พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 651 ประลองยุทธ์เลือกคู่
หมู่เกาะมีขนาดใหญ่มาก และคึกคักเกินคาด มีผู้บำเพ็ญเพียรควบคุมพาหนะเหินหาวหลากหลายรูปแบบ เหาะมาลงที่เกาะเป็นระยะ
และการปรากฏตัวของกลุ่มเยี่ยเทียนหยวน ก็ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คน
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แปลงกาย ขอเพียงไม่ใช้พลังปีศาจ ใช่ว่ามองปราดเดียวจะมองออก ในสายตาผู้คน ในกลุ่มมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่ท่าน กับอีกาอ้วนๆ หนึ่งตัวปรากฏขึ้น
ส่วนมั่วชิงเฉินกับเจ้าปีศาจลั่วเฟิง ถูกกลุ่มคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาอยู่ตรงกลาง และร่ายคาถาบังตาไว้ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต คนอื่นๆ ล้วนมองไม่เห็น
จริงๆ แล้ว อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเลย แค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันสี่คน และสองในนั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ก็ทำให้ผู้คนตื่นตกใจไม่น้อยแล้ว
กลุ่มคนเพิ่งเหาะถึงพื้น ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหนึ่งท่านรีบร้อนก้าวเข้ามา ประสานมือให้กลุ่มคน
“สหายทั้งสี่ท่าน มาร่วมงานประลองยุทธ์เลือกคู่หรือ เชิญไปรวมตัวกันที่จวนเจ้าเมือง”
พอได้ยินคำว่า ‘ประลองยุทธ์เลือกคู่’ เยี่ยเทียนหยวน หลัวอวี้เฉิง ยังมีหมาป่าน้อยกับเขาน้อยที่อยู่ในรูปลักษณ์เด็กหนุ่มล้วนตะลึงงัน ส่วนอีกาไฟที่นั่งอยู่บนศีรษะของหมาป่าน้อยก็ยิ่งเหลือบตาขึ้น
“สหายเข้าใจผิดแล้ว พวกเรามาในครั้งนี้ อยากมาเยี่ยมเยียนท่านเจ้าหุบเขาไป่กั่วสักหน่อย” เยี่ยเทียนหยวนตอบ
ผู้บำเพ็ญเพียรทำทีเป็นว่า เช่นนี้นี่เอง แต่ในใจคิดว่าสี่ท่านนี้ขี้อายจริงๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังต้องใช้ข้ออ้างนี้ปกปิดอีก
ทว่าก็ยังไม่เปิดโปง ยิ้มพลางว่า “เจ้าเมืองเรา คือศิษย์เอกของท่านเจ้าหุบเขาไป่กั่ว ถ้าอยากเข้าเยี่ยมเยียนท่านเจ้าหุบเขา ทั้งสี่ท่านยังคงต้องไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน”
ว่าพลางผายมือ ทำทีเป็นเชื้อเชิญ
แต่พอเห็นพาหนะเหินหาวรูปใบไม้ที่ตามอยู่ด้านหลังเยี่ยเทียนหยวน ผู้บำเพ็ญเพียรก็อดถามไม่ได้ “สหาย คนในเมืองมากมาย ยังคงเก็บพาหนะเหินหาวขึ้นจะสะดวกกว่า”
เยี่ยเทียนหยวนแสดงสีหน้าอ่อนโยนสุดๆ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “โทษทีนะ ถ้าพาหนะเหินหาวไม่ตามอยู่ข้างกายข้า ข้านอนไม่หลับน่ะ”
หลัวอวี้เฉิงยกมุมปากขึ้น แล้วหันไปอีกทาง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนอีกาไฟกลับสำลักน้ำลายตัวเอง ไอแรงๆ ออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยท่าทีแปลกๆ ในใจคิด งานอดิเรกของคนผู้นี้เฉพาะตัวมาก ศิษย์น้องเคยบอกว่า ผู้ที่มีงานอดิเรกแปลกๆ มักมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
