ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 240 มาพม่าครั้งแรก
สิ่งที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนทำตัวไม่ถูกก็คือ เพราะงานประมูลใต้ดินเลยทำให้นักธุรกิจหยกหลายพื้นที่รีบมาพม่า ดังนั้นแขกจึงแน่นโรงแรม เจียหยวนฮวาเองก็จองห้องไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่เป็นห้องชุดหนึ่งห้อง และห้องเตียงเดี่ยวหนึ่งห้อง!
เจตนาของเจียหยวนฮวานั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก จ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนก็พักอาศัยอยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์จินเหลียนตั้งนานขนาดนี้ และก็ดูจะไม่ได้ติดขัดอะไร ตอนนี้ถึงจะพักอยู่ห้องเดียวกันก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อีกอย่างห้องเตียงเดี่ยวนั้นเขาก็จะได้ครอบครองคนเดียวแบบไม่ต้องเกรงใจใคร
ซีเหมินจินเหลียนเสนอขอเปลี่ยนห้องกับเขา ให้เขากับจ่านป๋ายนอนห้องชุดด้วยกัน แต่ไม่นานเจียหยวนฮวาก็พูดว่า “พวกคุณก็อยู่ด้วยกันตั้งนาน ยังหลีกเลี่ยงเรื่องนี้อยู่เหรอ?”
ตอนนั้นซีเหมินจินเหลียนหน้าแดงจัด จ่านป๋ายก็จูงเธอเข้าไปในห้อง
“ก็แค่พักอยู่ด้วยกันเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอครับ?” จ่านป๋ายจูงมือเธอเข้าไปในห้องและปิดประตู “ถ้าผมยินยอม ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คุณก็คิดว่าจะหลบได้เหรอ? กลอนประตูของโรงแรมนี้ก็แค่ของสั่วๆ เท่านั้น! ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็แค่นยิ้มออกมา หากไม่มีสายตาคลุมเครือของเจียหยวนฮวา เธอก็เฉยๆ อยู่หรอก แต่ระหว่างทางเจียหยวนฮวาเอาแต่ยิ้มล้อเลียนเธอ เธอที่ยิ่งหน้าบางๆ เมื่อถูกเขาล้อเลียนขนาดนั้นหน้าก็เลยแดงก่ำ
“ครั้งหน้าถ้าเขาแกล้งฉันอีก ฉันจะบอกกับเขาว่าคุณมันไร้น้ำยา!” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าจ่านป๋ายส่งยิ้มตาหยีมองมา
จ่านป๋ายได้แต่ยิ้ม สำหรับเรื่องนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ยังคงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเธอลองถามไปกี่หนต่อกี่หนแล้ว แต่เขาก็ยังคงเงียบ ไมพูดอะไรออกมา…
“เสี่ยวป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาไม่พูดจาเลยถามว่า “ครั้งก่อนที่คุณไปอเมริกา เป็นอย่างไรบ้าง”
“จินเหลียน คุณอยากได้คำตอบแบบไหนครับ” จ่านป๋ายรู้สึกว่าเวลาผู้หญิงยึดติดหรือเชื่อมั่นอะไรขึ้นมา คุณก็ไม่มีทางต่อกรกับเธอได้
“ฉันก็ไม่รู้” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจและโยนกระเป๋าที่อยู่ในมือไปที่โซฟา จากนั้นตัวเธอเองก็ไถลกลมกลืนเข้ากับโซฟาเช่นกัน
“ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ” จ่านป๋ายถาม
“ฉันหวังว่าคุณจะยังไม่หายดี ฉันจะได้มีเหตุผลที่จะมีคุณไว้ข้างกายตลอดชีวิต” ซีเหมินจินเหลียนเอียงคอใช้เวลาตั้งนานถึงเค้นคำพูดออกมา พูดแบบนี้จะดูเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือเปล่า? แต่เธออยากจะครอบครองเขาทั้งชีวิตจริงๆ
แต่ถ้าเขาหายเป็นปกติแล้ว ในอนาคตเขาต้องมีผู้หญิงที่ชอบแน่ จากนั้นก็แต่งงานมีลูกกับเธอ เขาก็คงไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว
“คุณ…” จ่านป๋ายไม่มีอะไรจะพูด ให้ตายเถอะ เธอยอมสละทิ้งหินหยกก้อนหนึ่งมาทุบตีเขาตายยังไม่เป็นไร “คุณอยากให้ผมเป็นคนพิการเหรอ”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดดูจะเกินไป แล้วยิ่งหญิงชายที่ปิดประตูพูดคุยปัญหานี้สองต่อสองมันก็ดูอย่างไรชอบกล
“ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า!” ซีเหมินจินเหลียนเด้งตัวขึ้นจากโซฟา และกำลังมุ่งไปทางห้องน้ำ
จ่านป๋ายจึงรีบเดินมาคว้าตัวเธอไว้จากทางด้านหลัง “คุณให้คำตอบที่ชัดเจนกับผมเถอะ คุณจะเอายังไงกันแน่?”
