จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 12-2
สตูดิโอที่เคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงเพลงปาเดอเดอของกัลแนร์และรังเดม มือที่จับลงบนเอวของฉันนั้นแทนที่จะเป็นมือของรุ่นพี่ฮยอนจุน แต่กลับเป็นมือของรุ่นพี่อีกงที่ฉันคุ้นเคย ความรู้สึกที่เหลือทิ้งเอาไว้ทำให้ฉันรู้สึกประหม่าและเต้นแข็งทื่อไม่เหมือนกับปกติ จนฉันคิดว่าวิญญาณของตัวเองน่าจะหลุดออกจากร่างไปซะแล้ว แม้ว่าจะเอาแต่จ้องตาของรุ่นพี่อยู่เรื่อยๆ แต่รุ่นพี่กลับไม่แสดงท่าทางอะไรออกมาให้ฉันเห็นเลยสักนิด
แอททิทูด เทิร์น แล้วก็แอททิทูดอีกครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น แขนของรุ่นพี่ที่โอบเอวของฉัน ก็คอยแต่จะทำให้หัวใจของฉันสั่นระรัว ภาพของตัวฉันที่ยืนแข็งทื่อจนดูน่าตลกนั่นสะท้อนอยู่ในกระจก
ฉันกัดฟันและพยายามมีสมาธิกับเสียงเพลง นี่คือการเต้นปาเดอเดอกับรุ่นพี่ที่ฉันใฝ่ฝันมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่นะ ถึงจะเป็นแค่การฝึก แต่ฉันก็ไม่อยากให้เวลาอันแสนล้ำค่านี้สูญไปอย่างเปล่าประโยชน์หรอก
ปาเดอเดอของกัลแนร์กับรังเดม สิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดความรู้สึกที่น่าตกตะลึง เพราะว่านี่คือตอนที่รังเดม ผู้เป็นพ่อค้าทาสจะต้องโชว์กัลแนร์ที่ถูกขายมาให้แก่พาช่าซึ่งเป็นมหาเศรษฐีดูเป็นครั้งแรก
จะต้องดูน่าหลงใหล แต่ก็ต้องไม่สะดุดตา นั่นคือเส้นที่ฉันต้องรักษาเอาไว้ แต่สำหรับฉันแล้ว การที่จะต้องแสดงอารมณ์แบบนั้นไปๆ มาๆ เป็นสิ่งที่ยากสุดๆ เลยล่ะ
“อ๊ะ…!”
ฉันที่ตะเกียกตะกายอยู่ภายในความคิดที่ยุ่งเหยิงถูกรุ่นพี่จับหมับเข้าให้ วินาทีนั้น สายตาที่บรรจบกันก็ทำให้ใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“มีสมาธิหน่อยสิ”
เสียงของรุ่นพี่ที่กระซิบเบาๆ ทำให้ฉันที่ตัวร้อนผ่าวขึ้นมา ต้องรีบจับมือของรุ่นพี่แล้วทำท่าต่อไปทันที ฉันเอามือมาขวางข้างหน้ารังเดมไว้ แล้วก็หันหลังกลับไป เหมือนจะเอื้อมถึงแต่ก็เอื้อมไม่ถึง
ใบหน้าของรังเดมเข้ามาใกล้มากขึ้น และกัลแนร์ก็ปฏิเสธเขา ก่อนจะหันหลังให้ แต่ทว่าแขนของรังเดมก็มาโอบกอดร่างกายเธอ ให้เธอต้องหันกลับมาสบตาอีกรอบ เธอหลบสายตา แล้ววิ่งหนีไกลออกไปจากรังเดมอีกครั้ง
ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การได้มาจับมือกับรุ่นพี่และถูกโอบกอดไว้ด้วยแขนของรุ่นพี่ มันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสุดๆ จนฉันรู้สึกสงสัยว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปกันแน่