ช่างเถิด แม้บอกว่าคนผู้นี้บำเพ็ญเพียรได้อย่างลึกล้ำ และเป็นบุรุษหล่อเหลาที่ไม่ค่อยมีให้เห็น แต่ถ้ามีพฤติกรรมเบี่ยงเบน จะให้ทำร้ายองค์หญิงน้อยไม่ได้ กลับไปยังคงต้องแอบเตือนท่านเจ้าเมืองสักหน่อย
พอผู้บำเพ็ญเพียรมีอคติ ตลอดทางก็เย็นชากับเยี่ยเทียนหยวนมากขึ้น ส่วนหมาป่าน้อยกับเขาน้อยก็ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่รับพิจารณา จึงตีสนิทกับหลัวอวี้เฉิงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
หลัวอวี้เฉิงเป็นใคร นั่นเป็นปีศาจร้ายที่มักมีแผนในใจเชียว ยังไม่ทันไรก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงค้อนให้เยี่ยเทียนหยวนเงียบๆ
เอ่ยในใจว่า เยี่ยเทียนหยวนเจ้าแน่มาก ดูซื่อๆ เช่นนี้ กลับเอาตัวเองออกไปอยู่วงนอกได้หน้าตาเฉย แล้วขุดหลุมให้ข้ากระโดดลงไปคนเดียว!
เดินไปสักพักจึงชะงักฝีเท้า หยุดยืน
“สหายหลัวมีอะไรหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรรีบถาม
หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าเอียงอาย ลูบเอวตามสัญชาตญาณ ลังเลสักพักค่อยว่า “วิญญาณกระบี่ของข้า ทุกวันพอถึงเวลานี้ ต้องออกมาพักผ่อนสักครู่ ยังต้องให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนด้วย…”
ผู้บำเพ็ญเพียรพลันซวนเซ เกือบหกล้ม แสดงสีหน้าว่ายอดเยี่ยมขณะมองหลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงยิ้มน้อยๆ “สหาย จวนเจ้าเมืองใกล้ถึงแล้ว ไม่รู้ว่ามีห้องสำหรับแขกหรือไม่”
“ไม่…ไม่มี…” ผู้บำเพ็ญเพียรรู้สึกหนาวเหน็บ ยืดหลังตรงแล้วเดินให้เร็วขึ้น ไม่พูดไม่จาตลอดทาง
เอ่ยในใจว่า เพราะอะไร นี่มันเพราะอะไรกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสองท่านที่ยากพานพบ ต่างล้วนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน!
รอเดี๋ยว หรือว่า…ต้องเบี่ยงเบน จึงจะสามารถเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย?
การพบกันโดยบังเอิญครั้งเดียว พลันล้มล้างมุมมองชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ในระดับก่อกำเนิดมานาน แต่นี้เป็นต้นไป ต้องมุมานะบนวิธีทางเบี่ยงเบนให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ ต้องก้าวข้ามชีวิตที่มีรสชาติแบบคู่บำเพ็ญเพียรที่ถูกศิษย์น้องสามวันเฆี่ยนที ห้าวันฟาดที ไปให้ได้
ทว่าเยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงกลับหายใจเข้าได้อย่างไม่มีภาระทางใจใดๆ เพียงรู้สึกว่ารูหูสะอาดสะอ้านแล้ว
ในเมืองใหญ่มาก กลุ่มคนเดินมาครึ่งชั่วยามจึงมาถึงจวนเจ้าเมือง
