ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 33 ขลุ่ยหยก
หวังหมิงเหยาไม่รู้ว่าทำไมตนถึงได้ถูกไล่ออก ตอนที่เขาเดินออกจากบริษัท สติของเดขาก็ยังคงล่องลอย การถูกไล่ออกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่มีใครจะทำงานบริษัทได้ตลอดชีวิต แต่ว่าการถูกไล่ออกของเขามันดูมีอะไรไม่ชอบมาพากล ทำให้เขารู้สึกรับความจริงไม่ได้
หัวหน้าฝ่ายการเงินบอกเล่าเหตุการณ์กับเขาว่าเป็นยังไง จะชดเชยอย่างไรบ้าง แต่ว่าในนั้นดูเหมือนไม่มีความจริงหลงเหลืออยู่เลย หลังจากนั้นก็ให้เงินชดเชยมาน้อยนิดและให้เขาเซ็นยินยอมแล้วก็ไล่ออกมา
เขาตั้งใจเดินไปหาผู้จัดการแผนกแล้ว เพื่อที่จะขอให้ได้อยู่บริษัทต่อไป เดิมทีเขาก็ไม่เคยกลัวกับผู้จัดการแผนกอยู่แล้ว พูดได้ว่าความสัมพันธ์ค่อนข้างดี
แต่เมื่อเขาได้ฟังจากผู้จัดการแผนก เขาถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่เขาถูกไล่ออกนั้น ไม่ใช่อย่างที่ฝ่ายการเงินแจ้งว่าเรื่องผลประโยชน์บริษัท แต่เป็นเพราะว่าเขาไปมีเรื่องกับคนระดับสูง?
การที่เขาถูกไล่ออก ไม่สิ ผู้จัดการบอกว่าที่เขาถูกกำจัดครั้งนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากบริษัท อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ก่อนที่เขาจะจากไปนั้น ผู้จัดการแผนกรูปร่างอ้วนท้วนก็ได้ตบบ่าเขาเบาๆ แล้วเจตนาเอ่ยไปว่า “น้องชาย ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ผมไม่อยากช่วยคุณนะ แต่ว่านี่เป็นคำสั่งจากหัวหน้า คุณลองกลับไปคิดดูให้ดีๆ ล่ะกันว่าช่วงนี้ไปทำอะไรขัดหูขัดตาใครบ้างหรือเปล่า”
ช่วงนี้เขาจะไปขัดหูขัดตาใครได้? เขาไม่เคยทำอะไรใคร หวังหมิงเหยาคิดไม่ตก ถ้าหากมีโอกาสได้เจอกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เขาคงจะรีบประจบเดินคลานเข่าไปหาก่อนตลอด ทำไมยังโดนเล่นงานอีก
ช่วงนี้เข้าไปหาเรื่องใครกัน? ทำไมคิดยังไงก็คิดไม่ออก ระหว่างที่ขับรถนั้น เขาก็ได้ครุ่นคิดจนถึงบ้านโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าแม่ของเขาเดินมาเปิดประตูด้วยสีหน้าโสร้าสลด ก่อนจะถามเขาอย่างแปลกใจว่า “ทำไมแกถึงกลับมาเวลานี้?”
หวังหมิงเหยารู้สึกอึดอัดใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปก็เห็นพ่อกำลังนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าอมทุกข์
“พ่อ ทำไมพ่อถึงอยู่บ้านได้ล่ะ” หวังหมิงเหยาสงสัยว่าทำไมพ่อถึงอยู่บ้านได้ หรือว่าจะ…?
“หมิงเหยา พ่อของแกถูกไล่ออกแล้ว!” พูดไปพลางร้องไห้ “พ่อของแกทำงานที่บริษัทนี้มาทั้งชีวิต แต่วันนี้อยู่ๆ เขาก็บอกว่าอายุมากเกินไป แก่แล้ว ไม่ต้องการเขาแล้ว…ฮือๆ…”
“หมิงเหยา ทำไมแกถึงกลับมาตอนนี้?” คุณพ่อหวังเงยหน้าขึ้นมาถาม
หวังหมิงเหยานั่งตัวตรงอยู่บนโซฟา สีหน้าอมทุกข์ฝืนทนแล้วถอนหายใจ ก่อนจะปลดเน็คไทให้ผ่อนคลาย “ผมถูกไล่ออกแล้ว..”
