ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 236 ความคิดชั่วร้าย
“งั้นเหรอ?” จ่านป๋ายยิ้มแหะๆ “ทำไมผมรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ล่ะ? คงไม่ใช่ว่าคุณไม่ใช่คนหรอกนะ?”
“แม่คุณสิไม่ใช่คน!” สวี่อี้หรานได้ยินแล้วก็โกรธจัด ชี้หน้าจ่านป๋ายแล้วสบถด่าออกมา “คุณกล้าพูดอีกรอบไหมล่ะ?”
“ผมไม่ใช่เลี่ยวก่วงนะ คุณขู่ผมไม่ได้ง่ายๆ หรอก!” จ่านป๋ายแค่นเสียงพูดอย่างจริงจัง
“จริงสิ หมอมองโกล…” ซีเหมินจินเหลียนเห็นพวกเขากำลังจะทะเลาะกันอีกรอบ เลยรีบพูดแทรกเปลี่ยนประเด็นขึ้นว่า “ฉันขอถามอะไรคุณหน่อย”
สวี่อี้หรานถลึงตาใส่จ่านป๋าย ก่อนจะแสดงท่าทางว่าผมไม่สนใจคุณหรอก ยิ้มแหะๆ หันไปพูดกับซีเหมินจินเหลียนว่า “จินเหลียน คุณจะถามอะไรเหรอครับ ผมเป็นพวกตรงไปตรงมานะ ถึงเวลาพูดแล้วก็จะพูดหมดเปลือก!”
“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเลี่ยวก่วงจะมาห้องฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนเดินไปถึงหน้าโซฟาและนั่งลง มือกุมหน้าผากถาม
“เฮ้อ ผมก็ไม่รู้จริงๆ!” สวี่อี้หรานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมสาบานเลยก็ได้!”
หากเพิ่งรู้จักสวี่อี้หราน อาจจะถูกหลอกด้วยท่าทางที่จริงจังของเขาได้ แต่ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายรู้ดีว่าเวลาคนคนนี้พูดอะไรก็ไม่มีทางเชื่อถือได้ ไม่อย่างนั้นจะเรียกได้ว่าถูกหลอกแล้วแต่ยังไม่รู้ตัว!
“ช่างเถอะ! คิดว่าฉันไม่เคยถามก็แล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำ อยากจะใช้เหตุผลคุยกับสวี่อี้หรานหรืออยากจะให้เขาพูดความจริงสักอย่างนั่นก็เป็นเรื่องที่ยากเสียกว่า โชคดีที่เมื่อสักครู่เขาไม่ได้เอาแต่เรียกเลี่ยวก่วงว่าคุณลุงตำรวจ ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคนอย่างนี้อย่างไรจริงๆ
“คุณสวี่!” จ่านป๋ายตั้งใจพูดจากระแทกแดกดันเขา “ได้ยินว่าฝีมือแพทย์ของคุณดีเยี่ยมนี่…”
“แน่อยู่แล้ว ผมไม่ใช่หมอมองโกลนี่นา!” สวี่อี้หรานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ยาที่อวิ๋นเจียใช้ คุณปรุงออกมาได้ไหม” จ่านป๋ายถาม
“เสี่ยวป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาถามอย่างนั้น จึงรีบพูดห้ามปราม ดูแล้วจ่านป๋ายยังไม่ปล่อยวาง ตอนที่เด็กหนุ่มเสี่ยวซื่ออยากจะคำนับเธอเป็นอาจารย์ เขาก็แอบกระซิบบอกกับเธอว่าจะใช้เสี่ยวซื่อคนนี้เป็นคนทดลองยา ในเมื่ออวิ๋นอวิ้นรู้สูตรยา เขาก็ไม่เชื่อว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่รู้
“จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่ายาตัวนั้นมีไว้ทำอะไร” สวี่อี้หรานส่ายหน้าพูด “หากรู้สรรพคุณของมัน ขอแค่มีตัวยาหลักและตำรายาอ้างอิง ผมก็ว่าผมน่าจะปรุงยาออกมาได้”
“น่าจะเหรอ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว สิ่งที่เขาอยากฟังคือทำได้แน่นอน
“ยาตัวนี้ชั่วร้าย ไม่มีอะไรก็อย่าไปทำเลย พวกคุณไม่ได้เดิมพันหินหยกสักหน่อย!” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วพูด “ตอนที่ฉันยังเด็กได้ยินคุณย่ากับลุงงูเคยพูดถึงเรื่องนี้ ยาตัวนั้นช่วยให้เบิกเนตรเวลาเดิมพันหิน ยาตัวหลักคือพิษงู!”
