ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 31 แบล็คเมล์
ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้ว เธอเรียนภาษาจีน สำหรับตำนานไฟชั่วร้ายแห่งดอกบัวแดงเธอก็เคยได้ยินมาก่อน “ดอกบัวแดงในตำนานน่าจะไม่ใหญ่ขนาดนี้? แต่หยกสีเลือดนี้ใหญ่ใช้ได้ พวกเราสามารถเล็มเอาเนื้อหยกจากข้างๆ มาทำเป็นเครื่องประดับกับดอกบัวแดง ในส่วนของตรงกลางเอามาทำฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด ขนาดแค่คนนั่งได้ก็พอแล้ว”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา คนนั่งได้ก็พอแล้ว? นี่ยังไม่ใหญ่อีกเหรอ หรือเธอคิดจะทำให้สำหรับพระพุทธรูปนั่งลงจริงๆ? พระพุทธรูปที่อยู่ตามวัดวาอารามที่กราบไว้บูชากัน ขนาดก็ไม่ได้เล็ก ถ้าอยากจะทำเป็นฐานรองนั่งดอกบัวใหญ่ขนาดนั้น คิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง
“คุณหัวเราะอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ไม่มีอะไร แต่เมื่อครู่นี้ที่คุณบอกว่าคนสามารถนั่งได้ก็พอแล้ว รอให้คุณทำออกมาเสร็จ ผมอยากจะลองนั่งดูให้สบายใจเฉิบเลย”
“คุณอยากจะนั่งยังไงก็ตามสบาย พอพวกเราเล่นเบื่อแล้วค่อยขายก็ไม่สาย” ซีเหมินจินเหลียนพูด “แต่ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าจะทำอะไรที่สามารถได้เงินมากกว่านี้!”
จ่านป๋ายทำได้แค่ยิ้มออกมา สำหรับเรื่องของการแกะสลักหยกเขาไม่มีความรู้เลยสักนิด เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเจียระไนหินต่อไป ส่วนสายตาของซีเหมินจินเหลียนตกไปอยู่ที่หินหยกที่เคยซื้อมาจากร้านเถ้าแก่โจวก่อนหน้านั้น เนื้อหยกชิ้นนี้ไม่ได้ถูกใช้ไปเยอะ จริงๆ แล้วเธอก็แค่ตัดออกไปทำเพียงแค่จานผลไม้หยกรูปทรงใบบัวเท่านั้น
แน่นอนถ้าหากขายจานผลไม้หยกรูปใบบัวจริงๆ คงประเมินราคาไม่ได้ แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับอยากจะเก็บไว้ใส่ผลไม้เอง ตอนนี้ถ้าหากเธออยากเปลี่ยนเป็นเงินคงจะเอาหินหยกชิ้นนี้ไปขายแลกแทน
สีของเนื้อหยกชิ้นนี้เป็นสีเขียวมรกตสดใส ราวกับต้นไม้พืชหญ้าที่ถูกสรรสร้างขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมาก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างกะทันหัน หรือจะทำเป็นขลุ่ยหยกแล้วแกะสลักตัวอักษรโบราณลงไปเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ที่จ่านป๋ายบอกก็ไม่ผิด เครื่องประดับหยกบางครั้งก็เหมือนกับของเล่นโบราณ เพียงแค่เพิ่มเรื่องราวเข้าไป ถึงจะสามารถเพิ่มราคาได้
แต่ว่าขลุ่ยที่ออกมาคงจะไม่เข้ากันถ้าจะสลักตำนานโบราณลงไป? อย่าพูดถึงว่าหากสลักไม่เหมือนเลย ถึงแม้ว่าจะเหมือนก็ยังคงถูกคนหัวเราะเยาะ ไม่ใช่เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มราคาให้ตัวสินค้า และยังถือเป็นการลดคุณค่าของมันอีกด้วย
จริงสิ ครั้งก่อนหลินเสวียนหลานก็บอกไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้กู้กง[1]สะสมขลุ่ยหยกอยู่หนึ่งชิ้น? ถ้าขลุ่ยของเธอลักษณะเหมือนกับของในกู้กง อย่างนี้ก็สามารถขายออกได้ในราคาที่สูงไม่ใช่เหรอ?