“อะไรนะ?” สวีจวิ้นหลานตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอรับไม่ได้จึงค่อยๆ ล้มพับลงไปนั่งที่โซฟา ไม่นานร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่
“แกทำอะไรผิด เขาถึงไล่แกออก!” คุณพ่อหวังเสียงฟึดฟัด
สวีจวิ้นหลานไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ผลิตน้ำตาแทนที่เสียงตอบรับ
คุณพ่อหวังกับหวังหมิงเหยามองหน้าสบตากัน ทันใดนั้นก็ครุ่นคิดพิจารณา ถูกไล่ออกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอายุคุณพ่อหวังก็ปูนนี้แล้ว แต่ว่าพ่อลูกถูกไล่ออกวันเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยากเกินจะรับได้ นี่คงมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลแน่
แต่คุณพ่อหวังกับหวังหมิงเหยาไม่ได้อยู่บริษัทเดียวกัน แล้วใครกันที่จะมีความสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้?
“ฉันน่ะก็แก่แล้ว แล้วแกล่ะ?”
หวังหมิงเหยาส่ายหน้า ถูกคนเบื้องบนเล่นงาน ที่แท้เขาก็ไปหาเรื่องใครกันแน่? ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องอะไรสักนิด ทำไมเรื่องทั้งหมดถึงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หวังหมิงเหยาคิดทบทวนอย่างละเอียด คิดแล้วคิดอีก นอกเหนือจากเมื่อคืนวานที่เขาโทรศัพท์ไปแบล็คเมลซีเหมินจินเหลียน เขาก็ไม่ได้ไปหาเรื่องใครอีก…
หรือว่าจะเป็นเธอ? แต่ว่า จะเป็นไปได้ยังไงกัน?
…
ซีเหมินจินเหลียนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผ่านไปสิบโมงเช้าแล้ว เธอจึงรีบล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปข้างล่าง เห็นจ่านป๋ายกำลังนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา
“อรุณสวัสดิ์ครับ” จ่านป๋ายได้ยินเสียงฝีเท้าเลยเงยหน้าขึ้นมา
“เสี่ยวป๋าย พวกเราออกไปกินข้าวเช้าข้างนอกกัน” ซีเหมินจินเหลียนลูบท้องที่ส่งเสียงดังโครกคราก
“เห็นคุณนอนหลับอยู่ ผมเลยไปซื้อมาให้แล้วเมื่อกี้ อยู่ในห้องครัวน่ะ อุ่นสักหน่อยก็กินได้แล้วครับ” จ่านป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วลุกขึ้นเดินไปในครัว
“อืม โอเค” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า มีของกินก็ดีแล้ว เธอไม่เคยเลือกที่จะกิน
ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้าเสร็จ ซีเหมินจินเหลียนก็รีบลงไปห้องใต้ดิน จ่านป๋ายพูดรั้งท้ายมาว่า “คุณรีบอะไรขนาดนั้นกันครับ”
“ฉันจะรีบทำขลุ่ยหยกให้เสร็จออกมาไวๆ จากนั้นก็หาคนมาซื้อ แล้วเปลี่ยนเป็นเงินแทน!” ซีเหมินจินเหลียนอยากจะซื้อหุ้นของตระกูลหลิน แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะนั่งอยู่ที่บ้านหรือจะพึ่งพาเงินชองฉินเฮ่ากับจ่านป๋ายอย่างเดียว จำเป็นต้องมีเงินของเธออยู่ในนั้นด้วย
อีกอย่างตอนนี้เธอก็มีเงินติดตัวน้อยลงไปทุกที ถ้าอย่างนั้นก็ต้องผลิตสินค้าแปรรูปจากหยกชั้นดีออกมา แล้วเอาไปขายต่อ
แม้ว่าพ่อค้าคนกลางอาจจะแบ่งค่านายหน้าไว้อยู่ไม่น้อย แต่ใครใช้ให้เธอไม่มีตลาดขายเป็นหลักเป็นแหล่งล่ะ?