ผู้บำเพ็ญเพียรพาพวกเยี่ยเทียนหยวนเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ในนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสิบกว่าท่านทั้งนั่งและยืน จับกลุ่มพูดคุยกันสองคนบ้าง สามคนบ้าง
“ท่านทั้งหลายรอสักครู่ ท่านเจ้าเมืองกำลังมา” ผู้บำเพ็ญเพียรพูดจบก็สาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรในห้องโถงใหญ่หันมามองหน้ากัน
เยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงไม่ต้องการสร้างความยุ่งยาก จึงพาหมาป่าน้อยกับเขาน้อยไปยืนตรงมุมหนึ่ง จากนั้นก็พูดคุยกับผู้คน
คนเหล่านี้พูดคุยกันอย่างไม่ปิดบัง ที่ถกเถียงกันคือเรื่องประลองยุทธ์เลือกคู่
ที่แท้เจ้าหุบเขาไป่กั่วมีลูกสาวคนเดียว นางเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น อายุสองร้อยปีก็ก่อทารกปราณได้แล้ว ตอนนี้จึงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด
นอกเหนือจากนี้ นางยังมีพรสวรรค์พิเศษ เกิดมาก็สามารถสื่อสารกับพืชวิญญาณได้ ผลไม้วิญญาณที่ผ่านการเพาะปลูกจากมือนาง คุณภาพจะสูงขึ้นหลายระดับ นางยังปลูกผลไม้มหัศจรรย์หลายชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย
ชื่อเสียงขององค์หญิงน้อยท่านนี้ ในเกาะใหญ่แต่ละเกาะ แทบไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน
และเพราะเหตุนี้ เจ้าหุบเขาไป่กั่วเห็นใครก็ล้วนรู้สึกว่า ไม่คู่ควรกับลูกสาวสุดที่รักของตน จึงคิดการประลองยุทธ์เลือกคู่นี้ขึ้น
หุบเขาไป่กั่วเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้บำเพ็ญเพียรในรัศมีพันหมื่นลี้ของหมู่เกาะอันไม่มีที่สิ้นสุด
ในการบำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นของผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ สิ่งที่ต้องพึ่งพามิใช่การเสาะหาโอสถวิเศษที่จำเป็นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร แต่เป็นผลไม้วิญญาณหลากหลายชนิด
แค่คิดก็รู้แล้วว่า การได้เป็นลูกเขยที่พึงปรารถนาของเจ้าหุบเขาไป่กั่ว และการได้ผู้หญิงที่สวยและน่าทึ่งเช่นนี้เป็นภรรยา น่าจะเป็นเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรมากน้อยเท่าใดไฝ่ฝันถึง
เยี่ยเทียนหยวนนั่งหลังตรงอยู่มุมห้อง ฟังการพูดคุยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สายตาจับจ้องอยู่แต่พาหนะเหินหาวของตน
ส่วนหลัวอวี้เฉิงกลับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
ทั้งสองส่งเสียงทางจิตถึงกัน ตัดสินใจรอเจ้าเมืองปรากฏตัวก่อน แล้วค่อยอธิบายเจตนาของการมาไปตรงๆ จะได้หลีกเลี่ยงที่จะยุ่งเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง ประสานมือให้ทุกคน แล้วหัวเราะดังก้อง “ข้ามาสายแล้ว ขออภัยสหายทุกท่าน”
ผู้บำเพ็ญเพียรในห้องโถงล้วนยืนขึ้น พากันพูด “เจ้าเมืองชิงซิ่งเกรงใจแล้ว”