“ปล่อยฉัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ไม่ปล่อย นอกจากคุณจะบอกผมก่อนว่าคุณคิดจะทำอะไร” จ่านป๋ายกอดเธอไว้แล้วถาม
“ฉันลืมให้สวี่อี้หรานมาจับชีพจรคุณ ไม่อย่างนั้นฉันจะถามคุณไปทำไมกัน?” ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนพูด เธอก็ถือโอกาสใช้มือขวาของเธอสัมผัสไปตามเรือนร่างของจ่านป๋าย ความสามารถของเธอไม่สามารถมองทะลุผ่านร่างกายของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ได้จริง แต่มันก็เพียงพอที่จะทะลุผ่านชั้นเสื้อผ้าที่มาห่อหุ้มความน่าอายที่ไม่มีสิ้นสุดนี้
แต่ไม่รู้ทำไม เธอถึงไม่กล้าใช้ความสามารถมองทะลุผ่าน ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ใจเธอก็รู้สึกไม่ดี
เดิมทีสวี่อี้หรานเตรียมตัวจะมาเที่ยวพม่าเหมือนกัน สุดท้ายก็ถูกสายโทรศัพท์ของพ่อตัวเองเรียกให้กลับไป เลยได้แต่รีบร้อนเก็บกระเป๋าและบอกลาซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋าย มองออกเลยว่าใบหน้าของสวี่อี้หรานนั้นไม่มีความสุข
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากตอนนั้นให้สวี่อี้หรานช่วยจับชีพจรจ่านป๋ายมันก็น่าจะชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าอาการของเขายังไม่ดีก็ยังขอให้หมอมองโกลช่วยรักษาเขาได้
หลังจากที่เห็นสวี่อี้หรานลงมือคราวนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็เชื่อมั่นในตัวเขา เรื่องอื่นไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อ แต่เรื่องเข็มพิษของเขานั้นยอดเยี่ยมที่สุด
จ่านป๋ายไม่พูดอะไรออกมา เขาเข้าใจเธอดี ทำไมเธอถึงได้เป็นคนหัวรั้นแบบนี้นะ? ทั้งๆ ที่เธออยากเป็นเจ้าของเขาขนาดนี้ เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก แล้วทำไมต้องมาสนใจด้วยว่าเขาพิการหรือเปล่า ลองคิดทบทวนไปมาหากตอนนั้นไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นที่คิดจะอยู่ข้างกายเธอเพื่อที่จะชุบตัว นั่นก็คงไม่มีทางแน่
“จ่านป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนเรียกชื่อเขาอย่างจริงจัง “ปล่อยมือฉัน ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ!”
“เฮ้อ…” จ่านป๋ายไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ยอมปล่อยมือและมองซีเหมินจินเหลียนเดินไปทางห้องน้ำ
เรื่องนี้จบลงอีกครั้ง เขาจะทำอย่างไรดี? เมื่อเห็นประตูที่ปิดลง จ่านป๋ายก็นั่งพิงโซฟาอย่างเหม่อลอย หรือจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต?
