ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 219 ไฟไหม้
จ่านป๋ายได้ยินแล้วรีบนั่งลงอีกรอบ การได้ยินมันก็อีกเรื่อง แต่ถ้าได้เห็นกับตามันก็คนละเรื่องเลย ดีที่ไม่ใช่ เพราะหากใช่ขึ้นมาตอนนี้เขาอยากจะรีบกลับไปเมืองเซี่ยงไฮ้และเจียระไนหินนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ดูสิว่าหินปิดฟ้านั่นจะลักษณะเป็นอย่างไร
“คุณจะตื่นเต้นไปทำไม” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ “ทุกครั้งเห็นหัวเราะฉัน พอมาเวลานี้คุณกลับตื่นเต้นเนี่ยนะ?”
จ่านป๋ายยิ้มเจ้าเล่ห์พูด “นี่เป็นของในตำนาน คนที่บอกว่าไม่สนใจ คนคนนั้นก็โกหกแล้วละครับ”
“เอาเถอะ ตอนนี้ก็ถือว่ามีเบาะแสแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงโซฟาเหมือนแมวที่เกียจคร้านแล้วพูดขึ้นว่า “รอให้พวกเราไปพม่าแล้วค่อยไปตามหา หากโชคดีก็จะได้เจอแสงสีรุ้ง ถ้าอย่างนั้นความเป็นไปได้ที่จะเจอหินปิดฟ้าก็สูงขึ้น”
“ครับ” จ่านป๋ายพยักหน้าพูด “จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าการที่ได้ติดตามคุณก็เหมือนโชคล่นทับจริงๆ หยกชั้นดีที่พบเจอได้ยากในชีวิตประจำวัน ผมก็มีโอกาสสัมผัสเล่นได้ตามใจชอบ”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันเองก็เริ่มง่วง ไม่คุยแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปหาลุงงูแล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น
จ่านป๋ายพยักหน้าหงึกหงักและโผตัวกระซิบข้างหูของซีเหมินจินเหลียนประโยคหนึ่ง ซีเหมินจินเหลียนง้างฝ่ามือจะสะบัดใส่ใบหน้าของเขา จ่านป๋ายเตรียมตัวเตรียมใจมาไว้ก่อนแล้วจึงรีบหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม “ผมรู้ว่าคุณต้องโกรธ”
“คุณลองพูดออกมาอีกรอบสิ ฉันได้ชกคุณแน่!” ซีเหมินจินเหลียนด่าว่าแต่อยู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “อย่าเหลวไหล”
จ่านป๋ายยิ้มร่าลุกขึ้นยืนเดินไปทางหน้าประตู อดไม่ได้ที่จะหันตัวกลับมาหลังจากเปิดประตูพูดว่า “ผมก็แค่ต้องการ…”
“คุณยังจะกล้าพูดอีกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนก่นด่า
“ไม่พูด…” จ่านป๋ายรีบตอบโต้กลับ จากนั้นปิดประตูห้องและวิ่งแล่นหนีไป ถ้าแกล้งเธออีกล่ะก็ ผู้หญิงหน้าบางแบบเธอ อาจจะชกเขาจริงๆ ก็ได้ เธอยิ่งมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรงอยู่
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเงาด้านหลังของเขาหายไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไป ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์โทรไปยังเบอร์หนึ่ง
“ให้ตายเถอะ!” เพิ่งต่อสายโทรศัพท์ได้ ปลายสายก็มีเสียงฉุนเฉียวของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น “ใคร นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว? ไม่รู้หรือไงว่าคนกำลังมือตก”
“ไม่ใช่ว่าพี่เป็นตำนานเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนหมดอารมณ์จะพูด
“จินเหลียน…” ปลายสายจินอ้ายกั๋วนิ่งไปอยู่นาน อารมณ์หงุดหงิดเมื่อสักครู่พลันหายไปอย่างรวดเร็ว
“แพ้ไปเท่าไหร่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ไม่เท่าไหร่หรอก ประมาณแสนสองแสน…เอ่อ สองสามแสนน่ะ…” จินอ้ายกั๋วกัดฟันพูดอย่างสั่นไหว พระโพธิสัตว์โปรดช่วยคุ้มครองลูกด้วย ทำไมเวลาคนอื่นเล่นพนันยังมีโอกาสที่จะชนะ แต่เขาแพ้ตลอดเลยเล่า?
