(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย - ตอนที่ 8-6 ดอกไม้ราตรี
โซกังสื่อสารว่าง่วงด้วยการกะพริบตาช้าๆ ด้วยความรู้เเละความพยายามของทันยองจึงสามารถสลายพิษในร่างกายโซกังได้ แต่เรื่องพละกำลังอ่อนแรงลงก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ซึ่งน้ำข้าวต้มที่จาฮอนเป็นผู้ป้อนให้เองด้วยปากในแต่ละมื้อก็เพียงพอแค่ประทังชีวิต จาฮอนมองโซกังทีหนึ่งแล้วก็มองทันยองทีหนึ่ง เหมือนต้องการไถ่ถามโดยไร้คำพูดว่าควรให้คนป่วยทานอาหารหรือให้ยาบำรุงตัวใดดี
“ตอนนี้ยังไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่เพียงแค่ข้าวต้มก็พอได้อยู่”
เขาพยักหน้ารับกับคำพูดของทันยอง ก่อนจะสั่งให้ด้านนอกนำข้าวต้มเข้ามา
หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อย จาฮอนก็รับถ้วยข้าวต้มมาถือแล้วเป่าให้มันเย็นลงจนพอทานได้ ค่อยๆ ป้อนข้าวต้มแก่โซกังอย่างตั้งใจ ทว่าร่างบางรับข้าวต้มเข้าปากได้ไม่กี่คำก็ส่ายหน้าหนี ผลักถ้วยข้าวออกแล้วหลับตาลง เขาเลยตบเบาๆ ลงบนแผ่นอก กล่อมจนเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
เมื่อแน่ใจว่าโซกังหลับสนิทแล้ว จาฮอนจึงเอ่ยถามทันยองถึงเรื่องที่พูดคุยก่อนหน้านี้
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าคนพวกนั้นไม่รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนใจ ในวังหลวงไม่มีทางจะมีหูตาเพียงแค่คู่สองคู่เป็นแน่”
“กระหม่อมทราบดี และไม่ได้คิดปิดบังเรื่องที่ตนเปลี่ยนใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยอมติดคุกด้วยตนเอง แล้วตั้งใจจะหนีออกไปเล่า”
“นายท่านทราบถึงเรื่องที่กระหม่อมได้พบฝ่าบาทแล้วแน่นอน แต่เขาย่อมสงสัยว่าเราพูดคุยถึงเรื่องอะไร รวมถึงในใจของกระหม่อมเป็นเช่นไรด้วย ระหว่างนั้นเพียงกระหม่อมได้พบคนที่ต้องการเจอ แล้วออกมาเสียก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร”
ทันยองยกยิ้มฝืดเฝื่อนให้กับคำถามนั้น รอยยิ้มไม่เหมาะกับใบหน้าเรียวเล็กและงดงามอ่อนเยาว์เลย มันช่างดูเหนื่อยล้ากับชีวิตอย่างถึงที่สุด
“คิดว่าคงปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็น ไม่อาจหลุดรอดสายตาของยาอึมก็ดี หรือหากหลุดรอดออกมาได้ก็ดีเช่นกัน และหากยังมีชีวิตอยู่ กระหม่อมก็จะใช้ชีวิตเพื่อไถ่บาปให้การกระทำของทันยอบพ่ะย่ะค่ะ”
“ทันยอบหรือ คนผู้นั้นชื่อทันยอบสินะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะสนองคำขอของเจ้า แต่หากเจ้าช่วยดูแลจนกว่าโซกังจะอาการดีขึ้นอีกสักหน่อย ก็จะเป็นการดี”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งที่ทรงเชื่อกระหม่อม”
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ทันยอง”
“เป็นเรื่องที่สมควรต้องทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันยองค้อมคำนับพร้อมกับเอ่ยตอบรับ จาฮอนเลยสั่งให้อีกคนไปพักผ่อน ทันยองจึงกลับไปยังสถานที่ที่ตนใช้พักอาศัยอยู่ตลอดเจ็ดวันนี้