มีประโยคหนึ่งที่ผู้อาวุโสหูคนนั้นพูดไม่ผิด ซีเหมินจินเหลียนชอบผู้ชายหน้าตาดี แม้เทียบกับผู้ชายคนอื่น เขาก็ถือว่าหล่อเหลาเอาการ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อ แต่…ถ้าเทียบกับจ่านมู่ฮวาและหลินเสวียนหลานแล้ว เขาก็ดูคนละระดับกัน
และสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาไม่รู้เลยว่าในใจของซีเหมินจินเหลียนคิดว่าใครสำคัญที่สุด เธอมีความรู้สึกพิเศษกับหลินเสวียนหลาน แต่ถ้าตนเองหายไปนานๆ เธอก็กระวนกระวายใจ เธอมีความปรารถนาในตัวเองเป็นอย่างมาก เรื่องนี้สำหรับผู้ชายคงเป็นเรื่องอับอายขายขี้หน้า แต่ทุกครั้งที่จ่านป๋ายคิดถึงกลับดีใจ
หากมีสักวันที่เธอไม่ได้สนใจตนเอง ไม่อยากครอบครองอะไร จากนั้นคิดว่าเขาเป็นขยะทิ้งเรี่ยราดจะเป็นอย่างไร? จะเหมือนกับเทพธิดาหนี่วาที่ยอมสละหินหยกก้อนนั้นหรือเปล่า…
จ่านป๋ายคิดได้เท่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเอง ช่วงนี้อยู่กับซีเหมินจินเหลียนตลอดเวลา ทำให้หูตาของเขาได้ยินได้เห็นแต่หยก…แน่นอนเรื่องหินปิดฟ้าของเทพธิดาเลยค่อยๆ ซึมซับเข้าในใจ ตอนนี้อยู่ๆ ก็เอาเรื่องนี้มาเทียบเคียงอย่างไม่รู้ตัว
คิดดูแล้วหินปิดฟ้าก็น่าสงสาร หินที่ผ่านการฝึกฝนมามากมายจนกระทั่งไปซ่อมฟ้าได้ แต่เหลืออยู่แค่ก้อนเดียวที่เทพธิดาเหลือทิ้งไว้?
ประวัติความเป็นมาของหินปิดฟ้าก้อนนั้น มีตำนานมาหลายขนาน ส่วนมากอิจฉาที่เขามีอิสระไม่มีอะไรมาผูกมัด แต่ไม่ได้คิดถึงที่มันไม่เหลือใครถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว
“เสี่ยวป๋าย คุณเหม่ออะไรน่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเช็ดผมที่เปียกชื้นของตัวเองและเดินออกมาจากในห้อง ก่อนจะเห็นจ่านป๋ายกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา “โกรธเหรอ?”
“เปล่า” จ่านป๋ายส่ายหน้าติดๆ กัน “ผมคิดจะอาบน้ำตอนนอนเลยทีเดียวน่ะ เลยนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“คิดอะไรอยู่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนเขยิบเข้าใกล้เขา
“คิดถึงคุณไง” จ่านป๋ายยิ้ม และยื่นมือไปรับผ้าขนหนูในมือเธอ อยากจะช่วยเช็ดผมเธอให้แห้ง ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันทำเองได้ คุณไปสำรวจที่นี่เถอะ จะได้ซื้อของกินกลับมาด้วย เมื่อครู่นี้เจียหยวนฮวาโทรมาหาฉันบอกว่าพวกเขาจะไปกินข้าวกับเพื่อน เลยจะเรียกให้พวกเราไปด้วย…แต่ฉันรู้สึกมึนหัวเลยปฏิเสธไป”
จ่านป๋ายถามอย่างห่วงใย “คุณเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?”
“นั่งเครื่องมาฉันเลยรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก นอนพักก็คงดีขึ้นแล้ว เวลาคุณไปที่ไหนคุณก็ชอบไปสำรวจที่นั่นไม่ใช่เหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “เผื่อเจอของถูกใจจะได้ลงมือไง?”