ฉันที่อยู่ภายในกระจก กำลังหมุนตัวด้วยมือของรุ่นพี่ ก่อนที่เพียงพริบตาเดียวจะกระโดดลอยขึ้นไปกลางอากาศ แล้วจึงยืดมือไปผลักรุ่นพี่ออก พร้อมกับผละออกจากอ้อมอกนั้น
ในตอนนั้นเอง อยู่ดีๆ มือของรุ่นพี่ก็มาจับที่แขนของฉัน นั่นเลยทำให้ฉันร้องเสียงหลงออกมาขณะที่ล้มลงไปทางรุ่นพี่ เสียงดนตรีปาเดอเดอยังคงไม่สิ้นสุดลง ดวงตาของรุ่นพี่กำลังสั่นและเป็นประกายอย่างประหลาด เหนือไหล่ของรุ่นพี่มีใบหน้าของฉันที่กลายเป็นสีแดงแจ๋สะท้อนอยู่ที่กระจก
“…มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องหลังจากที่เสียงดนตรีจบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันเลยทำให้เสียงของรุ่นพี่ดังชัดเจนมากยิ่งขึ้น และน่าแปลกที่เสียงนิ่งๆ ของรุ่นพี่กลับดูสั่นเล็กๆ เช่นเดียวกับดวงตาของรุ่นพี่ที่กำลังจ้องฉันเขม็ง ฉันบรรเทาความร้อนที่แผดเผาลำคอด้วยการกลืนน้ำลายลงไป
“ดูท่าจะต้องระวังตัวไว้แล้วแฮะ”
รุ่นพี่ยังคงพึมพำออกมาด้วยเสียงสั่นๆ ก่อนที่จู่ๆ จะดึงเอวของฉันแรงยิ่งขึ้น ฉันที่ถูกดึงไปจนแนบชิดตัวติดกับรุ่นพี่แบบนั้นจึงสะดุ้งตกใจ พร้อมกับมองไปรอบๆ แต่ว่ารุ่นพี่กลับทำเป็นไม่สนใจแล้วเอาหน้าซุกเข้าที่ต้นคอของฉันที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ระ รุ่นพี่”
“แป๊บนะ”
ทันทีที่ลมหายใจอุ่นๆ ของรุ่นพี่สัมผัสลงบนต้นคอ ฉันก็ทำได้เพียงแค่ยืนตัวแข็งทื่อ และเต็มไปด้วยความประหม่า ความรู้สึกเสียววาบแล่นจากหัวไปจนถึงนิ้วเท้า ทุกซอกทุกมุมของร่างกาย หลังของรุ่นพี่ที่สะท้อนอยู่ในกระจกดูงอเล็กน้อย เป็นเพราะว่าเขากำลังกอดฉันที่ตัวเล็กกว่า นั่นเลยเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแผ่นหลังแน่นๆ ของรุ่นพี่ภายใต้เสื้อยืดบางๆ
“ไม่น่าให้เป็นเลย ให้ตายสิ”
“…คะ?”
“กัลแนร์น่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกร้อนวาบขึ้นมา ฉันทำได้ไม่ดีงั้นเหรอ จริงๆ งั้นสินะ หัวใจที่เคยเต้นรัวไม่หยุดกลับนิ่งลงเหมือนกับโดนสาดด้วยน้ำเย็น ทั้งที่ฉันพยายามแล้วแท้ๆ ทั้งๆ ที่ฉันพยายามฝึกซ้อมแทบตายเพราะอยากจะได้รับคำชมจากรุ่นพี่แท้ๆ
“ถ้าพี่รู้ว่าเธอจะสวยขนาดนี้ พี่คงจะไม่ยอมให้เธอเป็นหรอก”
“…คะ?”
คำพูดที่ไม่คาดคิดของรุ่นพี่ทำให้ฉันมองหน้ารุ่นพี่นิ่ง เอ่อ คือว่า ตอนนี้รุ่นพี่กำลังชมฉันอยู่งั้นเหรอ ฉันที่กำลังสับสนอยู่ ไม่อาจจะเข้าใจความหมายในคำพูดของรุ่นพี่ได้เลยสักนิด
รุ่นพี่เงยหน้าที่เคยซบอยู่ที่ต้นคอของฉันขึ้นมา แล้วเหลือบมองฉัน อ่า พอสบตากับดวงตาสีดำสนิทนั่นแล้ว ฉันก็แทบจะหยุดหายใจ
“ตอนนี้เธอน่ะ สวยสุดๆ เลยล่ะ”
“…เอ๋?”