จ่านป๋ายเห็นเช่นนั้นทำได้แค่ยิ้มชอบใจ แล้วเดินตามเธอลงไปที่ห้องใต้ดินด้วยกัน ทั้งสองคนแทบไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหน ยุ่งอยู่กับห้องใต้ดินมาเป็นเวลาห้าวันเห็นจะได้ ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่แกะสลักขลุ่ยหยกเสร็จ เธอยังแกะสลักดอกบัวแดงหยกสีเลือดแล้วเรียกชื่อไปว่า “ไฟชั่วร้ายแห่งดอกบัวแดง”
เพราะว่าหยกสีเลือดมีสีเข้มสดที่น่ากลัว ดอกบัวทั้งสองเมื่อแกะสลักออกมาแล้ว ขัดให้แวววาบแล้ววางไว้บนชั้นวาง ภายใต้แสงไฟที่ส่องมามันช่างเปล่งประกายส่องแสง ด้านข้างยังมีขลุ่ยหยกทั้งสองชิ้นวางเรียงอยู่ข้างกัน
“จินเหลียน ฝีมือคุณพัฒนาแล้ว!” สายตาของจ่านป๋ายมองไปยังโต๊ะที่เรียงวางหยกทั้งสี่ชิ้นเข้าไว้ด้วยกันพร้อมพูดเอ่ยชมอย่างไม่หยุดปาก เขาไม่ได้จะชมเพื่อประจบ แต่ฝีมือของซีเหมินจินเหลียนละเอียดและพิถีพิถันขึ้นมาก
อย่างเช่นขลุ่ยหยกนี้ ช่องว่างระหว่างรูของแต่ละเสียงก็ได้ทำออกมาราวกับของจริง
เขาระมัดระวังในการหยิบขลุ่ยหยกขึ้นมาแล้วก็ใช้มือสัมผัสไปยังผิวลื่นมันสะอาดนั่น “ไม่รู้ว่าขลุ่ยหยกนี้จะเป่าได้หรือเปล่า”
“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเป่าหรอก ถ้าคุณรู้ก็ลองเป่าดูได้นะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เธอคิดว่าจ่านป๋ายไม่สามารถเป่าได้ ถ้าเขาเป่าได้ก็น่าแปลกแล้ว
แต่ว่าเรื่องนี้ก็มักจะหักมุมเสมอ จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นจึงหยิบขลุ่ยมาไว้ในมือ ไม่นานก็พูดว่า “อันนี้ก็พอได้แล้ว ถ้าปรับสักนิดก็คงเป่าได้แล้วล่ะ ผมว่านี่โอเคเลยครับ”
ซีเหมินจินเหลียนให้ความสนใจ “ต้องปรับยังไงเหรอ”
“ผมจะหาเพื่อนที่รู้เรื่องการทำเครื่องดนตรีมาช่วยแล้วกัน” จ่านป๋ายพูด “ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวผม เดี๋ยวอีกสักพักผมออกไปหาคนมาช่วย”
“มีอะไรที่ฉันต้องไม่เชื่อใจคุณด้วยล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้ายิ้ม ถ้าหากจ่านป๋ายเป็นคนที่มีเจตนาไม่ดี เขาคงไม่ขโมยแค่ขลุ่ยหยกอย่างเดียวหรอก ของภายในห้องใต้ดินทั้งหมดก็ก่ายกองไปด้วยหยก แถมเธอก็เป็นสาวโสด เขาน่าจะฆ่าแล้วชิงทรัพย์ไปนานแล้ว…
“ถ้าอย่างนั้นตอนบ่ายผมจะไปหาคนมาช่วย คุณเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรตอนบ่ายก็พักผ่อนำเถอะนะครับ”
“คุณเอาไปพร้อมกันทั้งสองเลาเลยก็ได้ คุณไม่มีอะไรที่ฉันต้องระแวงหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เขาพูดถูก เธอยุ่งมาหลายวันแล้ว ควรจะใช้เวลานี้พักผ่อนสักหน่อย
เพียงแต่ว่าตอนบ่ายหลังจ่านป๋ายออกไป ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง อีกทั้งเธอก็ยังไม่อยากออกไปข้างนอก เช่นนั้นจึงเดินลงไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง
แม้ว่าห้องใต้ดินจะมีตู้เซฟนิรภัย แต่หินหยกของเธอก็มากเกินกว่าที่ตู้เซฟจะรับไหว เพราะฉะนั้นหินหยกส่วนมากจึงวางกองสะเปะสะปะอยู่ด้านนอก มองไปที่สีแดงสีเขียว ทะลุผ่านไปยังเนื้อหยกที่ใสสะอาด มันช่างอิ่มอกอิ่มใจเสียเหลือเกิน
สายตาของเธอตกไปอยู่ที่หินหยกรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่ใหญ่มาก
