ้งฉายแววอำมหิตขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงเยือกเย็น “ถ้าจัดการในที่แจ้งไม่ได้ก็จัดการในที่ลับซะสิ ฉันจะต้องทำให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่เซี่ยงไฮ้ไม่ได้อีกต่อไป” เขาละประโยคสุดท้ายเอาไว้ในใจ และฉันจะต้องเอาหยกสีแดงลายทองคำของซีเหมินจินเหลียนมาเป็นของตัวเองให้ได้!
“อารอง นี่อาคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ?” หลินเสวียนหลานหน้าถอดสีด้วยความตกใจ พลางรีบห้ามปราม “อาอย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เด็ดขาดนะครับ!”
หลินเจิ้งหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่แล้วอัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยต้องอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อน คราวก่อนซีเหมินจินเหลียนหลอกขายหินหยกสีเขียวติดเปลือกให้เขาที่ร้านเถ้าแก่โจวเขายังพอทนได้ แต่คราวนี้พวกเธอถึงขั้นกล้าลงมือทำร้ายร่างกายเขาต่อหน้าธารกำนัล ทั้งเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีผู้หญิงของเขาอีก
ถึงแม้ภรรยาของเขาจะนิสัยแย่ไปบ้าง แต่คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายเธอ ผู้หญิงที่ไม่มีอำนาจไม่มีต้นทุนชีวิตอย่างซีเหมินจินเหลียนไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?
“เสวียนหลาน แกเองก็รู้สถานการณ์ลำบากที่ครอบครัวของเรากำลังเผชิญอยู่!” หลินเจิ้งเอ่ยพลางพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก หลังม่านควันบุหรี่หน้าตาที่เคยดูดีของหลินเจิ้งเริ่มบิดเบี้ยวจนดูเ**้ยมเกรียม
“ซีเหมินจินเหลียนมีหยกสีแดงลายทองคำกับหยกบ่อเก่าเนื้อแก้วสีเขียวสดอยู่ในมือ ขอแค่ตระกูลหลินได้หยกสีแดงลายทองคำมาไว้ในครอบครองก็จะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้” หลินเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบเย็น
“จินเหลียนไม่ยอมขายหยกสีแดงลายทองคำแน่ ที่สำคัญ ถึงเธอยอมขายแต่เราก็ไม่มีเงินซื้ออยู่ดี” หลินเสวียนหลานส่ายหน้าพลางยิ้มฝืดเฝื่อน ไม่รู้ว่าในใจอารองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
“ซื้อเหรอ?” หลินเจิ้งหัวเราะเยาะ “เสวียนหลาน แกคงจะเรียนเยอะจนเลอะเลือนไปแล้วล่ะมั้ง ใครบอกว่าฉันจะซื้อเล่า? ฉันจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นยอมยกหินหยกให้เองต่างหากเล่า จากนั้นฉันจะทำให้เธอต้องไสหัวไปให้พ้นจากเซี่ยงไฮ้แต่โดยดี!”
“อารอง?!” หลินเสวียนหลานตกใจจนพูดไม่ออก เขาได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและเริ่มเป็นห่วงซีเหมินจินเหลียนขึ้นมาจับใจ
“เสวียนหลาน ฉันรู้ว่าแกคิดอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยมากจริงๆ ฉันผ่านโลกมาเยอะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ซึ่งสมัยนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ถ้าแกชอบผู้หญิงคนนั้นจริง ก็รอให้ฉันจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนแล้วแกอยากจะทำอะไรก็ตามใจแกเลย แต่ถ้าแกเบื่อเมื่อไหร่ก็อย่าลืมส่งต่อให้ฉันได้ชื่นใจบ้างล่ะ”
“อารอง นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะครับ!” หลินเสวียนหลานได้ฟังความคิดชั่วร้ายของหลินเจิ้งแล้วก็ถึงกับหน้าซีดเผือด เขาลุกขึ้นยืนชี้หน้าหลินเจิ้ง “ผมจะไม่ยอมให้อารองทำเรื่องเลวๆ กับจินเหลียนเด็ดขาด! ถ้าอารองกล้า ผมจะกลับไปฟ้องคุณปู่”
“ฟ้องคุณปู่อย่างนั้นเหรอ?” หลินเจิ้งย้อนคำอย่างเยาะเย้ย “เสวียนหลาน แกรู้หรือเปล่าว่าหลายปีมานี้ทำไมคุณปู่ถึงไม่ยอมให้แกทำงานสำคัญๆ คนใจคอไม่เด็ดเดี่ยวทำอะไรไม่เด็ดขาดอย่างแกมันจะไปทำการใหญ่อะไรกับเขาได้? แล้วแกจะกลัวอะไรนักหนากะอีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ฉันสืบประวัติผู้หญิงคนนั้นมาหมดแล้ว เธอก็เป็นแค่สาวบ้านนอกธรรมดาๆ ไม่มีแม้แต่พี่น้องแถมยังกำพร้าพ่อแม่อีก หรือจะพูดให้น่าเกลียดหน่อย ต่อให้ฉันฆ่าเธอทิ้งก็ไม่มีใครออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอหรอก!”
