(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย - ตอนที่ 8-1 ดอกไม้ราตรี
ตอนที่ 8 ดอกไม้ราตรี
เมื่อได้ฟังความนั้น จาฮอนก็ส่งคนไปยังจวนของแพคมูกิลทันที
[รักษาศพเอาไว้จนกว่าคนจากวังหลวงจะไปถึง หากได้รับความเสียหาย ก็จงจัดการทุกอย่างที่มองเห็นทั้งหมดเสีย]
เมื่อคำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดออกมา บรรดาคนรับใช้จึงหวาดหวั่นและระมัดระวังอย่างมาก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุ
จากนั้นเขาก็ส่งคนไปที่สำนักหมอหลวง และสั่งให้เคลื่อนย้ายศพของแพคมูกลิและภรรยามาที่วังหลวง แต่เนื่องจากหมอหลวงคอยดูแลโซกังอยู่จึงไม่สามารถไปได้ด้วยตนเอง ทว่าก็ทำการมอบหมายให้ข้ารับใช้ไปจัดการ ดังนั้นเมื่อยามเช้ามาถึง เหล่าหมอแห่งสำนักหมอหลวงก็เคลื่อนย้ายศพจากจวนของแพคมูกิลไปยังสำนักหมอหลวงเป็นที่เรียบร้อย
อีกด้าน จาฮอนคอยติดตามอยู่ใกล้ๆ หมอหลวง ทั้งยามตรวจชีพจร ทั้งยามตรวจบรรดาสมุนไพร กระทั่งยามนำสิ่งเหล่านั้นมาบดหรือทุบให้ละเอียด ร่างสูงก็ยังเอาแต่เดินไปเดินมาอย่างไม่สบายใจ จนในที่สุดหมอหลวงต้องค้อมศีรษะคำนับแล้วเอ่ยตามตรง
“ฝ่าบาท หากทรงเดินไปเดินมารอบๆ เช่นนี้ กระหม่อมจะยิ่งไม่มีสมาธิจนไม่อาจต้มยาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็แค่ดูเฉยๆ”
“ไม่ทรงดูจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวของอีกฝ่ายทำเอาจาฮอนกระเดาะลิ้นเล็กน้อย มันถือเป็นการไล่ดีๆ นั่นเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอม เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือก่อนเริ่มการประชุมขุนนาง เขาจึงไปยังรอที่ตำหนักฮวังรยง
เจ้าตัวประทับอยู่บนบัลลังก์และเท้าคาง พลางขบคิดเกี่ยวกับบุรุษที่แพคมูกิลพาเข้ามาวันนั้น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงสั่งให้ไปนำศพของเจ้านั่นมา
“เฮ้อ…”
จาฮอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเคาะนิ้วด้วยความหงุดหงิดใจจนเกิดเสียงดังตึกๆ แม้จะลองขบคิดช้าๆ ทว่ามันก็ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเพราะโซกังแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก ได้แต่เป็นห่วงอาการของอีกฝ่ายเท่านั้น
และช่วงเวลานั้น เสียงรายงานของขันทีก็ดังมาจากด้านนอกตำหนักฮวังรยง
“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา”
ยังไม่ถึงเวลาประชุมขุนนาง แต่ผู้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมกลับมาเยือนเสียนี่… เมื่อเอ่ยอนุญาต คนผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาด้านในด้วยสีหน้ายุ่งยากใจอยู่ตลอด จนกระทั่งยามคุกเข่าลงเบื้องล่างบัลลังก์
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ผู้ไม่มีความจำเป็นต้องมาตั้งแต่เช้าเช่นท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงเย็นชาและไร้ซึ่งความใส่ใจของฝ่าบาท ทำให้มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการมีสีหน้าคร่ำเครียดทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นหน้า เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา ตนไปเยือนจวนของหลานชาย แต่กลับได้ยินว่าคนจากสำนักหมอหลวงเคลื่อนย้ายศพของแพคมูกิลและภรรยามายังสํานักหมอหลวงแล้ว แน่ชัดว่าคนผู้นั้นลงมือตามคำสั่งตนเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะไม่รู้ว่ามีหลักฐานอันใดเกี่ยวข้องกับคืนนั้นหรือไม่ ถึงรีบชิงนำศพไปที่สำนักหมอหลวงเช่นนี้ แพคมีกังผู้เคยตำหนิหลานตนเองว่าไม่รอบคอบจึงต้องรีบร้อนเข้าวังมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้
ความรู้สึกของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการตีตื้นขึ้นมาถึงจุดสูงสุด ก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ฟัง”