มองหยกชิ้นนี้อย่างไรก็รู้สึกสงสัย ลักษณะคล้ายกับหยกปกติ แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือน ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงบนหยกสีเลือดที่ถูกเจียระไนออกมาจนหมด แล้วมองไปที่หยกก้อนนั้นอย่างไตร่ตรองว่าจะเจียระไนออกมาดูดีไหม ว่าข้างในเป็นยังไงกันแน่
จะเปิดออกมาดีไหมนะ? ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่นานกว่าสองชั่วโมง สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจว่าจะตัดมันออกมาดู ตั้งเครื่องเตรียมจะเจียระไนหิน แต่ทันใดนั้นกริ่งประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นเสียก่อน
ซีเหมินจินเหลียนสงสัย หรือว่าจ่านป๋ายจะกลับมาแล้ว? ไม่น่าจะใช่ ถึงเขาจะลืมกุญแจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกดกริ่งนี่น่า การปีนรั้วกำแพงก็คือความสามารถพิเศษของเขา
เมื่อคิดเช่นนี้ซีเหมินจินเหลียนก็วางเครื่องเจียระไนลง เดินออกไปและปิดประตูห้องใต้ดิน ในใจคิดว่าสวรรค์คงตั้งใจไม่ให้เธอเปิดเผยหินหยกข้างในออกมาดู เมื่อคิดถึงเวลาที่มองเข้าไปข้างในหินก้อนนั้นทุกครั้ง ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหัว ให้จ่านป๋ายเป็นคนจัดการดีกว่า
เขาค่อนข้างใจกล้า แต่ถ้าเกิดเขาเห็นว่าข้างในหยกแก้วซ่อนอะไรไว้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะตกใจหรือเปล่า
ความคิดชั่วร้ายโผล่เข้ามา ซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปที่ประตู ถัดไปคือครื่องกันขโมย เมื่อเห็นว่าเป็นจ่านป๋ายที่ยืนอยู่หน้าประตู ซีเหมินจินเหลียนสงสัย “ทำไมคุณยังต้องกดกริ่งอีก?”
“ผมลืมเอากุญแจไป”
ซีเหมินจินเหลียนเปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้วถามว่า “แต่ก่อนตอนที่คุณลืมกุญแจ คุณก็เข้ามาได้ไม่ใช่เหรอ?”
“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ตอนนี้ประตูล็อกมีลักษณะพิเศษ ถ้าหากลักลอบเข้ามาได้ อย่างนั้นคงอันตรายแน่” จ่านป๋ายอธิบาย แน่นอนเขาสามารถเปิดเองได้ แต่มันก็ยุ่งยาก ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนอยู่ที่บ้าน เขาก็ไม่อยากจะต้องใช้กำลัง
ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าเขาเปลี่ยนที่ล็อกประตูทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาติดตั้งระบบป้องกันกันขโมยยังไง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงถามไปว่า “ถ้าหากใช้กำลังในการเปิดจะเป็นยังไงเหรอ”
“มันก็จะระเบิดครับ!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนหมดคำจะพูด ได้แต่มองเขา ระเบิด? พูดแล้วก็คือถ้าเธอลืมกุญแจต้องยุ่งยากขนาดไหนกัน? เดิมทีคิดว่าเขาแค่ใส่ระบบติดตั้งกุญแจ ที่แท้ยังมีสิ่งนี้อยู่..
ห้องใต้ดินต้องใช้ลายนิ้วมือในการแสกนถึงจะเข้าไปได้ ทุกครั้งซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเหมือนหนังแนวสายลับอย่างที่เธอเคยดู แต่ว่าประตูหน้าบ้านที่ติดตั้งระเบิดนั้น น่ากลัวเกินไปแล้ว
“ถ้าหากคุณลืมกุญแจ ผมก็สามารถเปิดได้ เพียงแค่ยุ่งยากนิดหน่อยก็เท่านั้น” จ่านป๋ายปลอบให้เธอวางใจ