เมื่อคิดได้อย่างนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ลุกขึ้นวิ่งออกไปข้างนอก
“จินเหลียน คุณจะไปไหนครับ” จ่านป๋ายถาม “ตอนนี้ก็มืดแล้ว คุณอย่าออกไปจะดีกว่านะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันจะขึ้นไปหาข้อมูลข้างบน เดี๋ยวฉันมา!” ซีเหมินจินเหลียนพูด ฟังจากที่จ่านป๋ายเคยพูด เธอก็รู้ว่าหลินเจิ้งวางแผนจะทำร้ายเธอ คนนิสัยชั่วช้าแบบนี้ไม่ใช่คนดีอะไร มีความคิดที่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่กล้าออกไปข้างนอก
เดิมทีคิดว่าข้อมูลในอินเตอร์เน็ตน่าจะมีครบ แต่พอลองหาออกจริงๆ แล้วซีเหมินจินเหลียนก็รู้เลยว่าข้อมูลพวกนี้หาไม่ง่ายเลย หลังจากนั้นเธอหมดหนทาง จึงเข้าไปที่กระทู้หยกเพื่อสอบถาม คิดไม่ถึงเลยว่าคุณลุงหน้ากากผีคนนั้นที่เคยซื้อหยกแอปเปิ้ลของเธอในครั้งก่อนจะเป็นให้ข้อมูลเธอมาอย่างละเอียด
ซีเหมินจินเหลียนกล่าวขอบคุณเขาไม่หยุด คุณลุงหน้ากากผีได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอถึงต้องการข้อมูลเหล่านี้ ซีเหมินจินเหลียนจึงบอกไปอย่างคร่าวๆ ว่าเธออยากจะเลียนแบบหยกสักชิ้น ทำให้คุณลุงหน้ากากผีรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
เมื่อมองเวลาก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว จ่านป๋ายยังคงเจียระไนหินอยู่ในห้องใต้ดิน ซีเหมินจินเหลียนจึงลงไปด้านล่างอีกครั้ง “จ่านป๋าย คุณไม่นอนเหรอคะ”
“ตอนนี้ยังดีกว่าครับ วันนี้ผมอยากจะเจียระไนเปลือกหยกออกมาให้หมดก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยนอนก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ฉันคิดว่าจะทำขลุ่ยหยกสักชิ้นน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดไป พร้อมเดินไปที่หินหยกก้อนใหญ่เก่าแก่ที่อยู่ข้างหน้า หยิบอุปกรณ์มาจากโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มวัดขนาด
“ขลุ่ยหยกเหรอครับ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้ว ฉันจะเลียนแบบหยกที่กู้กงชิ้นนี้” ซีเหมินจินเหลียนกางกระดาษที่ถือในมือ ในนั้นมีรายละเอียดของขนาดขลุ่ยหยกและรูปภาพ ข้อมูลพวกนี้มาจากคุณลุงหน้ากากผีส่งให้เธอ
จ่านป๋ายตกตะลึง แต่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดไป ประโยคที่ธรรมดาขนาดนั้น แต่ทำไมเขาถึงได้ยินอีกความหมายหนึ่งนะ? ฉับพลันก็ก้มหน้าลงเจียระไนหยกสีเลือดต่อไป ถ้าหากซีเหมินจินเหลียนรู้ถึงความคิดชั่วร้ายในใจของเขานั้น เธอคงจะต้องหยิบแส้มาฟาดเขาแน่…
“เสี่ยวป๋าย หรือว่าเราจะทำสักสองชิ้น แล้วอีกชิ้นหนึ่งเก็บไว้ดูเล่นดีคะ” ซีเหมินจินเหลียนหยิบเครื่องตัดแล้ววัดเทียบขนาดกับหินหยกนี้
“หืม…” จ่านป๋ายลากเสียงยาวจากนั้นพูด “ก็ได้ครับ” ในใจบ่นอุบอิบ ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่เขาคิด คำพูดของเธอช่างหลอกใจคนให้คิดไปเองเหลือเกิน
ทั้งสองคนยังคงยุ่งกันไปจนถึงตีสอง จ่านป๋ายเจียระไนหยกสีเลือดออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ข้างในเผยให้เห็นหยกเลือดสีแดงที่ใสบริสุทธิ์ เขาดีใจเป็นอย่างมาก
ส่วนขลุ่ยหยกของซีเหมินจินเหลียนนั้น เป็นเพราะเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยในยุคนี้เลยทำให้การทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น ตอนนี้เริ่มเผยรูปทรงออกมาให้เห็น สิ่งที่เหลือก็แค่งานประณีตแล้ว
เมื่อทำความสะอาดห้องใต้ดิน จ่านป๋ายจึงล็อกประตูกุญแจเป็นอย่างดี ประตูนี้เขาได้เป็นคนออกแบบเอง เขามั่นใจว่าไม่มีใครสามารถมาทุบประตูได้
ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านบน เตรียมตัวเข้านอน คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นมา เมื่อมองนาฬิกาที่แขวนไว้ที่ฝาผนังด้านบน เธอก็ได้แต่ส่ายหน้า เวลานี้แล้วยังมีใครไม่นอนอีก โทรมารบกวนดึกๆ ดื่นๆ?