จ่านป๋ายได้ยินแล้วก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “แต่ได้ยินว่างูสายตาสั้นไม่ใช่เหรอ? พวกมันเห็นแค่สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ส่วนสิ่งที่ไม่เคลื่อนไหวพวกมันมองไม่เห็น สัตว์แบบนี้…” ในระหว่างที่พูดเขาก็ส่ายศีรษะ บนโลกที่กว้างใหญ่ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ไหนไม่เกิดขึ้น เขารู้แค่ผิวเผินจริงๆ
หลังจากที่สวี่อี้หรานได้ยิน เขาก็เงียบไม่พูดไม่จา ก้มหน้าก้มตาคิดอยู่นานถึงถามขึ้น “ตาที่สามของสัตว์?”
ซีเหมินจินเหลียนปัดมืออย่างหมดอารมณ์ “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉันไม่รู้เรื่องหรอก!”
“อะไรที่เรียกว่าตาที่สาม?” จ่านป๋ายถามแปลกใจ “หรือว่าจะมีการเบิกเนตรอย่างที่ว่ากันจริง?”
“ได้ยินว่าสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดมีตาที่สาม!” ครั้งนี้สวี่อี้หรานไม่ได้หัวเราะจ่านป๋าย แต่กลับอธิบายอย่างตั้งใจให้เขาฟัง
“ตาที่สามมีประโยชน์ยังไง?” จ่านป๋ายสนอกสนใจ
“สัมผัสพื้นผิวและความมืดสว่างของบางสิ่งได้ แต่แยกสีไม่ออก” สวี่อี้หรานอธิบาย
“โอ้?” จ่านป๋ายได้ยินแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” เขารีบหันไปมองซีเหมินจินเหลียนทันที และรีบนั่งลงข้างๆ สวี่อี้หรานถามเขาว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ การเดิมพันหยกเลยไม่ได้เดิมพันสี แยกสีออกไม่ชัดแล้วจะเดิมพันอะไร? ยาที่พวกเขากินเบิกเนตรนั้นก็เพื่อแยกแยะคุณสมบัติของหยก แต่ดูสีไม่ได้ใช่ไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยิ้นแล้วฝืนยิ้มออกมา “เมื่อกี้ตอนที่อยู่โกดังของเหล่าหลี่ ฉันเคยบอกกับคุณแล้วว่าสีของหินหยกสามารถดูได้จากลักษณะของผิวหินที่ปรากฏให้เห็น บางทีสีของหินหยกบางชนิดไม่ต้องเปิดช่องหน้าต่างก็สามารถเห็นสีทะลุผ่านผิวหินออกมา ใช้ไฟฉายกับแว่นขยายมาดูก็เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว มีสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน ขอแค่แยกแยะว่าหินหยกมีพื้นผิวยังไง ราบลื่นชุ่มชื้นพอหรือเปล่า ชนิดเป็นอย่างไรก็รับรองว่าไม่มีทางแพ้แล้ว”
สวี่อี้หรานพยักหน้าพูด “สิ่งที่สำคัญของหยกก็คือพื้นผิวเป็นอย่างไร น้ำงามเปล่งปลั่งหรือเปล่า ความโปร่งใสสูงไหม นอกจากนี้เนียนลื่นแวววาวแค่ไหน เรื่องพวกนี้อาศัยการสำรวจมองดูก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้นหากแยกแยะได้ว่าเนื้อหยกข้างในเป็นอย่างไรจริงๆ การเดิมพันหินก็ไม่มีทางแพ้และไม่มีโอกาสแพ้ด้วยซ้ำ”
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงโซฟา ดูจากการแสดงออกของอวิ๋นเจียเมื่อสักครู่ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็ไม่แปลกที่เธอเลือกผิวสีเทาขาวก้อนนั้น เพราะหินหยกก้อนนั้นเมื่อมองผ่านผิวหินก็สามารถเห็นสีเขียวสดที่อยู่ข้างในได้ แต่ผิวสีดำอีกาไม่มีทางรู้สีของมันได้เลย
นอกเสียจากอาศัยพลังมองทะลุผ่านของเธอเข้าไปดู ไม่อย่างนั้นก่อนที่ยังไม่ได้เจียรหิน ใครจะไปรู้ว่าหินก้อนนั้นเป็นเนื้อแก้วสีน้ำเงินเปล่งประกาย?