เมื่อเหลือเพียงพวกเขาสองคน ร่างสูงก็แนบจุมพิตประทับลงบนหน้าผากมน ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเปิดประตูออกด้วยตนเองเพื่อก้าวออกมาด้านนอก บอกกล่าวให้เหล่าองครักษ์ฮวังรยงทั้งสามได้ยินพร้อมกัน
“เฝ้าดูรอบห้องบรรทมให้ดี อย่าได้คลาดสายตาแม้เพียงครู่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังฝากคำสั่งแก่องครักษ์ฮวังรยง จาฮอนจึงสั่งให้นางกำนัลด้านนอกจัดเตรียมน้ำสำหรับชำระกาย
ได้ยินขันทีโชกล่าวว่าฎีกาที่ไม่ได้ตรวจดูเลยตลอดเจ็ดวันนั้นกองทับถมสูงเป็นภูเขาแล้ว อีกฝ่ายยังกล่าวเสริมอีกว่าตนจะลองขัดขวางเหล่าขุนนางจนถึงที่สุด
เมื่อโซกังฟื้นขึ้นมาแล้ว องค์จักรพรรดิจึงได้กลับไปจัดการงานที่ละทิ้งไประหว่างช่วงเวลานั้น ขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่สั่งให้ตรวจสอบ
จาฮอนก้าวเดินไปยังห้องที่นางกำลังจัดเตรียมถังอาบน้ำเอาไว้ พลางเรียบเรียงความคิดอย่างช้าๆ
* * *
และเมื่อไปถึงตำหนักอุนฮยอนก็ได้รู้ซึ้งว่า คำกล่าวว่าฎีกากองเท่าภูเขาของขันทีโชนั้น หาใช่คำโกหกแม้เพียงนิด
เนื่องจากมิใช่เพียงไม่เข้าตำหนักฮวังรยงเท่านั้น ฝ่าบาทยังออกคำสั่งให้เหล่าทหารหลวงมาคอยเฝ้าทางเข้าออกจนเหล่าขุนนางเองก็เข้าไปไม่ได้ ดังนั้น ฎีกาจึงไม่ได้ถูกนำไปยังตำหนักฮวังรยง แต่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่ตำหนักอุนฮยอนแทน
พอนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ถูกโยกย้ายมา จาฮอนจึงเร่งไปจัดการฎีกาเหล่านั้นที่ตำหนักอุนฮยอน สั่งให้เหล่าบัณฑิตอุนฮยอนคัดแยกฎีกาที่เกี่ยวข้องกับโซอีและฎีกาเกี่ยวกับทายาทเอาไว้ต่างหาก เพราะรู้แจ้งอยู่แล้วว่าเนื้อความเป็นอย่างไร
ตรวจดูหรือไม่ตรวจดู ก็ค่าเท่ากัน
สิ่งที่ต้องจัดการก่อนอันดับแรก ย่อมเป็นฎีกาที่เกี่ยวข้องกับราษฎร ด้วยละเลยไปถึงเจ็ดวัน ถึงแม้ระหว่างช่วงเวลานั้นเรื่องราวอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่สำหรับเรื่องที่ควรตรวจสอบอย่างเร่งด่วนและสามารถจัดการได้ ก็ย่อมต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ตัวเขาคิดอยู่เสมอว่าหากไม่มีราษฎรก็ไม่มีตน จึงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสงบสุขของผู้คนเหล่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ปล่อยปละละเลยจนมันพอกพูนถึงเพียงนี้
หลังจากเปิดอ่านฎีกาไปไม่รู้เท่าไร จาฮอนก็หลุดหัวเราะออกมา ด้วยตระหนักแล้วว่าโซกังมีอิทธิพลกับตนมากมายอย่างไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
เขาทำการตรวจดูฎีกาโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดวัน ตลอดเวลานั้นฝ่าบาทยุ่งเสียจนรับเครื่องเสวยเพียงไม่กี่มื้อ และเป็นทันยองที่คอยดูแลโซกัง เมื่อร่างบางได้รับยาบำรุงและอาหารอย่างเหมาะสม อาการจึงฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์ ทำให้จาฮอนปีติยินดียิ่งนัก