“นี่อา…อา…” หลินเสวียนหลานโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“แกเองก็รู้ประวัติของเธอใช่ไหม?” หลินเจิ้งถากถาง “ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ อาพูดถูก แต่อาอย่าลืมนะว่าสวรรค์มีตา ถ้าอาทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามจริงๆ อาคิดว่าจะหนีกฎแห่งกรรมพ้นเหรอครับ” ตอนนี้หลินเสวียนหลานรู้สึกรังเกียจอารองคนนี้มากเหลือเกิน แม้เขาจะรู้ว่าอารองก่อเรื่องวุ่นวายข้างนอกไปทั่ว แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าอารองจะมีความคิดชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้
“ผมอยู่ทั้งคน อาอย่างหวังว่าจะทำร้ายจินเหลียนได้!” หลินเสวียนหลานกำมือแน่น วันนี้จ่านป๋ายทำถูกแล้วที่ต่อยสั่งสอนอารองของเขาเพราะอารองของเขาคนนี้กวนโมโหได้น่าต่อยจริงๆ
“แล้วถ้าฉันบอกว่านี่เป็นความคิดของปู่แกล่ะ?” หลินเจิ้งเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“คุณปู่ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่” หลินเสวียนหลานแย้งทันที คนอย่างคุณปู่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน
“หึ…ยังมีเรื่องที่แกไม่รู้อีกเยอะ!” หลินเจิ้งเยาะเย้ย “แกรู้หรือเปล่าว่าตระกูลหลินร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างไร แล้วรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คุณปู่ของแกกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรมากที่สุด?”
หลินเสวียนหลานนิ่งงันไปเล็กน้อย เรื่องที่คุณปู่กลุ้มใจมากที่สุดก็ต้องเป็นเรื่องก้อนหยกอยู่แล้ว ถ้าไม่มีก้อนหยกดีๆ แล้วจะดำเนินกิจการหลินซื่อจิวเวลรี่ต่ออย่างไร? แม้หลินซื่อจิวเวลรี่จะทำธุรกิจเครื่องประดับเพชร ทองคำขาวและทองคำด้วย แต่สินค้าหลักที่ทำรายได้ให้บริษัทยังคงเป็นหยก…
“ถ้าเรามีหยกสีแดงลายทองคำก็คงหมดเรื่องกลุ้มใจใช่ไหมล่ะ?” หลินเจิ้งครางฮึเสียงต่ำ “ทำไมแกไม่ใช้สมองคิดเสียบ้าง? ปู่แกเป็นคนพูดเองว่าหยกแกะสลักที่ซีเหมินจินเหลียนมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดน่ะเป็นหยกบ่อเก่าเนื้อแก้วสีเขียวเข้มคุณภาพเยี่ยม แกเองก็เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่ามันเยี่ยมยอดขนาดไหน ประเมินจากหยกชิ้นนั้นแล้วซีเหมินจินเหลียนน่าจะซอยก้อนหยกออกมาจากหยกก้อนใหญ่อีกที นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเธอยังมีหยกเนื้อแก้วสีเขียวเข้มในครอบครอง ถ้าเราได้หยกพวกนี้มาไว้ในกำมือก็เพียงพอให้เราพลิกฟื้นฐานะได้อย่างสบายๆ”
“พอได้แล้ว!” หลินเสวียนหลานขัดขึ้นเสียงดัง “อาหยุดพูดได้แล้ว อาแค่อยากแก้แค้นเพราะเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ถ้าอากล้าแตะต้องจินเหลียนแม้แต่ปลายเล็บผมไม่ปล่อยอาไว้แน่”
อีกด้านหนึ่งนั้น ซีเหมินจินเหลียนผู้ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหลินเจิ้งเป็นคนใจคอโหดเ**้ยมอำมหิตราวอสรพิษ วันนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นไคลจากการผ่าหยก พอกลับถึงโรงแรมจึงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ เธอหิ้วกระเป๋าถือเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ แล้วเคาะประตูห้องเบาๆ ก็เธอไม่มีความสามารถพิเศษเหมือนจ่านป๋ายที่สามารถเข้านอกออกในห้องคนอื่นได้อย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีกุญแจนี่นา
“มาแล้วครับ!” เพียงครู่เดียวจ่านป๋ายก็รีบมาเปิดประตูต้อนรับ พอเห็นว่าเป็นซีเหมินจินเหลียนจึงเอ่ยถามยิ้มๆ “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน ฉันเป็นเจ้ามือเอง!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแต้ “อาหารในโรงแรมทั้งแพงทั้งไม่อร่อย!”