“ตายๆ พี่ตายแน่ๆ”
นาทีนั้นอย่างกับว่าทั่วทั้งตัวของฉันร้อนวูบวาบไปหมด ใบหน้าของฉันที่ถูกสายตาของรุ่นพี่จ้องมอง เอวของฉันที่ถูกแขนของรุ่นพี่โอบกอด และร่างกายที่แนบชิดกันจนไม่มีช่องว่างนั่นร้อนรุ่มอย่างกับถูกไฟเผา
เพราะนี่คือบทที่รุ่นพี่มอบให้ฉัน เพราะนี่คือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้ยืนอยู่บนเวทีเดียวกันกับรุ่นพี่ ฉันจึงอยากจะสวยในสายตาของรุ่นพี่ยิ่งกว่าใครๆ
ถึงจะไม่สามารถเป็นกัลแนร์ที่ดีที่สุดได้ แต่ฉันก็จะเต้นเป็นกัลแนร์ให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ หรือความพยายามของฉันจะเห็นผลขึ้นมานิดนึงแล้วนะ
รูปตาที่เรียวยาวของรุ่นพี่รับกับแสงไฟแล้วสร้างเป็นเงาลึกขึ้นมา คิ้วที่เป็นระเบียบของรุ่นพี่กำลังสั่นไหวเล็กๆ
“พี่อยากเก็บไว้ดูแค่คนเดียวจัง ทำไงดีน้า”
ใบหน้าของรุ่นพี่วาดรอยยิ้มเหนื่อยๆ ออกมาพร้อมกับความเสียดายเล็กๆ นี่รุ่นพี่ถึงขนาดพูดคำที่หวานจนฟังแล้วรู้สึกจะเป็นลมแบบนี้ออกมาเลยเหรอ ให้ตายสิ รุ่นพี่ต่างหากล่ะที่เล่นผิดกติกาน่ะ ขี้โกงสุดๆ เลยล่ะ
“จะให้เอาตรามาปั๊มไว้ว่าเป็นของพี่ก็ไม่ได้ซะด้วยสิ”
ตรงใบหน้าที่ร้อนผ่าวเหมือนจะถูกเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่านซะเดี๋ยวนั้น มีฝ่ามือเย็นๆ ของรุ่นพี่วางทาบอยู่ แล้วต่อจากนั้นในพริบตา รุ่นพี่ก็ก้มลงมาจุ๊บลงตรงหน้าผากของฉัน รอยยิ้มของรุ่นพี่และสัมผัสเบาบางนั่นยังคงทิ้งความอบอุ่นเอาไว้ให้
กลิ่นอ่อนๆ ของคืนกลางฤดูร้อนกำลังโชยอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว ต่อให้เป็นคอที่แห้งเพราะหิวน้ำก็ยังมีรสชาติเหมือนคืนกลางฤดูร้อน ทั้งที่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแท้ๆ แต่พอทำแบบนี้กับรุ่นพี่ทีไร ก็จะให้อารมณ์เหมือนอยู่ในฤดูร้อนตลอดเลย
“ทำยังไงดีนะ”
เสียงงึมงำอย่างอ่อนแรงของรุ่นพี่ช่างหวานละมุน
“ต่อให้บอกว่าชอบสักกี่สิบรอบ เธอก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด”
และก็มักจะคอยกระตุ้นหัวใจของฉันอยู่ตลอด
“พี่เลยต้องกลายเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เพราะคิดว่าหัวใจของพี่คงจะสื่อไปถึงเธอได้น่ะ”
เป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากของรุ่นพี่ประทับลงที่หน้าผากและแก้มของฉัน สัมผัสชั่วขณะนั้นทำให้สติของฉันเริ่มจะเลือนราง ให้ตายเถอะ รุ่นพี่ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบจนเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาเลย
“…รุ่นพี่น่ะ อย่างกับนักสะกดจิตเลยนะคะ”
ฉันพูดลอยๆ ออกไปแบบนั้น ทำให้รุ่นพี่หัวเราะคิกคักออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า ถ้าเป็นงั้นก็ดีน่ะสิ
* * *
ระหว่างที่ฉันเดินจับมืออยู่กับรุ่นพี่ในตรอกที่เริ่มจะมืดขึ้นเรื่อยๆ หน้าอกที่แน่นจนบอกไม่ถูกทำให้ฉันไม่สามารถพูดคำใดๆ ออกไปได้เลย ลมในตอนเย็นๆ ของฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็นได้พัดผ่านจนผมของฉันปลิวไปตามสายลมและเริ่มพันกันยุ่ง
“ตอนกลางคืนนี่มันน่ากลัวเนอะ”