“ครั้งก่อนที่ขอร้องให้พี่ช่วยสืบเรื่องบางอย่าง เป็นยังไงบ้างคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
ปลายสายเงียบไปอยู่นาน จินอ้ายกั๋วจึงพูดว่า “จินเหลียน เธออยู่ที่ไหน”
“เจียหยางค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” จินอ้ายกั๋วถาม
“คงจะอีกสักพักเลย” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว
“สถานการณ์ของเขาค่อนข้างซับซ้อนน่ะ พี่เคยให้คนที่อเมริกาหาข้อมูลของเขาแล้ว แต่…คุยในโทรศัพท์มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ และไม่รู้จะพูดยังไงดี รอเธอกลับมาที่เซี่ยงไฮ้ก่อน พวกเราค่อยว่ากันเถอะ อีกอย่างฉันว่าปัญหาไม่ได้เป็นเพราะเขา…” จินอ้ายกั๋วพูดอ้ำๆ อึ้งๆ
“หา?” ซีเหมินจินเหลียนด้วยความแคลงใจ “พี่ว่าอะไรนะ”
“เขาบาดเจ็บถึงขนาดนั้น เสียเลือดไปมาก เธอก็รู้นี่ อีกอย่างตอนนั้นพวกเราก็พยายามยื้อชีวิตเขาทุกวิธีทาง โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีจึงใช้เลือดของพวกเธอให้เขาไป หลังจากนั้นพี่ก็คิดว่าเลือดพวกนั้นคงมีปัญหาอะไรบางอย่าง” จินอ้ายกั๋วเสียงหลุบต่ำ “คนที่บริจาคเลือดให้เขาในตอนนั้น พี่ตรวจเช็คอย่างดีแล้วว่าเลือดไม่มีปัญหาแน่ ไม่มีอะไรที่น่าจะผิดปกติ ตอนนี้เหลือแต่เธอคนเดียว”
นิ้วมือของซีเหมินจินเหลียนจับโทรศัพท์ไว้แน่นเกร็งและถามขึ้น “เลือดมีปัญหายังไงคะ?”
“พวกเธอคนใดคนหนึ่งต้องมีเลือดของใครสักคนที่มีหน้าที่บูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นเขาคงตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ส่วนเรื่องอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย” จินอ้ายกั๋วพูดยืนยัน
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“ตัวเขาเองก็เริ่มสงสัย เลยเคยไปตรวจที่อเมริกา ฉันใช้เส้นสายถึงได้ข้อมูลของเขามา แต่มันขึ้นว่าปกติ” จินอ้ายกั๋วพูด “ทางฉันคนที่เหลือนี่ก็ปกติ คนเดียวที่เป็นไปได้ก็คือเธอ!”
“รอฉันกลับไปแล้วค่อยว่ากันเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบตัดสาย สิ่งที่เธออยากรู้ก็คือจ่านป๋ายมีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ไม่ใช่ให้หมอมองโกลอย่างพวกเขาโฟกัสผิดที่ว่าเธอปกติหรือเปล่า…พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอก็อยากจะด่าพวกเขาเหลือเกิน เธอจะปกติหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย?
เธอรู้ตัวเองดี ตอนนี้เธอคงจัดอยู่ในประเภทที่ไม่ปกติ…เพราะไม่มีคนปกติคนไหนที่มีความสามารถมองทะลุผ่านได้
เธอไม่พูดอะไรอยู่นาน เช้าวันที่สองซีเหมินจินเหลียนโทรไปหาสวี่อี้หราน หมอมองโกลคนนั้นยินดียกใหญ่เมื่อได้ยินว่ามีโรคที่รักษาไม่หาย จึงรีบตบปากรับคำว่าจะมาที่นี่ไม่ช้ากว่าพรุ่งนี้เช้า
ฟ้ามืดลง ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายไปหาลุงงูอีกครั้ง ชายชราทักทายพวกเขาและหาคนมาช่วยขนย้ายพร้อมจ้างรถมาคันหนึ่ง เพราะหินหยกดิบพวกนี้มีเยอะ จ่านป๋ายจำต้องไปบริษัทขนย้ายของอีกครั้ง
ซีเหมินจินเหลียนไม่ยอมกลับโรงแรม แต่เข้าไปในห้องทิศตะวันออกพูดคุยกับลุงงูพลางรอเวลาที่จ่านป๋าย กลับมา
เมื่อลุงงูเห็นซีเหมินจินเหลียน แน่นอนว่าย่อมดีใจที่สุด ทั้งคู่พูดคุยกันถึงเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ตอนนี้…ลุงงูกำชับซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง ว่าถ้าหากอยากจะตามหาหินปิดฟ้า ต้องหาแสงสีรุ้งให้เจอก่อน
ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา แสงสีรุ้งหรือ? เธอจะไปหาที่ไหนกัน หยกเจ็ดสีชนิดเนื้อแก้วก็เป็นของในตำนานไปแล้ว แล้วนี่แหล่งกำเนิดแสงสีรุ้งอีก?