“ใจดีจัง ถ้าอย่างนั้นคุณรอผมสักครู่นะครับ!” จ่านป๋ายเอ่ยเสร็จรีบหมุนตัวกลับเข้าห้องทันที ซีเหมินจินเหลียนเดินตามเข้าไปในห้องจึงทันเห็นเขารีบกระวีกระวาดปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุค ตอนแรกเธอไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เหมือนเธอจะเห็นเบื้องหลังของใครบางคนที่คุ้นเคยแวบหนึ่งบนจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคของจ่านป๋าย
“ดูหนังอยู่เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนโยนหินถามทาง
“อ๋อ ใช่ ดูหนังแก้เบื่อน่ะครับ” จ่านป๋ายรีบปั้นยิ้มกลบเกลื่อน เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่อยากให้เธอได้รับรู้
ซีเหมินจินเหลียนได้คำตอบแล้วจึงเลิกเซ้าซี้ ขอแค่เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยเป็นพอ ส่วนเรื่องรสนิยมส่วนบุคคลอื่นๆ นั้นเธอยอมรับได้อยู่แล้ว
จ่านป๋ายแสร้งทำเป็นเก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไปพร้อมซีเหมินจินเหลียน
หลินเสวียนหลานกับหลินเจิ้งทะเลาะกันอย่างหนัก หลินเสวียนหลานกลัวว่าหลินเจิ้งจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่พูดจริงจึงตัดสินใจไปเตือนซีเหมินจินเหลียน ระหว่างทางที่เขาเดินไปหาซีเหมินจินเหลียนที่ห้องพักนั้นเขากลับเห็นภาพเบื้องหลังของจ่านป๋ายกำลังเดินจูงแขนซีเหมินจินเหลียนเข้าประตูลิฟท์…
หลินเสวียนหลานรู้สึกเจ็บแปลบในอกจนต้องใช้แขนยันกำแพงไว้อย่างหมดแรง ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลิน เขาคงสามารถอยู่เคียงข้างเธอ ทานข้าว เดินเที่ยว เล่นหวยหยกและผ่าหยกเป็นเพื่อนเธอ…
เขาอยากมีส่วนร่วมทุกอย่างและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ แต่ตอนนี้ ระหว่างเขาและเธอเป็นได้เพียงแค่คนรู้จักกันเท่านั้น เขาขับรถชนเธอ พาเธอก้าวเข้าสู่วงการหวยหยก นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ดูเหมือนเขาและเธอจะไม่มีเรื่องให้สมาคมกันอีก
ต่อให้ไม่มีจ่านป๋ายเข้ามาแทรกระหว่างเขาและเธอ แต่ฉินเฮ่าล่ะ? พอนึกถึงเพื่อนรักของตัวเองแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเป็นเท่าทวีเพราะเขาเป็นคนผลักไสซีเหมินจินเหลียนให้ฉินเฮ่าเองกับมือ
“ยามเมื่อดอกบัวทองเบ่งบาน!” เขายังจำคำทำนายของพระที่วัดหลิงอิ่งเมื่อสามปีก่อนได้ดี พระรูปนั้นบอกกับเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าเขาและเธอมีวาสนาต่อกัน…