สุดท้ายอวิ๋นเจียถึงได้ยอมละทิ้งก้อนสีเทาขาวไป น่าจะเป็นเพราะว่าเธอคงรู้สึกได้ว่าความจริงหินหยกก้อนนั้นมีหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดใกล้ๆ กับผิวหินแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น? ส่วนข้างในมีแค่หิน?
คิดถึงหินหยกก้อนนี้ ซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มออกมาเบาๆ ตอนแรกเธอก็รู้สึกเสียดายที่มันเป็นสีเขียวติดเปลือก แม้ว่าสีเขียวติดเปลือกนี้จะดีกว่าสีเขียวติดเปลือกอื่นๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นชั้นบางๆ มันมีมูลค่าพอสมควร แต่ข้างในที่มีแค่หินสีขาวนี่สิ ที่ดูไม่ได้เลย
เมื่อคิดย้อนกลับไป ขอแค่นำหินสีขาวขุดออกมา หยกที่เหลือก็นำไปทำเป็นเครื่องปั้นดินเผาขนาดใหญ่ ราคาคงประเมินค่าไม่ได้แล้ว เพราะใหญ่ขนาดนี้…ถ้าเธอไม่พูดใครจะไปรู้ว่าของแบบนี้ข้างในจะเป็นหิน แทนที่จะเป็นเนื้อแก้วกลวงสีเขียวสด
บวกกับรูปทรงที่ดูดีเป็นทุนเดิมของหินหยกก้อนนั้น กลับไปลงงานฝีมือสักหน่อย คงต้องโดดเด่นมากแน่ๆ ถือว่าเธอเก็บสมบัติมาแล้ว
แต่หากอวิ๋นเจียสัมผัสได้ถึงเนื้อหินหยก ทำไมต้องยอมทิ้งผิวสีดำอีกาก้อนนั้นด้วย? หินหยกก้อนนั้นแม้มองผิวด้วยตาเปล่า ถึงจะมองสีข้างในไม่ออกก็เถอะ แต่เนื้อของมันดีกว่าธรรมดาเยอะเลย
บางทีเธออาจจะแยกสีไม่ออก เลยไม่กล้าซื้อ? ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้วก็ยังจับประเด็นไม่ได้ ได้แต่ยิ้มฝืนออกมา
เมื่อคิดถึงท่าทางเมื่อสักครู่ของเลี่ยวก่วง คนคนนี้ก็หยิ่งยโสโอหัง ต้องมีคนคอยสนับสนุนอยู่แน่ ถึงตั้งแต่อดีตจะมีคำพูดว่าประชาชนไม่ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ แต่ถึงอย่างไรแม้อยากจะต่อสู้แต่ก็ต้องพึ่งพาพวกเจ้าหน้าที่อยู่ดี ซีเหมินจินเหลียนเองก็เริ่มจับคางครุ่นคิดถึงแนวทางการรับมือแล้ว…นี่เธอต้องทำอย่างไร?
สวี่อี้หรานเองก็กำลังคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ใช้พิษงูปรุงยาอย่างไร หาใครมาทดลองถึงจะดีล่ะ จ่านป๋ายเห็นพวกเขาไม่พูดจา ตอนนั้นก็เลยลุกขึ้นรีบเก็บกวาดห้อง
เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนถูกรื้อค้นกระเป๋าจนมีสภาพเละเทะแล้ว ในใจของจ่านป๋ายก็รู้สึกดึงดันขึ้นมา ผ่านไปไม่นานก็ถูกคนรังแกหมายหัวแล้วเหรอ? คนคนนี้…ก็จะรังแกคนอื่นเกินไปแล้ว
“จินเหลียน นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณควรนอนได้แล้วครับ” จ่านป๋ายมองไปยังซีเหมินจินเหลียนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างมึนงง
“อ้อ…” ซีเหมินจินเหลียนสติเลอะเลือนเล็กน้อย
“พรุ่งนี้ยังต้องเตรียมตัวไปพม่าอีก คุณรีบนอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมจะไปจัดการขนส่งหินหยกก้อนนั้น” จ่านป๋ายพูดจบก็เรียกสวี่อี้หรานให้ออกไปพร้อมกัน เขานั่งอยู่ที่นี่แล้วซีเหมินจินเหลียนจะนอนอย่างไร?
สวี่อี้หรานลุกขึ้นยืนและบอกลากับซีเหมินจินเหลียน แล้วทั้งคู่ก็เดินออกนอกประตูไป…
“เสียงอะไรน่ะ?” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“หา…” สวี่อี้หรานได้ยินแล้วเงี่ยหูลองฟัง ไม่นานก็พูดขึ้น “ยังไงก็นอนไม่หลับอยู่ดี ไปดูกันไหม?”
ระหว่างที่พูด เขาก็เดินพรวดพราดไปยังหน้าลิฟต์แล้ว จ่านป๋ายสงสัยรีบเดินตามไปเหมือนกัน แต่ทั้งสองเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เจอกับผู้หญิงที่มีสีหน้าหวาดกลัวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว จนเธอวิ่งชนร่างของสวี่อี้หรานเข้าอย่างจัง
“นี่คุณเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยเหรอไง!” สวี่อี้หรานพูดกับผู้หญิงคนนั้น นิสัยของเขาไม่เคยอ่อนโยนหรือมีมารยาทกับใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถูกผู้หญิงเกลียดขี้หน้าหรอก
“มีคนตาย…อยู่ในลิฟต์…มีคนตาย…” ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สนใจสวี่อี้หราน ได้แต่จับเขาไว้แล้วพูดติดๆ ขัดๆ อย่างรีบร้อน
“อะไรนะ?” สวี่อี้หรานกับจ่านป๋ายตกตะลึง โรงแรมนี่เปิดมาเพื่อฆ่าหรือปล้นผู้มาพักเหรอไง ทำไมในลิฟต์ถึงมีคนตายได้?
“คุณหนิง?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว “ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็คือหนิงชุ่ยฉิน
“ฉัน…ฉันมาหาพวกคุณ…” หนิงชุ่ยฉินเห็นจ่านป๋าย อารมณ์ที่วิตกหวาดกลัวสงบนิ่งลงบ้าง แต่ยังพูดเสียงสั่นเครือว่า “ในลิฟต์นั่น…”
“ไม่เป็นไร…คุณพาพวกเราไปดูเถอะ อาจจะเป็นคนแก่โรคหัวใจกำเริบ…” สวี่อี้หรานพูดแล้วยิ้มขึ้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหนิงชุ่ยฉินก็ไม่กล้าพาพวกเขาไป จ่านป๋ายหมดปัญญาทำได้แค่เดินไปพร้อมกับสวี่อี้หราน ส่วนหนิงชุ่ยฉินด้วยความที่ไม่กล้าอยู่คนเดียวจึงรีบเดินตามไป
สิ่งที่บังเอิญก็คือเวลานี้ ลิฟต์ทั้งสองในนั้นมีตัวหนึ่งที่ดิ่งลงไป
“อีกตัวงั้นเหรอ?” สวี่อี้หรานมองทางสวี่อี้หรานพร้อมเอ่ยถาม
“อืม!” หนิงชุ่ยฉินสีหน้าซีดเซียว พยักหน้าอย่างหวาดผวา “เมื่อสักครู่ตอนที่ฉันขึ้นลิฟต์มา ก็เห็นมีคนหนึ่งยืนพิงผนังลิฟต์เสียจนชิด แต่ก็ไม่ได้สนใจ รอจนขึ้นมา…ลิฟต์เพิ่งจะหยุดลง เมื่อประตูเปิดออก เขาก็ล้มพับลงไปเลย…ฉันตกใจจนจะตายแล้ว!”
“ลงไปดูเถอะ!” สวี่อี้หรานพูดประโยคนี้พร้อมกดลิฟต์ เรียกจ่านป๋ายไปด้วยกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรหนิงชุ่นฉินก็ไม่กล้าอยู่คนเดียวจึงรีบตามพวกเขาลงไปด้านล่าง…ที่ห้องโถงของโรงแรมมีเสียงดังจอแจขึ้น
จ่านป๋ายเห็นเจียหยวนฮวา ฉินเฮ่า อวิ๋นเจียและคนอื่นๆ อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น อีกทั้งในนั้นยังมีนักธุรกิจหยกอีกหลายคนที่เคยพบหน้ากันที่โกดังของเหล่าหลี่ ตอนนี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน…พนักงานของโรงแรม ผู้จัดการโรงแรมอีกหลายคนก็อยู่ที่นั่นด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?” สวี่อี้หรานแหวกกลุ่มคนเดินเข้าไป