“ผมไม่ได้เป็นโจรมาหลายปีแล้วนะ” จ่านป๋ายยิ้มและหันตัวเดินออกไป “ถ้าอย่างนั้นคุณก็นอนพักสักหน่อย ผมไปแป็บเดียวเดี๋ยวก็กลับ จริงสิ ตอนกลางคืนคุณอยากไปเดินเล่นตลาดเดิมพันหินแถวนี้ไหม ผมได้ยินเจียหยวนฮวาบอกว่าแถวนี้มีถนนเดิมพันหินด้วย”
“คุณลองไปถามมาก่อนก็ได้ว่าอยู่ที่ไหน” ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิด “ไปคงต้องไปอยู่แล้ว ลองดูตอนกลางคืนอีกที ถ้าไม่มีอะไรพวกเราค่อยไปดู”
รอหลังจากกลับไปครั้งนี้เมื่อถ่ายหนังเรื่องหินปิดฟ้าออกมาแล้ว หากได้กระแสตอบรับดี และธุรกิจทางพม่าเจริญเติบโตขึ้นมาก็คงได้พากันขึ้นราคาเป็นแถว เธอจึงได้แต่ใช้โอกาสนี้ซื้อหินหยกมาเก็บไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นในอนาคตคงได้เสียดายแน่ คนอื่นเสียดายก็ยังสามารถบ่นได้ แต่ถ้าเธอเสียดายแม้แต่ด่าคนยังไม่กล้า เพราะการทำให้หยกเป็นกระแสขึ้นมาและการเผยแพร่วัฒนธรรมหยกนั่นเป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งนั้น
“จินเหลียน ตอนที่ผมไม่อยู่ คุณก็อย่าเที่ยวออกไปไหนนะครับ ทางพม่าไม่เหมือนกับเมืองจีน ของสุ่มสี่สุ่มห้าก็ห้ามกินเด็ดขาด รอให้ผมกลับมาก่อน!” จ่านป๋ายกังวลใจระหว่างที่จะออกจากห้อง
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ความจริงพม่าก็ค่อนข้างไม่เป็นระเบียบ ใกล้กับประเทศเวียดนาม ลาว…สถานที่เล่นพนัน ยาเสพติดที่มีเกลื่อนไปทั่ว อำนาจมืดที่มากดขี่ข่มเหง
หากจ่านป๋ายไม่ได้มาเป็นเพื่อนเธอ ต่อให้เป็นเจียหยวนฮวานำทางมา ซีเหมินจินเหลียนคงไม่กล้ามาคนเดียวอยู่ดี สถานที่แห่งนี้…ดูอย่างไรก็วุ่นวาย
หากเหมืองหยกมาจากหินปิดฟ้าของเทพธิดาหนี่วาจริง เธอก็ไม่เข้าใจเลยทำไมถึงได้เลือกสถานที่แบบนี้มาฝึกหินปิดฟ้า? หากเทพธิดารู้ว่าพม่าในตอนนี้เป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือเปล่า?
บางทีเวลานั้นสถานที่นี้น่าจะเลื่องชื่อลือนาม ทรัพย์สินมั่งคั่ง ไม่เหมือนในตอนนี้ที่ทะเลกลายเป็นทุ่งนา ทุ่งนากลายเป็นทะเลเสียแล้ว
เมื่อเดินไปด้านหน้าหน้าต่าง ซีเหมินจินเหลียนก็เปิดผ้าม่านและมองออกไปด้านนอกที่มีแสงไฟคอยส่องแสงนำทาง
จ่านป๋ายออกไปไม่นานก็กลับมา เขาซื้อของกินเล่นขึ้นชื่อของพม่าและกล้วยติดไม้ติดมือกลับมา เข้ามาในประตูยิ้มทักทาย “จินเหลียน เมื่อสักครู่ผมไปถามแล้ว ถนนเดิมพันหินอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนี้ หากเดินไปก็ใช้เวลาแค่ยี่สิบนาที ในเวลาตอนกลางคืนจะคึกคักมาก! เมื่อสักครู่ผมเจอพวกเจียหยวนฮวาอยู่ด้านล่างด้วย พวกเขานัดกันออกไปกินข้าว จากนั้นจะไปเสี่ยงโชคที่ถนนเดิมพันหินต่อ”
“พวกเรากินข้าวแล้วค่อยไปดูกันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนรับกล้วยหนึ่งลูกมากินและกัดไปหนึ่งคำ ปากเคี้ยวตุ้ยพูดไม่ชัด “งานประมูลใต้ดินอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ศูนย์ประชุมอะไรสักอย่าง ได้ยินว่าใกล้ๆ กับถนนเดิมพันหิน สถานที่ขนาดใหญ่ มีสินค้าเป็นหกพันกว่าชิ้น จัดถึงห้าวัน” จ่านป๋ายยิ้ม “เริ่มวันมะรืนนี้ เวลาเก้าโมงเช้าจนถึงห้าโมงเย็น เวลาเหลือเฟือ พวกเราค่อยๆ ดูได้ตามสบาย”
“แล้วรายละเอียดกฎกติกาล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “เหมือนกับการประมูลหินที่เจียหยางหรือเปล่า”