สำหรับเรื่องนี้ แน่นอนว่าต้องทำสุดความสามารถ ฟังชะตาของฟ้าที่ลิขิตไว้ ไม่ว่าใครก็ฝืนชะตาไม่ได้
รอจนกระทั่งจ่านป๋ายกลับมาแล้วก็ได้เวลาบอกลาลุงงูกับพ่อค้าวัยชรา ตอนที่ลุงงูได้ยินซีเหมินจินเหลียนบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาหมอจีนฝีมือดีมาช่วยดูอาการ โรคร้ายที่ไม่มีหนทางรักษาและลุงงูซึ่งกำลังจะตาย กลับมีแสงสว่างจ้าในดวงตาที่มืดมนของเขา
จนกระทั่งจ่านป๋ายเกิดภาพลวงตาประหลาดขึ้น ในใจของลุงงูเหมือนไม่ได้อยากจะเจอหมอเท่าไหร่นี่นา
เพียงแต่ข้อเสนอนี้ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนพูดออกมาเอง ลุงงูตอนนั้นก็ยิ้มและพูดเห็นดีเห็นงามด้วย จ่านป๋ายเลยคิดว่าตัวเองคงสงสัยมากเกินไป ไม่มีคนป่วยคนไหนที่ไม่หวังจะให้อาการตัวเองฟื้นตัวดีขึ้น นอกเสียจากคนป่วยคนนั้นจะมีอาการทางจิต
เช้ามืดเวลาตีสี่ของวันถัดมา สวี่อี้หรานก็ขมีขมันมาถึงที่เจียหยาง เมื่อเห็นสีหน้าเดิมทีที่ซีดเซียวอยู่แล้วของเขายิ่งซีดลงกว่าเก่า ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกผิด จ่านป๋ายเช่ารถมาคันหนึ่งเพื่อขับรถจากสนามบินไปยังบ้านพักของลุงงู แต่ก่อนจะถึงบ้านลุงงู ท้องฟ้าก็พลันสว่างขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“แปลกจริง…” จ่านป๋ายขับรถและพูดพึมพำ “จินเหลียน ทำไมที่นี่ถึงมีรถตำรวจเยอะขนาดนี้ล่ะ หรือว่าที่เจียหยางเกิดคดีฆาตกรรมอะไรขึ้น?”
ซีเหมินจินเหลียนเห็นบนถนนมีรถตำรวจหลายคันจอดอยู่ ในใจก็รู้สึกแปลกๆ เพราะมีปัญหาทางจราจร ทั้งสามคนจึงลงรถและรีบวิ่งไปทางที่พักของลุงงู
“จินเหลียน เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นกับลุงงู” จ่านป๋ายรู้สึกไม่ชอบมาพากล ข้างหน้าไม่ไกลกันนี้น่าจะเป็นบ้านพักลุงงูกับพ่อค้าชรา ตอนนี้ถูกตำรวจล้อมรอบไว้หมดแล้ว
ไม่ไกลกันนั้นก็ได้กลิ่นเหม็นประหลาดโชยออกมา เมื่อแหงนหน้าขึ้นดูก็เห็นแค่ควันขโมงโฉงเฉง และเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้น สถานที่นั่นเป็นบ้านพักที่ลุงงูเช่าอาศัยอยู่
“ไฟไฟม้?” สวี่อี้หรานรีบพูด “จินเหลียน เพื่อนของคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ในขณะพูดนั้น ทั้งสามคนก็เดินมาถึงบ้านพักของลุงงูแล้ว ซีเหมินจินเหลียนที่เห็นไฟไหม้บ้านก็รีบวิ่งกรูเข้าไปในบ้าน บรรดาตำรวจที่สวมใส่เครื่องแบบอยู่นั้นก็เริ่มร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ
“จินเหลียน คุณอย่าพึ่งร้อนใจไปนะ เดี๋ยวผมเข้าไปสอบถามให้” จ่านป๋ายพูดปลอบ “บางทีอาจจะพบทัน ลุงงูคงไม่เป็นอะไร”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ลุงงูพบเจอแสงไม่ได้ แม้ว่าไฟจะไม่ลุกลามครอกร่าง แต่เปลวไฟที่ชุกโชนนี้ก็คร่าชีวิตเขาได้เหมือนกัน
สวี่อี้หรานเห็นซีเหมินจินเหลียนกระวนกระวายใจจึงรีบพูดขึ้น “คุณรีบเข้าไปถามเถอะ”
จ่านป๋ายมองเขาอยู่แวบหนึ่ง แต่เห็นว่าเขาอยู่ข้างกายซีเหมินจินเหลียนก็พอจะวางใจได้ รีบก้าวเดินเข้าไป แต่สิบนาทีผ่านไปจ่านป๋ายออกมาพร้อมตำรวจข้างกายอีกสองคน
ซีเหมินจินเหลียนเห็นตำรวจคนหนึ่งในนั้นชัดเจน ได้แต่สับสน “คุณเลี่ยว คุณอยู่ที่เจียหยางได้ยังไง?”