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เธอก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นหวังหมิงเหยา? ชื่อที่เธอเกือบจะลืมไปแล้ว แต่เขากลับโทรมาหาเธอ?
“ใครครับ จินเหลียน? นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” จ่านป๋ายได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเลยถามออกไป
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบ เพียงแค่กดปุ่มรับสายไป ปลายสายก็มีเสียงที่พักนี้เธอไม่คุ้นเคยดังขึ้น “จินเหลียน…”
“ฉันเอง” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างเย็นชา
“ตกใจใช่ไหมที่ฉันโทรหาเธอ?” หวังหมิงเหยาหัวเราะฝืดฝืน
“ว่ามา คุณมีเรื่องอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ฮะๆ เธอคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ” หวังหมิงเหยาหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ฉันไม่รู้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาสั้นๆ ห้วนๆ กลับไป เธอไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงโทรมาหาเธอ อีกอย่างเธอก็ขี้เกียจจะเดา
“แฟนของเธอหลับแล้วเหรอ ตอนนี้เธอก็ใช้ได้นี่น่า จับคนรวยๆ ได้ อีกทั้งยังขับรถเบนซ์อีก”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาตัดบทอย่างเยือกเย็น เลิกกันไปแล้ว เธอจะไปไหนกับใคร ก็ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย แปลกคนจริงๆ เธอเลยรีบตัดสายไป หมุนตัวเตรียมขึ้นไปด้านบน
แต่ว่าโทรศัพท์ที่วางไปเมื่อครู่นี้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกหมดความอดทนที่จะดู ยังเป็นหวังหมิงเหยาที่โทรมาอยู่นั่น จากนั้นเธอจึงตัดสินใจกดปุ่มรับแล้วรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“เธอกล้าตัดสายฉันเหรอ? เธอไม่กลัวเหรอว่าฉันจะเอาเรื่องของเราสองคนไปพูด แล้วดูสิว่าผู้ชายที่อยู่ข้างเธอคนนั้นจะยังต้องการเธออีกไหม”
“เรื่องระหว่างเราทั้งสองคน มันไม่มีอะไร!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วเตรียมจะกดวางสายอีกครั้ง
“จริงเหรอ?” หวังหมิงเหยาหัวเราะ “เธอบอกว่าไม่มี แล้วจะไม่มีจริงๆ น่ะเหรอ? อย่าทำตัวเป็นนางฟ้าอยู่เลย ความจริงแล้วเธอก็แค่เห็นแก่เงินถึงได้ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง ถ้าฉันไปบอกแฟนของเธอว่าเธอเคยอยู่กินกับฉันมาหนึ่งปี เธอว่า…เขาจะยังอยากได้ของเหลืออยู่อีกไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกไป เธอรู้สึกว่าตัวเองก็ตาบอดจริงๆ ที่เคยหลงผิดไปรักผู้ชายแบบนั้น…
“ซีเหมินจินเหลียน เธอก็มีเงินไม่ใช่เหรอ” หวังหมิงเหยาพูด “ให้ฉันสักห้าแสนสิ รับรองฉันจะไม่พูดอะไรออกไปเลย”
“ชีวิตนี้ฉันก็เคยพบคนหน้าไม่อายนะ แต่ฉันไม่เคยพบเคยเจอคนที่หน้าด้านเท่านายมาก่อนเลย อย่าว่าแต่ห้าแสนเลย แม้แต่ห้าเหมา[2]ก็ไม่เอาให้นาย นายอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างเรียบเฉย แต่ภายในใจของเธอแสนจะเจ็บปวด คิดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะกล้าทำเรื่องขายขี้หน้า คิดจะเอาเรื่องออกมาแบล็คเมล์แบบนี้
เธอนี่ก็ตาบอดจริงๆ ที่เคยหลงรักคนแบบนั้นได้ ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเบาๆ ปิดโทรศัพท์ ตัดคำพูดหยาบคายที่ไม่เข้าหูของหวังหมิงเหยาทิ้งไปจนหมด เธอและเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เขาอยากจะพูดอะไร ก็ปล่อยให้เขาพูดไป
จะว่าไปแล้วทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ได้ใช้ความสวยไปยั่วยวนชายที่ไหนให้มาติดกับ แล้วเธอจะกลัวเขาทำไม?
เหมือนจะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่หวังหมิงเหยาเข้าใจผิด เธอไม่ได้เกาะผู้ชายรวยให้เลี้ยงชีวิตให้หรูหราไปวันๆ
“จินเหลียน ใครโทรมาครับ สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย” จ่านป๋ายถามเธออย่างห่วงใย ความจริงแล้วคุณภาพเสียงของโทรศัพท์เธอค่อนข้างใช้ได้ เขายืนอยู่ข้างๆ ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
“คุณก็รู้ แล้วจะถามทำไมอีก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะเคยรักผู้ชายแบบนั้น”
“นี่ก็ไม่แปลกหรอกครับ ใครกันจะสามารถมองธาตุแท้ของคนคนหนึ่งออกได้อย่างชัดเจน” จ่านป๋ายพูด “บางคนถึงแม้จะอยู่ด้วยกันตลอดทั้งชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจ่านป๋ายแล้วยิ้มขึ้น “นี่ก็ดึกมากแล้ว เสี่ยวป๋าย คุณรีบนอนเถอะ ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน”
“อืม ฝันดีนะครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า เขาตั้งใจอยากจะปลอบเธออีกสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน…
เมื่อเห็นแผ่นหลังของซีเหมินจินเหลียนขึ้นบันไดหายไปแล้ว จ่านป๋ายก็นั่งลงบนโซฟาหนังแท้ในห้องรับแขกก่อนจะครุ่นคิด เรื่องแบบนี้ควรจะให้ฉินเฮ่าเป็นคนจัดการ เพื่อที่ว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วซีเหมินจินเหลียนรู้เข้า ตัวตนของเขาจะได้ไม่ถูกเปิดเผย…
อย่างไรเสียฉินเฮ่าก็ดูเหมือนเป็นคนว่างงานไม่มีอะไรทำ เพื่อกีดกั้นไม่ให้เขามาหาซีเหมินจินเหลียนบ่อยๆ คิดเพียงเท่านี้จ่านป๋ายก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาฉินเฮ่า
เมื่อปลายสายกดรับ น้ำเสียงของฉินเฮ่าสดใสร่าเริงออกมา “ดึกดื่นแบบนี้ไม่หลับไม่นอน โทรหาฉันมีอะไร”
“คุณก็ยังไม่นอนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” จ่านป๋ายถามออกไป
“มีเรื่องอะไร” ฉินเฮ่าถามขึ้นอย่างสงสัย
“จินเหลียนมีเรื่องลำบากนิดหน่อย ผมไม่กล้าลงมือ คุณจัดการให้หน่อยได้ไหม” จ่านป๋ายพูดออกไปตามตรง “แม้ว่าเธอจะไม่สนใจ แต่ผมก็ไม่อยากฟังเรื่องฉาวที่ไม่ดีเกี่ยวกับเธอ”
“ว่ามาเถอะ เรื่องอะไรกัน!” ฉินเฮ่าพูด
“แฟนเก่าของเธอคิดจะแบล็คเมล์เธอ อีกทั้งยังพูดจาหยาบคายใส่ด้วย” จ่านป๋ายขมวดคิ้วแน่น
ฉินเฮ่าจับโทรศัพท์แล้วพูดออกมาว่า “คุณขยายความหน่อย!” เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก แต่ก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามเกิน ไม่เช่นนั้นถ้าซีเหมินจินเหลียนรู้เข้า คงจะเกิดเรื่องเลวร้าย แม้กระทั่งอาจจะทำให้เธอตกใจ
เธอไม่ได้เป็นคนโง่ เรื่องบางเรื่องเธอก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนทำ แต่เขาไม่อยากทำเรื่องที่ผลลัพธ์ออกมาตรงข้าม แล้วย้อนกลับไปแก้ไม่ได้
[1] กู้กง พระราชวังต้องห้ามของจีน
[2] เหมา หน่วยเงินของจีน โดยที่ 10 เหมาเท่ากับ 1 หยวน