“กระหม่อมได้ยินข่าวเรื่องเหตุร้ายของหลานชายพ่ะย่ะค่ะ”
จบคำนั้นของอีกฝ่าย สายตาของจาฮอนก็เบนกลับมา แพคมีกังยังคงก้มหน้าลงกับพื้น ขณะจ้องมองชายชราผู้นี้ ความคิดที่ไม่เคยหวนคิดถึงมันเลยก็ถูกดึงกลับมา
“ลองว่าต่อสิ”
“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้นำศพของหลานชายกระหม่อมและภรรยามา เหตุใดถึงทรงทำเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าท่านก็รู้อยู่แล้วหรอกหรือ”
“แม้กระหม่อมจะเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ แต่เขาก็เป็นหลานชายของกระหม่อมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”
เกิดความเงียบโอบล้อมชั่วขณะ แพคมีกังรู้สึกว่าภายใต้ความเงียบงันคล้ายมีคมมีดปรากฏ แม้ในยามปกติ องค์จักรพรรดิจะเป็นบุรุษผู้มีความเด็ดขาดเหนือผู้คนในท้องพระโรง ทว่าในวันนี้กลับรู้สึกถึงความน่ากลัวและความเย็นชามากกว่าทุกครา จากนั้นน้ำเสียงแข็งกระด้างก็ดังออกมาในทันใด
“มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเงยหน้าขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
แพคมีกังมีสีหน้าเครียดเกร็งทันทีที่เงยหน้าขึ้น สิ่งที่ปะปนอยู่ในความเงียบนี้ไม่ใช่ความเด็ดขาด แต่เป็นความบ้าคลั่ง จาฮอนวาดยิ้มเย้ยหยันขึ้นบนริมฝีปาก
“จะเป็นแม่ทัพ หรือจะเป็นหลานชายของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา เจ้าจงอย่าเอ่ยปากอีกเลย เพราะมันทำให้เราอยากฉีกศพนั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปโยนไว้หน้าประตูอุนจองเสียเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงกดต่ำจนไม่สามารถหาความสุขุมเจอ ทั้งยังแหบกระด้างอย่างถึงที่สุด แทนที่ฝ่าบาทจะโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณไล่ให้ออกไปเฉกเช่นครั้งก่อนๆ กลับสั่งให้องครักษ์ฮวังรยงมาลากตัวแพคมีกังออกไป เนื่องจากยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักฮงฮวาเมื่อคืนที่ผ่านมา แพคมีกังจึงไม่มีทางรู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้อารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ ทว่าเมื่อคาดเดาจากสิ่งที่ได้ยิน คงเป็นผลพวงมาจากเรื่องทันยอบถูกฆ่าตายทั้งๆ ที่ทำงานยังไม่สำเร็จ
ดังนั้น จะยอมให้ศพของแพคมูกิลอยู่ในพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ตัวเขาลงทุนสร้างกลุ่มยาอึมขึ้นมา ‘ยาอึม’ คือกลุ่มนักฆ่าที่เขาและเหล่าขุนนางระดับสูงของฝ่ายเชก่อตั้งขึ้น เพราะต้องการเหล่าเด็กๆ ที่สามารถเรียกใช้งานได้ดั่งทาสรับใช้
มือสังหารในสังกัดยาอึมนั้น แม้จะหลบหนีไปอย่างไรก็จะสืบหาตัวจนเจอได้ในเวลาไม่นานและถูกนำตัวกลับมา อีกทั้งข้อมือและช่วงเอวก็จะสักตราสัญลักษณ์ทุกคน หากทำการสืบหาจนพบตราสัญลักษณ์นั้น ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นนักฆ่าของสังกัดยาอึม
และเมื่อสืบค้นจนถึงที่สุดแล้ว การสืบสาวมาถึงความจริงว่าตัวเขามีส่วนเกี่ยวข้อง ยังไม่น่ากังวลเท่าสืบถึงแพคมูกิล เพราะไอ้หลานชายโง่เขลานั่นกระทำเรื่องสะเพร่าอย่างถึงที่สุด ยามเรียกใช้งานเหล่านักฆ่าของยาอึม หากค้นพบว่าเกี่ยวข้องกับเจ้านั่น เรื่องราวในอดีตที่มันเป็นผู้บงการ ทั้งเรื่องจัดการกับเหล่าขุนนางฝ่ายอื่นอย่างไร และฝ่ายเชทำการฉ้อฉลไปเท่าใดนั้น อาจจะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด
สุดท้ายการค้นหาบันทึกนั่น ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
ตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องเท่าที่เขารู้ก็มีเพียงแค่ยูโซกังเท่านั้น เหมือนมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการจะไม่ได้บอกผู้อื่นอย่างที่คิด สิ่งที่ดีกว่าความตายของยูโซกัง คือการรู้ตำแหน่งของบันทึกนั่น รู้ที่ซ่อนของมันอย่างไรก็ดีกว่าเพียงแค่ลดจำนวนผู้เกี่ยวข้องลงไปหนึ่ง