จู่ๆ รุ่นพี่ก็เปิดบทสนทนาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันจึงรอคำพูดต่อไปอย่างนิ่งเงียบ
“อยู่ดีๆ มันก็รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างกับว่าวันพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นมาอีกน่ะ พออาทิตย์ขึ้นก็จะรู้สึกวางใจลง แต่อีกใจหนึ่งก็จะอยากรีบให้มันมืดเร็วๆ อีก”
“…ฟังดูซับซ้อนจังเลยนะคะ”
“ฮ่าๆ งั้นเหรอ”
รุ่นพี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะหยุดเดินแล้วรั้งให้ฉันหยุดเดิน ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟถนนนั้นดูน่าหวาดหวั่นโดยไม่รู้สาเหตุ เหมือนกับกลางคืนที่รุ่นพี่กำลังพูดถึง
“ฮวีกยอม”
เสียงของรุ่นพี่ที่เรียกชื่อของฉันฟังดูสุขุมและเยือกเย็น ใบหน้าของรุ่นพี่ตอนไม่ยิ้มและมืออันแข็งแกร่งของเขาที่จับมือฉันเอาไว้แน่น ทำให้ฉันรู้สึกประหม่าขึ้นมาดื้อๆ กลิ่นของใบไม้แห้งลอยมาพร้อมกับสายลมที่พัดมาอีกครั้ง
“พี่รักเธอนะ”
วินาทีนั้นราวกับเวลาได้หยุดลง ฉันลืมแม้กระทั่งหายใจ ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ
“พี่ไม่รู้ว่าหัวใจของพี่สามารถถ่ายทอดคำๆ นี้ออกไปได้หรือเปล่า พี่เลยอยากจะพูดมันออกมาน่ะ”
“…”
“ว่าพี่รักเธอ”
รุ่นพี่ยังคงไม่เผยรอยยิ้มออกมา ทั้งรูปตาเรียวยาวของรุ่นพี่ และตาสีดำสนิทที่กำลังจ้องมองฉันอย่างไม่สั่นไหวราวกับจะทำให้เวลาของที่ตรงนั้นหยุดลง คำพูดคำนั้นที่ฉันเฝ้าฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลาที่ผ่านมา ไหลผ่านออกมาจากริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ขยับเป็นภาพสโลว์โมชั่น คำนั้นคือคำว่า รัก
รุ่นพี่จะรู้หรือเปล่านะว่าความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ มันยิ่งใหญ่และลึกล้ำขนาดไหน ถ้าฉันเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับรุ่นพี่แล้ว ฉันจะรู้จักมันไหมนะ ไม่รู้เลยแฮะ
แต่นี่มันก็ชัดเจนในตัวของมันนะ คำว่ารักของรุ่นพี่ที่นอกจากจะไม่สั่นไหวเลยสักนิดแล้ว มันยังฟังดูเท่ยิ่งกว่าคำพูดที่ฉันพูดคนเดียววนอยู่ตั้งหลายรอบนั่นเสียอีก
ฉันไม่ได้ตอบกลับคำพูดคำนั้นออกไป คงเป็นเพราะฉันไม่อาจจะพูดมันออกไปได้เท่ขนาดนั้นแน่ๆ แต่ว่า… ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกจากใจของตัวเองออกไปอยู่ดี ก็ฉันไม่อยากจะเป็นแฟนที่ดูงี่เง่าอยู่แบบนี้นี่นา
ฉันรวบรวมพลังเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกายมาเป็นความกล้า แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหารุ่นพี่อย่างช้าๆ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าแล้วสวมกอดรุ่นพี่เอาไว้ คอของรุ่นพี่ที่สูงเกินไปสำหรับฉันโค้งลงมา พร้อมกับรุ่นพี่ที่โอบกอดฉันเอาไว้
ฉันใช้พลังที่มีโอบคอของรุ่นพี่เอาไว้แน่น ด้วยความหวังที่จะส่งผ่านน้ำหนักของความรู้สึกที่ไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้
“…อยากจะให้ค่ำคืนนี้หยุดอยู่อย่างนี้จังเลย”