เขายิ้มน้อยๆ “สหายทุกท่านเพียงคิดก็รู้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาวันก่อนๆ ต้องผ่านการคัดเลือกด่านแรกจากข้า เช่นนั้นก็ขอเชิญสหายทุกท่านเดินผ่านข้างกายข้าไปยังห้องโถงเล็กตามลำดับ หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ จะมีสาวใช้นำชามหยกที่คว่ำไว้มาให้สหายทุกท่าน และสหายที่ในชามมีลูกท้อสีแดง สามวันหลังจากนี้ให้มาที่นี่อีกครั้ง รวมทั้งสหายที่ได้รับเลือกก่อนหน้านี้ ก็ได้เข้าสู่ด่านที่สองด้วยกัน”
พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้ม “ส่วนสหายที่ไม่ได้รับลูกท้อสีแดง ในชามหยกก็มีผลไม้วิญญาณที่มีเฉพาะในหุบเขาไป่กั่วเรา เชิญสหายทุกท่านลองชิมดู หึๆ ครั้งนี้ข้าหาคู่ให้องค์หญิง ผู้หญิงนี่นะ มักชอบชายหนุ่มหน้าตาดี ซึ่งจริงๆ แล้วหน้าตาสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรชายอย่างเราแล้ว นับเป็นอะไรได้ สหายที่ไม่ได้รับเลือก ย่อมมิใช่ไม่ดีพอ ขอสหายทุกท่านเห็นใจด้วย”
เนื่องจากคนผู้นี้มีท่าทีดีมาก ผู้บำเพ็ญเพียรในห้องโถงจึงหัวเราะขึ้นมา “เจ้าเมืองชิงซิ่งคิดมากแล้ว เหล่านี้พวกเราล้วนเข้าใจดี”
จากนั้น เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ยืนตามลำดับ แล้ว…เดินผ่านหน้าชิงซิ่งเจินจวินไป
พวกเยี่ยเทียนหยวนสี่คนยืนอยู่ตรงกลาง อยากอธิบายเจตนาการมา แต่เหมาเถาเตือนว่า จอบไร้ฝุ่นเป็นสมบัติล้ำค่าของหุบเขาไป่กั่ว ถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จู่ๆ พูดขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหา จึงได้แต่ข่มกลั้นไว้ชั่วคราว แล้วเดินผ่านหน้าชิงซิ่งเจินจวินไป
ตอนพวกเยี่ยเทียนหยวนสี่คนเดินผ่านตามลำดับ ดวงตาชิงซิ่งเจินจวินก็ทอประกายขึ้นวาบหนึ่ง สักพักค่อยเก็บสายตากลับคืน
รอจนเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไปในห้องโถงเล็กแล้ว เขาจึงนำมันฮ่อสองลูกออกจากแขนเสื้อมาคลึง มืออีกข้างหนึ่งก็เรียกสาวใช้แถวหนึ่ง ซึ่งเดินเข้ามาจากด้านข้างอย่างมีมารยาท ทุกคนถือถาดหนึ่งใบ กลางถาดมีชามหยกเขียวหนึ่งใบ
ชามทุกใบล้วนมีหมายเลขกำกับ ซึ่งตรงกับหมายเลขของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร
ชิงซิ่งเจินจวินเดินผ่านหน้าสาวใช้ แล้วเลือกอย่างรวดเร็ว แต่พอมาถึงของเยี่ยเทียนหยวนก็ลังเลสักพัก ก่อนวางลูกท้อสีแดงลูกหนึ่งลงไป จากนั้นก็มาถึงของหลัวอวี้เฉิง ก็วางลูกท้อสีแดงลงไปเช่นกัน
ส่วนหมาป่าน้อยกับเขาน้อย กลับเป็นผลไม้วิญญาณอื่นๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรที่พาพวกเยี่ยเทียนหยวนมา ก้าวเข้ามาเตือน “ท่านเจ้าเมือง พวกเขาสองคน…ไม่…ไม่เหมาะอยู่บ้าง…หากเป็นข้า ยอมเลือกเด็กหนุ่มสองคนนั่นดีกว่า องค์หญิงอาจชอบก็เป็นได้”