“ไอ้หลานโง่เง่า”
เแพคมีกังยืนกร่นด่าหลานชายของตนหน้าตำหนักฮวังรยง เดิมทีหากยูโซกังเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสนมแล้วแสดงออกว่ามีใจต่อฝ่าบาท เขาก็คิดจะข่มขู่อีกฝ่ายด้วยการอ้างเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทแทน ที่คิดเอ่ยอ้างฝ่าบาท แทนการเอ่ยอ้างเจ้าตัวโดยตรง ก็เป็นเพราะสิ่งที่รับรู้มาจากเรือนทาส ยูโซกังมักจะจิตใจอ่อนไหวต่อผู้อื่น เต็มใจให้ตนเองถูกประณามแทน ฝืนทนต่อความอัปยศพวกนั้น ทว่าหากถึงขั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนรักล่ะ มันจะทำอย่างไรกัน
แต่ก็เป็นไอ้เจ้าหลานชายโง่เง่าทำทุกอย่างพังหมด เช่นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีกเล่า นอกจากพยายามอย่างถึงที่สุดไม่ให้ถูกจับได้
ชายชราถอนหายใจออกมาและรอคอยอยู่หน้าตำหนักฮวังรยงจนเวลาประชุมขุนนางใกล้เข้ามา ทำเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาด้านในตำหนัก แพคมีกังจึงก้าวเข้าไปพร้อมกัน
ทันทีที่ทุกคนเข้ามาจนครบ แพคมีกังก็คุกเข่าลงร้องไห้คร่ำครวญออกมาก่อนฝ่าบาทจะได้เอ่ยเข้าประเด็น
“เกิดเหตุไม่คาดฝันกับหลานชายผู้เป็นดั่งบุตรแท้ๆ นับเป็นเรื่องน่าโศกเศร้านัก ทว่าฝ่าบาทกลับทรงนำศพเขาไปโดยที่กระหม่อมยังไม่ทันได้ร่ำลาเช่นนี้! ทรงตั้งใจจะให้ตาเฒ่าผู้นี้ร้องไห้จนหมดลมหรืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
จาฮอนจ้องมองการกระทำของแพคมีกังด้วยเยือกเย็นเป็นถึงที่สุด ไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด แม้อีกฝ่ายจะร้องขอด้วยการยืมกำลังของเหล่าขุนนาง มันแค่ทำให้เขารู้สึกรำคาญเท่านั้น
ทว่าพลันเกิดความคิดประหลาดแวบผ่านห้วงความคิด
ถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร เหตุผลที่จำเป็นต้องคืนศพของแม่ทัพคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าตัวเขาจะช่วยเปิดโปงผู้สังหารหรอกหรือ เหตุผลที่อีกฝ่ายยึดติดกับศพเช่นนี้ มันเพื่อความสุขสงบของหลานชายแน่หรือ
ความคิดหยุดลงตรงนี้ เพราะความรู้สึกคล้ายอยากบั่นคอใครสักคนถูกส่งไปยังแพคมีกัง
แม้ไม่อาจรู้เหตุผล ทว่าด้วยบังอาจแตะต้องโซกัง… การสังหารแพคมูกิลและท่าทีของแพคมีกังย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่นอน รายชื่อตัวยาที่มีผู้เขียนทิ้งไว้ หลังจากตรวจสอบแล้วหมอหลวงก็คาดเดาชนิดของพิษ ทว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหาคำตอบ ซึ่งคำรายงานที่ทางนั้นส่งมาสร้างผลกระทับใหญ่หลวงกับอารมณ์ของเขาในตอนนี้มาก
จาฮอนสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“ตอนนี้ท่านแม่ทัพต้องสงสัยว่าลอบสังหารสนมของเรา เจ้าอย่าได้เอ่ยอะไรอีก”
“ฝ่าบาท! ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ! มีดสั้นที่สังหารนักฆ่า…! อา…”
แพคมีกังชะงักคำกล่าว เพราะตระหนักได้ว่าตนหลุดปากออกไปเสียแล้ว
เดิมทีคงมีแผนลอบเข้าสำนักหมอหลวงเพื่อตรวจสอบศพ แต่ด้านหน้าสำนักหมอหลวงอันเป็นสถานที่เปิดในยามปกติกลับถูกเหล่าทหารหลวงปิดกั้น มีเพียงหมอหลวงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าออกได้ จึงไม่อาจทำการตรวจดูศพ ดังนั้น ถ้อยคำเช่นนั้นจึงไม่ควรพลั้งพูดออกมา
แม้จะยังไม่ได้รับรายงานชัดเจน ทว่ายามเหล่านักฆ่ายาอึมลงมือ แม้จะไม่ใช่สาเหตุการตายโดยตรง แต่ก็มักจะใช้มีดสั้นเป็นเครื่องหมายว่ายาอึมคือผู้ลงมือ ด้วยเหตุนั้น ถึงจะไม่เห็นกับตา ทันยอบก็ย่อมถูกฆ่าด้วยมีดสั้นอยู่แล้ว
ทว่าอย่างไรเสีย ในสายตาผู้อื่นแล้ว ยามนี้แพคมีกังต้องยังไม่ทราบสาเหตุการตายอย่างชัดแจ้ง แต่ด้วยความขบคิดหลายอย่างพร้อมกับในคราเดียว จึงทำให้ชายชราสร้างผิดพลาดแก่ตนเองเฉกเช่นพวกอ่อนหัด