“สวัสดีครับลุงตำรวจ” สวี่อี้หรานตลกยิ่งกว่า ปากไปเรียกเขาว่าลุงตำรวจ เลี่ยวก่วงสีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดแปลกแต่อย่างใด แต่คนข้างๆ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คุณซีเหมิน คุณรู้จักผู้อยู่อาศัยที่นี่อย่างนั้นเหรอ” เลี่ยวก่วงขมวดคิ้วถาม
“ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพร้อมพูดขึ้น “ฉันมาซื้อหินหยกที่เจียหยาง และบังเอิญที่ผู้อาศัยที่นี่ต้องการขายสินค้าพอดี เลยมาดูสินค้าที่บ้านพวกเขา เมื่อวานพวกเราเพิ่งจะขนสินค้าไป…”
“มีหลักฐานขั้นตอนการซื้อขายไหม?” เลี่ยวก่วงถาม
“ฮะๆ…” ตำรวจข้างๆ ที่อายุราวยี่สิบต้นๆ หัวเราะออกมา
“คุณหัวเราะอะไร” เลี่ยวก่วงพูดอย่างไม่พอใจ
“เจ้าหน้าที่เลี่ยวก่วงคงไม่เข้าใจธุรกิจค้าขายหินหยกดิบในเจียหยางของพวกเราสินะครับ?” ตำรวจผู้น้อยยิ้ม “ธุรกิจของพวกเรา ปกติคือทำธุรกรรมการเงิน จะมีขั้นตอนอะไรกัน? โอเค อาจจะยังมีเขียนเช็ค เพราะกลัวจะยุ่งยาก ส่วนพกเงินสดมารับสินค้าก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป”
เลี่ยวก่วงมีสีหน้ากระดากอายที่ตนเองไม่รู้เรื่องอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ตำรวจผู้น้อยนั่นถึงได้พูดขึ้นต่อว่า “คุณซีเหมิน ช่วยเล่าสถานการณ์อย่างละเอียดให้ผมฟังได้ไหมครับ เพื่อสะดวกในการบันทึกรูปคดี?”
“สถานการณ์เป็นอย่างนี้ครับ” จ่านป๋ายรีบพูด “กลางดึกของสามวันก่อนพวกเราไปรู้จักกับพ่อค้าวัยชราที่ถนนหยกโบราณ เรื่องนี้คุณลองไปสอบถามก็ยืนยันได้แล้ว จากนั้นพ่อค้าวัยชราคนนั้นนัดให้พวกเรามาดูสินค้าที่บ้าน นี่เป็นเรื่องเมื่อวานซืน พวกเราเห็นสินค้าแล้วถูกใจจึงตัดสินใจที่จะซื้อ เมื่อวานตอนกลางคืนจึงมารับสินค้าไป จากนั้นผมก็เอาไปส่งที่บริษัทขนย้ายของ แฟนผมคุยกับพวกเขานิดหน่อยจนได้รู้ว่าพวกเขามีคนป่วยอาการหนักอยู่ และพอดีว่าวันนี้หมอสวี่ท่านนี้ก็มาที่นี่พอดี ด้วยความห่วงใย แฟนของผมเลยขอให้คุณหมอสวี่ท่านนี้มาช่วยดูอาการเขาน่ะครับ”