แล้วในค่ำคืนหนึ่ง จาฮอนเข้าห้องบรรทมในช่วงปลายยามแฮดังเช่นทุกครา
เห็นว่าโซกังหลับตาและหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จึงนึกว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้ว เขาเลยค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้างๆ อย่างระมัดระวัง ทว่าโซกังกลับพลิกหันมาแล้วซุกตัวเข้าสู่อ้อมอก กลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ตลบอบอวลจากตัวผู้อาบน้ำด้วยเครื่องหอมบางอย่าง อีกทั้งอาภรณ์ก็ผูกไว้หลวมๆ จนเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวกระจ่างและยอดอกนูนเด่น
“ท่านทันยองกล่าวว่าตอนนี้สามารถทำเรื่องนั้นได้ ไม่มีผลกระทบใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“โซกัง เจ้าหมายถึงเรื่องอะไร…”
“กอดกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนเชยปลายคางมนให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งยังขบเม้มริมฝีปากแน่น ก็เพียงพอให้ความปรารถนาที่เคยอดกลั้นพรั่งพรู ไม่สิ ทะลักออกมาต่างหาก
พอเห็นเรียวคิ้วของคนตรงหน้าขมวดเป็นปมแน่น โซกังจึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เพิ่งจะฟื้นหายดีได้ไม่เท่าไร ก็ดันคิดถึงเรื่องอย่างว่าขึ้นมาทั้งๆ ที่ตนก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จึงเอ่ยถามกับทันยองด้วยใบหน้าขึ้นสี
ทว่าดูเหมือนจะทำพลาดเสียแล้ว ก่อนจะหลุดพ้นจากการถูกข่มเหง ณ เรือนทาสก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน คำถามว่าคิดเช่นนั้นหรอกหรือดังแว่วข้างอยู่หู โดยไม่มีผู้ใดเอ่ยถาม แต่เป็นความคิดของโซกังเองที่ทำให้เสียงนั้นดังแว่วขึ้น จาฮอนเพียงแค่ขมวดคิ้วแน่นเท่านั้น ร่างบางพลันเปิดปากเอ่ย
“ฝ่าบาท…”
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลุดเอ่ยเรียก ‘ฝ่าบาท’ ออกมาก่อนชื่อจริงของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เวลาอยู่ด้วยกันเพียงสองคน เจ้าตัวสั่งห้ามเรียกเช่นนั้นแล้ว
ตลอดเวลาที่หมดสตินั้น รับรู้ดีว่าจาฮอนรักและเป็นห่วงเพียงใด ถึงขนาดซูบผอมเพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่กระนั้นตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับจิตใจอันขลาดเขลา แม้จะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นพวกเงียบขรึมและสุขุมใจเย็น ทว่ามิเคยถูกเรียกว่าขลาดเขลามาก่อน ทว่าในยามนี้ก็คงมีเพียงคำว่าขลาดเขลาเท่านั้น ที่จะสามารถบ่งบอกตัวตนของเขาได้
แม้รู้ดีว่าบุรุษผู้นี้รัก แม้จะคอยบอกตนเองอยู่เสมอ แต่เมื่อคิดถึงวันข้างหน้า ก็พาลให้รู้สึกหวาดกลัว อีกฝ่ายเป็นถึงจักรพรรดิ มีหน้าที่ให้กำเนิดทายาทเพื่อราชบัลลังก์ เพื่อราชวงศ์ ทว่าถึงแผ่นฟ้าจะพลิกเปลี่ยนด้าน ร่างกายของเขาก็ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ไม่ว่าอย่างไรโซกังก็ไม่สามารถลบเลือนความคิดนี้ เช่นเดียวกับความรู้สึกต่ำต้อย
“อ๊ะ!”