ชิงซิ่งเจินจวินมองเขาอย่างจนปัญญา “เหมาะไม่เหมาะข้าไม่รู้ รู้อยู่แต่ว่า ถ้าปล่อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายที่มีอายุไม่ถึงห้าร้อยปีสองคนนั่นไปไม่เลือก อาจารย์ต้องถลกหนังข้าแน่ ส่วนเด็กหนุ่มสองคนนั่น ถ้าเลือก อาจารย์จะยิ่งถลกหนังข้าเข้าไปใหญ่”
“ไม่ถึงห้าร้อยปี?!” ผู้บำเพ็ญเพียรเบิ่งตาโต
“ใช่สิ ไม่ถึงห้าร้อยปีเชียวนา” ชิงซิ่งเจินจวินยิ้มอย่างมีความหมาย พลางคลึงมันฮ่อในมือ
ผู้บำเพ็ญเพียรเหลือบมองมันฮ่อ ไม่มีข้อกังขาอีก แต่ก็อดถามไม่ได้ “แล้วเด็กหนุ่มสองคนนั่นเล่า พวกเขาแม้บำเพ็ญเพียรได้ไม่สูง แต่อายุน่าจะน้อยกว่า…”
“ถ้าให้เลือกสองปีศาจบำเพ็ญเพียร ข้ามิสู้เลือกเจ้าไปเลยไม่ดีกว่าหรือ!” ชิงซิ่งเจินจวินตอบอย่างรำคาญใจจากนั้นก็โบกมือ “พวกเจ้ายกชามหยกเข้าไปเถิด”
รอจนเยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงที่นั่งอยู่ในห้องโถงเล็กเปิดชามออก พอเห็นลูกท้อสีแดงก็อึ้ง จากนั้นก็สบตากันอย่างจนปัญญา
ไม่ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้รับเลือกหรือคัดออก ล้วนลุกขึ้นเดินออกไป มีเพียงพวกเยี่ยเทียนหยวนที่เดินเข้าห้องโถงใหญ่ พอเห็นชิงซิ่งเจินจวิน ก็อธิบายเจตมาที่มา
ชิงซิ่งเจินจวินฟังแล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้าง จ้องมองทั้งหมดด้วยท่าทีแปลกๆ “สหายไม่กี่ท่านนี้อยากเข้าเยี่ยมเยียนท่านอาจารย์ เพื่อยืมจอบไร้ฝุ่นไปขุดผลแย่งลิขิตหรือ”
“ถูกต้อง พวกเราสามารถลงนามในสัญญา รอจนใช้เสร็จ ก็จะนำจอบไร้ฝุ่นมาคืนให้ทันที พร้อมมอบของกำนัลให้” เยี่ยเทียนหยวนตอบ
ขณะเผชิญหน้ากับสำนักชั้นเยี่ยมอย่างหุบเขาไป่กั่ว การใช้ไม้แข็งไม่มีทางสำเร็จ
เมื่อมาถึงสถานะบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเขาในตอนนี้ บางครั้งการพูดจาตรงๆ กลับช่วยลดปัญหาได้มาก
ชิงซิ่งเจินจวินกวาดตามองพวกเขาพลางว่า “ผลแย่งลิขิตเป็นผลไม้ของเซียนบนสวรรค์ ต้องมีสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะจึงจะดำรงอยู่ได้ ไม่ปิดบังจริงๆ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน อาจารย์ก็ส่งลูกศิษย์ไปเฝ้า แต่เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ต้นของผลแย่งลิขิตจึงตายเรียบในพริบตา”
“อะไรนะ!” พวกเยี่ยเทียนหยวนหน้าถอดสีในที่สุด
ชิงซิ่งเจินจวินชะงักเล็กน้อย ค่อยพูดต่อ “ดีที่องค์หญิงฝูเยาไปมารอบหนึ่ง นำรากสีเขียวที่ยังมีชีวิตอยู่มาส่วนหนึ่ง นำกลับมาปลูกอย่างระมัดระวังในหุบเขา ตอนนี้ก็ออกผลมาได้จริงๆ”
ความรู้สึกของพวกเยี่ยเทียนหยวนพลิกกลับตาลปัตร เนิ่นนานให้หลัง หลัวอวี้เฉิงค่อยพูดอย่างสงบนิ่ง “ไม่ทราบว่า ถ้าพวกเราอยากได้ผลแย่งลิขิต ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง”