(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย - ตอนที่ 3-3 เข้าหอ
จากฤดูหนาวเปลี่ยนผันสู่ฤดูร้อน การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลรวดเร็วเสมอ หิมะร่วงหล่นลงมาก่อนจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง และบนผืนน้ำแข็งนั้นก็มีหิมะตกทับลงมาอีกครา วันหนึ่งมันก็แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำไหลลงสู่ลำธาร ผ่านไปเพียงสองสามวัน อากาศพลันแจ่มใสขึ้นจนถึงขนาดสามารถถอดอาภรณ์คลุมตัวนอกออกได้
ในวันหนึ่งที่มีอากาศสดใสเช่นนั้น พื้นดินเฉอะแฉะด้วยหิมะละลายกลายเป็นน้ำ หากยืนอยู่ใต้ต้นไม้คงเปรียบดังสายฝน ทว่าโซยงก็ยังรบเร้าชักชวนออกมาเดินเล่น แม้รู้ว่ารองเท้าอันงดงามจะต้องเปรอะเปื้อนดินโคลน แต่กลับจับดึงมือเขาอย่างอารมณ์ดีเท่านั้น
เช่นเดียวกับความแปรปรวนของเทพฤดูร้อนและเทพฤดูหนาว พืชพันธุ์ใต้บุญคุณของพวกท่านก็เติบโตเช่นกัน เหล่าต้นอ่อนแข็งแรงกำลังเผยส่วนสีเขียวออกมา ระหว่างเดินเคียงข้างกัน โซยงเห็นดอกไม้สีส้มเบ่งบานอยู่ริมรั้ว จึงเข้าไปสัมผัสกลีบดอกโค้งงอด้วยรูปทรงคล้ายแตรแลดูงดงาม
“หากมันสวย เจ้าก็เด็ดไปเถอะ”
“ท่านพี่ แม้ว่าข้าจะขี้อิจฉา แต่ก็ไม่ถึงกับอิจฉาดอกไม้หรอกนะเจ้าคะ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ท่านกล่าวเหมือนข้าจะเด็ดมัน เพราะไม่พอใจที่มันงดงามกว่านี่เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ข้าคงคิดน้อยไป”
โซยงไม่มีทางกระทำต่อสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของที่แห่งนี้อย่างต้อยต่ำ
พวกเขาเดินเล่นกันอยู่เช่นนั้น พร้อมกับชื่นชมเหล่าเด็กน้อยพากันวิ่งเล่นใต้แสงแดด เหล่าสตรีนั่งซักผ้า ทว่าเนื่องจากอุณหภูมิของน้ำยังคงเย็นจัด พวกนางจึงเป่าลมหายใจอุ่นร้อนรดมือขณะซักผ้าไปด้วย กระนั้นก็ยังเฝ้ามองเหล่าหนุ่มสาวที่ออกมาเพลิดเพลินกับแสงแดดเช่นเดียวกับเราสองคน แต่จู่ๆ โซยงก็กล่าวขึ้นมาว่าอีกครู่จะกลับมาแล้วพลันวิ่งหายตัวไป การกล่าวเช่นนี้เก้าในสิบส่วนหมายถึงไปถ่ายเบา เนื่องจากเคยได้ยินเสียงเอ่ยห้ามปรามจากมูฮยอนมาก่อน โซกังจึงทำเพียงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
‘อย่างไรก็ถือว่าเป็นสตรี นางจึงขลาดเขินเกินจะกล่าวเช่นนั้นออกมาตามตรง ถ่ายเบาก็หมายถึงมีระดูนั่นล่ะ’
ด้วยก่อนหน้านี้เขาเคยถามซักไซ้ โซยงทำท่าทางกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก จึงไปสอบถามเอากับมูฮยอนแทนจนได้รับคำตอบ เวลาผ่านล่วงเลยไปเช่นนั้นเพียงไม่นาน ระหว่างเขามองสำรวจผู้คน โซยงก็วิ่งออกมาจากทางเดิม
“ไม่ได้รีบร้อนอันใด เจ้าไม่ต้องวิ่งก็ได้”
“ท่านพี่!”
คราแรกเข้าใจว่านางรีบวิ่งมาเพราะกังวลที่ให้เขารอ ทว่ามันกลับไม่ใช่เช่นนั้น มีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ กำลังวิ่งไล่หลังโซยงมา อีกฝ่ายเป็นทหารในสังกัดกรมฝ่ายตะวันออกเล่าลือว่ามาจากหน่วยมังกรฟ้า มีนิสัยโหดเ**้ยมนามว่า แพคมูกิล
“โซยง หยุด!”
“โปรดอย่าแสร้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใด ข้าบอกท่านไปหมดแล้ว”
“เจ้าสามารถขบคิดดูใหม่อีกคราได้ ไม่ใช่หรือ”
“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ชายผู้นี้คือคู่หมั้นของข้า อีกไม่นานข้าก็จะแต่งกับเขา”
โซกังไม่อาจเข้าใจเรื่องราวที่ทั้งคู่สนทนากันได้เพียงสักนิด ก่อนจะโซยงคว้าดึงมือเขาไปจับ ส่วนแพคมูกิลก็จ้องมองพวกเขา ทั้งๆ ที่ยังกระหืดกระหอบ
นางฉุดมือเขาให้เดินหนีกลับมายังจุดเริ่มต้น อันเป็นศาลาที่เราเคยนั่งพูดคุยอยู่บ่อยครั้งยามมาเดินเล่น ภายในศาลาโซยงนั่งสูดหายใจเข้าออกลึก
“โซยง”
“ท่านพี่ ข้าตั้งใจจะหลบหน้าแล้ว… ทว่าเวลานี้คนผู้นั้นย่อมขุดคุ้ยเรื่องราวของท่านเป็นแน่”
“จะไม่บอกข้าหน่อยหรือว่ามันเรื่องอันใดกัน”
“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือผู้ใด”
“ไม่ใช่ทหารในสังกัดหน่วยมังกรฟ้าหรอกหรือ ด้วยตัวเขาเป็นที่รู้จัก ดังนั้นข้าเองก็พอจะคุ้นชื่อ คุ้นหน้าอยู่บ้าง”
“คนผู้นั้นแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ แต่กลับมาร้องขอให้ข้าไปเป็นภรรยารอง และคอยไล่ติดตามเช่นนั้น ข้าเกรงว่าท่านพี่จะไม่สบายใจจึงตั้งใจปกปิด เฮ้อ ดูท่าข้าคงจะไม่อาจรักษามารยาทได้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
โซยงก้มมองปลายเท้าของตนด้วยสีหน้าเศร้าสลดพร้อมเอ่ยออกมาเสียงเบา
แม้ใบหน้าจะเศร้าสลดทว่าก็ยังงดงาม หากไม่ใช่ช่วงก่อนแต่งงาน เขาก็คงจะสัมผัสปรางแก้มนั้นและเอ่ยว่าอย่ากังวลปลอบโยน แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมว่าสตรีในช่วงก่อนแต่งงาน ไม่สามารถยอมให้บุรุษแตะเนื้อต้องตัวตามอำเภอใจได้ ดังนั้นเขาจึงได้เพียงลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยนแทน
“ผู้ใช้คำพูดและท่าทีไม่ดีต่อสตรีเช่นนั้น นิสัยย่อมไม่น่าชม ไม่มีทางเป็นความผิดของฝ่ายหญิง เจ้าเองก็เช่นกัน จงอย่าได้กังวลเลย เข้าใจหรือไม่โซยง”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
คำพูดของเขาทำให้นางวาดยิ้มสดใส
แล้วก็ยิ้มออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง ราวกับว่าช่วงเวลานี้หยุดลงตรงฉากนั้น
นั่นสินะ สิ่งนี้ไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงแค่ความทรงจำ และเมื่อตระหนักว่ามันคือความทรงจำ โลกก็คล้ายพังทลายลง ความมืดมิดคืบคลานเข้ามาแทนที่…
ความมืดมิดที่เป็นสีดำสนิท ไม่มีสิ่งใดนอกจากมัน และแล้วจู่ๆ แสงสว่างก็พลันสาดส่องเข้ามา
“ฮึก…”
โซกังค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมส่งเสียงร้อง ด้วยเพราะแสบตาจนมองเห็นภาพเบื้องหน้าอย่างพร่ามัว เขาจึงกะพริบตาอีกหนและยกมือที่เหลือเรี่ยวแรงอยู่เพียงเล็กน้อยถูไถเบาๆ บนเปลือกตา จากนั้นมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อสติค่อยๆ กลับคืนมา ก็รับรู้ว่าตนกำลังนอนอยู่ในที่ที่หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บนเสื่อฟางของเรือนนอนหน่วยสามอย่างแน่นอน มันเป็นความอ่อนนุ่มสัมผัสกับร่างกาย อีกทั้งเครื่องนอนผ้าแพรและสัมผัสของโลหะที่กระทบกับผิวโดยตรงนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สวมอาภรณ์ใดๆ
เป็นลมไปในโรงอาบน้ำอย่างนั้นหรือ คงได้มานอนพักในโรงหมอกระมัง
ทว่าโรงหมอนี้ช่างหรูหราเหลือเกิน เพดานที่ปรากฎในสายตาตกแต่งด้วยสีทองและสีแดง สีทองและสีแดงงั้นหรือ ผู้ใดกันช่างอาจหาญใช้สีของจักรพรรดิมาตกแต่งเช่นนี้ หากถูกพบเห็นคงได้ต้องโทษเป็นแน่
“ฟื้นแล้วหรือ”
ทว่าน้ำเสียงหนักแน่นและทุ้มตํ่า อีกทั้งยังเปี่ยมบารมีกลับดังผ่านเข้ามาในโสตประสาท โซกังตกใจจึงรีบหันกลับไปยังทิศทางของต้นเสียง บุรุษสวมใส่อาภรณ์สีขาวขับให้ผิวเนื้อผ้าส่องประกายกำลังนั่งเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ตรงกลางบันไดของเตียง อีกฝ่ายหันมองเขาทั้งๆ ที่ยังคงถือตำราเอาไว้ในมือ
เพราะรับรู้ถึงสายตาจับจ้อง เจ้าของอาภรณ์สีขาวจึงยกยิ้มบางพร้อมกับสบตาโซกัง ทันทีที่เห็นใบหน้า ร่างบางก็พลันเบิกตาโตขึ้น รูปลักษณ์งามสง่าทว่านุ่มนวล แต่ก็ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างประหลาด แน่ชัดแล้วว่าเป็นบุรุษชุดดำที่ตนพบในโรงอาบน้ำเมื่อวานนี้
“ท่านที่พบกันในโรงอาบน้ำเมื่อวานนี้สินะขอรับ”
“ยังไม่ได้สติดีสินะ”
“ขอรับ?”
“เปล่า ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง หากรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็กล่าวมา จะได้รีบเรียกหมอหลวงเข้ามาตรวจ”
ยามหลับใหลมั่นใจว่านอนอยู่บนเสื่อฟาง หากเมื่อลืมตาขึ้น ภายใต้เพดานหรูหรานี้กลับกลายเป็นเตียงนอน เพียงเท่านี้โซกังก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมากแล้ว ทว่าคำพูดจากปากของบุรุษผู้นี้กลับทำให้เขาตกใจเสียจนไม่อาจจะตกใจไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว จากที่ได้ยิน อีกฝ่ายพูดว่า ‘หมอหลวง’ อย่างแน่นอน โซกังกะพริบตาสองครั้งนิ่งๆ และพอเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงคิดจะชันตัวลุกทันที ทว่ามือใหญ่กลับกดลงบนแผ่นอก หากไม่ใช่ว่าบุรุษตรงหน้ารีบยื่นมือมาก่อน ร่างบางคงจะชันตัวลุกขึ้นมาคุกเข่าลงคำนับกับพื้นเตียงแล้ว
‘หมอหลวง’ คือคำเรียกขานหมอของวังหลวง สามารถใช้ได้เพียงแค่ภายในวังหลวงเท่านั้น ดังนั้น อย่างไรที่แห่งนี้ย่อมเป็นวังหลวงไม่ผิดแน่ และหากสามารถเรียกหาหมอหลวงตามใจชอบเช่นนี้ บุรุษผู้นี้อย่างน้อยย่อมต้องเป็นเชื้อพระวงศ์
แม้จะถูกกดหน้าอกให้เอนลงบนเตียงเช่นเดิมอย่างไร้ทางขัดขืน ทว่าโซกังก็ยังรั้นคิดจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับเอ่ยออกมา
“เจ้าป่วยด้วยพิษไข้มาหลายวัน ไม่ต้องใส่ใจเรื่องมารยาทนักหรอก ข้าดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีจนถึงกับจะลงโทษเจ้าหรืออย่างไรกัน”
“เอ่อ เรื่องนั้น… เดี๋ยวก่อน ท่านกล่าวว่าหลายวันหรือขอรับ”
ความทรงจำของเขาชัดเจนว่าเพิ่งพบคนตรงหน้าเมื่อวานนี้ และหลังจากชำระล้างช่วงล่างในน้ำเย็นชืดแล้ว ตนก็กลับเข้ามานอนในเรือนนอนหน่วยสาม ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ โซกังจึงจ้องมองด้วยแววตาสับสน
“ข้านอนหลับไปกี่วันหรือขอรับ”
“เกือบสี่วัน”
“นั่น…”
พูดออกมาไม่ทันจะจบ ภาพประหลาด ความทรงจำ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์ไม่คุ้นเคย พลันแวบผ่านมาในความคิด
ภาพตัวเขาถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนของเชื้อพระวงศ์ผู้นี้ ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากแนบชิด ของเหลวรสชาติขมปร่าไหลผ่านเข้ามาในปาก แม้มันจะไหลผ่านลงคอไปแล้ว ทว่าปลายลิ้นร้อนยังคงบดคลึงภายในปากคราแล้วคราเล่า สุดท้ายความขมปร่าและสัมผัสจากลิ้นอุ่นชื้นที่คล้ายหลงเหลืออยู่ในโพรงปากก็ทำให้โซกังเข้าใจผิดไป