ริมฝีปากที่ตั้งใจจะกล่าวแก้ตัวว่ามิใช่เพราะความมัวเมาในกามารมณ์ กลับถูกปิดแนบเอาด้วยริมฝีปากของจาฮอน ร่างสูงวาดยิ้มอ่อนโยนพลางไล้เลียด้วยเรียวลิ้น ก่อนจะประทับจูบลงตรงปลายจมูก
“เจ้านี่จริงๆ เลย คอยแต่ทำให้ข้าไม่สงบใจอยู่นั่น”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“หากเจ้าอยากถูกกอดทั้งตัว ก็ถอยหลังไปเสีย”
“อา อึก…”
ไม่ปล่อยช่องว่างให้ได้ตอบรับก็ถูกจับพลิกตัวแล้ว ลวดลายอันวิจิตรของเพดานปรากฏเข้ามาในครรลองสายตา ทว่ากลับไม่มีเวลาชื่นชม น้ำหนักตัวของอีกฝ่ายก็กดทับลงมาบนร่างกาย ตามด้วยริมฝีปากแนบลงกับต้นคอ
จาฮอนดูดดึงผิวเนื้ออ่อนอย่างแรง เมื่อได้รับการก่อกวนด้วยฟันคม ร่างกายบอบบางก็ขยับเคลื่อนตามแรงอารมณ์ ทุกครั้งที่ผิวเนื้อสัมผัสกับฟันคมที่ขบกัดลงมา ความเจ็บแปลบก็แล่นไปตามแนวกระดูกสันหลัง ความแสบบริเวณผิวที่ถูกขบดึง ก็ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวเองโดยไม่อาจควบคุม ทั้งยังส่งเสียงครางหวิวออกมา ด้วยความพึงรู้สึกพอใจอย่างน่าประหลาด
มักจะเป็นตัวเขาเองที่เอ่ยห้ามเพราะอายยามผู้อื่นพบเห็น ทว่าตอนนี้มันกลับต่างออกไป ไม่คิดเลยว่าการสลักร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของ จะทำให้รู้สึกดีเช่นนี้ จากนั้นริมฝีปากที่สัมผัสดูดดึงจนเจ็บแปลบก็ผละออก แทนที่ด้วยลิ้นร้อนไล้เลียแผ่วเบา ไล่จูบจนเกิดเสียงน่าอาย ก่อนจะขยับเคลื่อนขึ้นมาจนถึงติ่งหู เข้าไปถึงพื้นที่อันอบอุ่นและฉ่ำชื้น
“อ๊ะ ฮือ อึก!”
“โซกัง”
อีกฝ่ายงับติ่งหูจนรู้สึกเจ็บแปลบ ประทับจุมพิตราวกับปลอบโยนพร้อมกระซิบกระซาบ โซกังค่อยๆ ผ่อนลมหายใจหอบถี่และตอบรับเสียงเรียก จาฮอนขยับลิ้นวาดวนไปตามใบหู ตามมาด้วยเสียงเฉอะแฉะ
“อื้อ ฮะ จาฮอน”
“โซกัง ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกนามจริงของจักรพรรดิอย่างข้าต่อหน้าทุกคนได้ ดังนั้น จงอย่าได้เอ่ยเรียกว่าฝ่าบาทอีก”
“จะ…ได้ อย่างไรกัน…”
“เพราะยามอยู่ต่อหน้าเจ้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่อาจทำตัวเป็นจักรพรรดิได้”
น้ำเสียงแว่วหวานและทุ้มต่ำปัดผ่านใบหู แล้วแล่นลามไปตามแนวกระดูกสันหลังจนสุดปลาย
จาฮอนทำให้ใบหูของโซกังชุ่มโชกด้วยน้ำลาย ก่อนจะขยับไปใกล้ริมฝีปากอิ่ม แตะสัมผัสริมฝีปากอย่างแผ่วเบา และค่อยๆ ขยับเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ
“ต่อหน้าเจ้าแล้ว ข้าเป็นเพียงยังจาฮอนผู้อ่อนโยนเท่านั้น”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยตอบ ทั้งสองต่างดูดกลืนริมฝีปากของกันและกันอย่างกระหาย ราวกับรับรู้ความจริงนั้นอยู่แล้ว ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างผลัดกันดูดดึงขบเม้มไปมา ยามผละห่างก็ส่งเรียวลิ้นเกี่ยวตวัดแทน รุกไล่ตามติดจนเกิดเสียงแฉะชื้นดังขึ้น เรียวลิ้นของจาฮอนรุกไล่สัมผัสจนลึกสุดโพรงปากของโซกัง ไล้เลียเพดานปากและแหวกว่ายอยู่ภายในอย่างใจเย็น