รุ่นพี่พึมพำข้างๆ หู พลางยิ้มเล็กๆ ใช่ค่ะ ฉันจึงพูดเสริมกลับไป อยากจะให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้จริงๆ ถึงดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้น แต่นี่ก็ยังเป็นค่ำคืนที่ทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ดี
* * *
หอประชุมของโรงเรียนกำลังจัดเวทีสำหรับงานแสดง ฉากที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ ภายใต้เสียงที่ดังเจี๊ยวจ๊าวนั้นทำให้ฉันตื่นเต้นจนฮัมเพลงออกมาขณะที่มุ่งหน้าไปทางห้อมซ้อมเต้นสาม และวันนี้ก็เป็นวันลองชุดที่เพิ่งเสร็จพอดี
ฉันรีบเปลี่ยนเป็นชุดฝึก แล้วเปิดประตูห้องซ้อมจนอ้ากว้างอย่างมั่นใจด้วยความคิดว่าตัวเองน่าจะไปถึงเป็นคนแรก แต่ฉันกลับต้องสะดุ้งตกใจ และยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้เห็นคนที่คาดไม่ถึงยืนอยู่ในห้องซ้อม
“สะ สวัสดีค่ะ…”
รุ่นพี่โซยอนมาถึงห้องซ้อมก่อนฉัน รุ่นพี่โซยอนที่อยู่ในชุดลีโอตาร์ดสีดำแล้วคลุมทับด้วยเสื้อยืดบางๆ หันกลับมามองฉันที่เปิดประตูเข้ามาเสียงดัง ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ กลับมาให้แบบที่ไม่สมกับเป็นตัวรุ่นพี่เลยสักนิด
นั่นเลยทำให้ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ฉันจึงปิดประตูเบาๆ แล้วเดินเข้ามาเงียบๆ แต่สายตาของรุ่นพี่ที่ทิ่มแทงมาที่ฉันก็เล่นเอาเหมือนจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาจริงๆ
“มาเร็วจังเลยนะคะ”
ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ฉันจึงแกล้งทำเป็นชวนคุยด้วยความสดใส แต่รุ่นพี่โซยอนกลับตอบกลับมาสั้นๆ เพียงแค่คำว่า อืม แล้วก็ยังคงจ้องมองหน้าของฉันจนแทบจะทะลุเหมือนเดิม อะไรกัน บนหน้าฉันมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ
พอคิดอะไรแปลกๆ อย่างนั้นขึ้นมา ฉันก็ส่องกระจกเพื่อพิจารณาดูใบหน้าของตัวเองอย่างละเอียด แต่แล้วจู่ๆ เสียงของรุ่นพี่โซยอนก็ดังแหวกอากาศในห้องซ้อมขึ้นมา ปักเข้าที่หูของฉันเหมือนกับเข็ม
“เธอคบกับรุ่นพี่อีกงงั้นเหรอ”
ฉันเผลอปล่อยกระเป๋าที่ถือเอาไว้หลุดมือ พร้อมกับหันไปมองรุ่นพี่โซยอนด้วยสีหน้าตกใจ เอ่อ ทำไมตาของรุ่นพี่โซยอนถึงได้ดูเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งอย่างนั้นนะ
รุ่นพี่จ้องมองนิ่งๆ มาที่ใบหน้าของฉันซึ่งแข็งทื่อไปด้วยความขนลุกขนพอง สายตาเย็นๆ ของรุ่นพี่จ้องมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาที่แสดงความเป็นศัตรูนั่นกำลังทำให้ฉันเสียวสันหลังไปหมด
“…ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากอันอวบอิ่มของรุ่นพี่โซยอนที่ขยับอย่างช้าๆ นั้น เป็นน้ำเสียงประหลาดที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ชั่วขณะหนึ่งเลือดทั่วทั้งตัวอย่างกับจะไหลออกไปทางนิ้วมือ
ใบหน้าที่เรียบร้อยและใสซื่อนั่น รุ่นพี่โซยอนแสยะยิ้มที่เยือกเย็นอย่างน่าเหลือเชื่อกลับมา ก่อนจะขยับหัวเบาๆ แล้วหัวเราะหึออกมา
“เธอนี่มันข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรงนี่เอง ข้างนอกกับข้างในนี่แตกต่างกันสุดๆ ไปเลยนะ”
“…คะ?”
ฉันรู้สึกมึนงงซะจนเริ่มเวียนหัวขึ้นมา รุ่นพี่ไม่หันมามองฉันเลยสักนิด ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงกับที่เพื่อเริ่มต้นวอร์มร่างกาย พร้อมกับพูดขึ้นมาลอยๆ เป็นการพึมพำที่ราวกับว่าฉันไม่ได้มีตัวตนอยู่ในที่ตรงนั้น
“ดูๆ ไปก็ไม่ได้มีอะไรดีเด่สักอย่างแท้ๆ ใช้วิธีไหนจับรุ่นพี่อีกงไว้ได้กันแน่นะ”
“…”
“หรือว่ารสนิยมของรุ่นพี่อีกงจะต่ำไปหน่อย”
รุ่นพี่โซยอนค่อยๆ อ้าขาออกแล้วก้มตัวลงไป ก่อนที่จะเอนตัวขึ้นพลางจ้องเขม็งมาทางฉัน ฉันยังคงยืนแข็งเป็นหินอยู่ตรงที่เดิมโดยที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ แต่ละที่บนร่างกายที่ถูกสายตาของรุ่นพี่จ้องมองมามันให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างกับมีแมลงมาบินวนไปมา
“ก็ไม่รู้หรอกว่าจะไปกันได้ยืดสักแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมรุ่นพี่อีกงถึงคบด้วย แต่ก็อย่าได้ใจไปหน่อยเลย เข้าใจไว้ด้วยล่ะ”
สีหน้ากับน้ำเสียงที่บูดบึ้ง และแววตานั่น ผูกมัดตัวฉันเอาไว้ราวกับโซ่ตรวน แต่แล้วตอนนั้นเอง ทันทีที่ประตูเปิดออก แล้วรุ่นพี่คนอื่นๆ ทยอยกันเข้ามา ฉันก็รีบหันหน้าหนี พร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าใสซื่อของรุ่นพี่โซยอนตอนที่หันมายิ้มสวยๆ ให้กับพวกรุ่นพี่สะท้อนเข้ามาในกระจก
“…เหลือเชื่อจริงๆ”
จู่ๆ ฉันก็นึกถึงคำที่เซจินเคยพูดกับฉันเมื่อนานมาแล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงน่ะ ดูแค่หน้าไม่รู้ใจหรอก แม้แต่เซจินที่เป็นคนพูดเอง หรือฉันที่เป็นคนฟังก็เป็นผู้หญิงแท้ๆ พอพูดคำแบบนั้นออกมาเองแล้ว ในตอนนั้นยังรู้สึกว่าไร้สาระจนต้องขำออกมาเลย แต่พอได้มาเจอเข้ากับเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจคำพูดคำนั้นขึ้นมาจริงๆ ภายในหัวมันกลับขาวโพลน และรู้สึกอย่างกับโดนหมัดลอยใส่หน้า
รู้สึกเหมือนกับว่าเสียงวิ้งๆ จะดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันเอานิ้วมือค่อยๆ กดลงเบาๆ ที่ใต้หูซึ่งเจ็บแปล๊บๆ พลางปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาเฮือกใหญ่ แต่หัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้นมากลับไม่ยอมสงบลงเลยแม้แต่น้อย