จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 9-1 คำที่ไม่ได้เอ่ยออกไป
กว่าจะรู้ตัว ปฏิทินก็บอกเวลาเดือนสิงหาคมแล้ว แม้จะเริ่มปิดเทอม แต่ไฟแห่งการฝึกซ้อมอย่างตั้งอกตั้งใจสำหรับงานแสดงก็ยังคงไม่มอดลงไปจากห้องฝึกซ้อม
ในตอนบ่าย ฉันแวะไปที่ห้องซ้อมเต้นหนึ่งเพื่อยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะมีการแยกซ้อมเป็นทีม ฉันที่กลายสภาพเป็นปลาตากแห้งเพราะเหนื่อยจากความร้อน กำลังนอนอยู่ที่พื้นห้องซ้อม ขณะที่ใช้มือทำเป็นพัดเพื่อทำให้ใบหน้าที่ร้อนวาบขึ้นมาเย็นลง
ที่จริง แม้ว่าจะคบกันอย่างเป็นทางการแล้ว ฉันกับรุ่นพี่ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเลยสักนิด พวกเรายังคงไปโรงเรียนด้วยกัน ส่งข้อความหากัน ซ้อมด้วยกัน แล้วก็ยังกลับบ้านด้วยกัน พวกเราปล่อยมือที่จับกันอยู่ตรงหน้าบ้านด้วยความรู้สึกเสียดาย พร้อมกับบอกลาด้วยคำว่า ลาก่อน แล้วก็คุยกันสั้นๆ ก่อนเข้านอน
แต่ว่าสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นที่ฉันเริ่มคุ้นชินกับมัน ทำให้ฉันได้รู้ว่าพวกเรากำลังตกหลุมรักกันและกันอยู่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับฉัน อารมณ์ต่างๆ ที่เคยหลงเหลือความเจ็บปวดทิ้งเอาไว้ ตอนนี้มันได้กลายเป็นความสุขที่ทำให้ใจเต้นรัว ในหัวของฉันยังคงคิดอยู่เลยว่านี่เป็นแค่ความฝัน นั่นเลยทำให้ฉันไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ต้องขอบคุณที่นั่นทำให้ฉันมักจะหยิบกล้องสลับลายที่ห้อยอยู่ที่โทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คดูจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ฉันทั้งอ่านข้อความที่ส่งมาจากรุ่นพี่เป็นสิบๆ รอบ ทั้งจ้องมองดูชื่อของรุ่นพี่ปรากฎขึ้นมาบนประวัติการโทรอย่างไม่วางตา และพอถึงตอนนอนฉันก็จะขอพร ว่าแม้จะผ่านคืนนี้ไป ก็ขออย่าให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ฝัน
“ร้อน ร้อนจริงๆ!”
เซจินที่เพิ่งจะเปิดประตูเดินเข้ามา ส่งเสียงโหวกเหวกจนทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ เซจินเดินโซซัดโซเซเหมือนกับคนจะล้มมาทางฉัน แล้วนอนราบลงกับพื้น เธอยังใส่เสื้อนักเรียนทับชุดลีโอตาร์ดสีชมพูอ่อนอยู่เลย พอฉันติดกระดุมที่คลายอยู่ให้ เซจินก็บ่นว่า ก็บอกว่าร้อนไง ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ถึงงั้นก็เลิกเดินไปมาทั้งที่ไม่เรียบร้อยอย่างนี้ซะทีเถอะ”
“นี่เธอคิดว่าชุดซ้อมเป็นเสื้อชั้นในหรือไง”
แม้ว่าเซจินจะทำหน้างอน แต่เธอก็ไม่ได้ปลดกระดุมที่ฉันติดให้ออก ใบหน้าด้านข้างของเซจินดูจะแดงขึ้นเพราะความร้อน ฉันค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเอาหลังพิงเข้ากับกระจกเพื่อเริ่มวอร์มอัพ หลังจากนั้นเซจินจึงค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาจากพื้นอย่างอืดอาดยืดยาด แล้วนั่งหันหน้าเข้าหาฉัน ก่อนจะดึงแขนฉันเพื่อทำการยืดเส้น ขณะเดียวกันก็ถามด้วยเสียงเบาๆ
“หมู่นี่เธอเจออีเซบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นะ ทำไมเหรอ”
สีหน้าของเซจินที่จู่ๆ ก็เปิดประเด็นเรื่องอีเซขึ้นมาดูบิดเบี้ยวไปอย่างประหลาด พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว หลังจากที่เข้าสู่ช่วงปิดเทอม ฉันก็ไม่เห็นอีเซอีกเลย ทั้งที่อีเซเป็นคนที่ตั้งอกตั้งใจซ้อมอยู่เสมอ แม้จะไม่ใช่การฝึกซ้อมทีมก็ตาม
“หมอนั่น หมู่นี้ทำตัวแปลกๆ น่ะ”
ฉันพยักหน้าเล็กๆ เป็นการแสดงว่าตัวเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของเซจิน หลังจาก ‘วันนั้น’ อีเซก็คอยแต่หลบหน้าฉันกับเซจิน ไม่ใช่สิ ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจง เหมือนกับว่าหมอนั่นกำลังหลบหน้าฉันคนเดียวเสียมากกว่า
ถึงจะเจอกันที่โรงเรียน หมอนั่นก็จะทำเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ แล้วก็ทักทายเท่านั้น นอกจากจะไม่ชวนคุยเหมือนที่ทำตามปกติแล้ว คนที่มักจะยิ้มอย่างร่าเริงแบบหมอนั่น กลับไม่ค่อยจะยิ้มออกมาให้เห็น จนแทบจะไปคล้ายกับสีหน้าเบื่อโลกของซูฮยอนอยู่แล้ว
“ขนาดตอนซ้อม หมอนั่นก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำ”
“…จริงเหรอ”
“อือ พอถาม ก็ตอบอยู่หรอก แต่ตัวเองจะไม่เป็นฝ่ายพูดก่อน ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ”
คำพูดพึมพำไร้สาระของเซจินที่บอกว่า หรือจะถึงวัยแตกเนื้อหนุ่มกันนะ ทำให้ฉันหัวเราะออกมา มันจะน่าเบื่อขนาดไหนกันนะ ถ้าไม่มีเพื่อนขาเม้าท์แบบเซจินอยู่ด้วย แต่ว่าถ้าเป็นฉัน ฉันเองก็คงจะรู้สึกอึดอัดเช่นกันเพราะไม่รู้ว่าทำไมอีเซถึงได้เปลี่ยนไป
พวกเราวอร์มอัพกันอย่างเงียบๆ สักพัก แต่แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงพื้นก็สั่นอย่างแรง ฉันรีบเช็คโทรศัพท์โดยทันที และแน่นอน เป็นรุ่นพี่อีกงนั่นเอง ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซจินจ้องมองฉันที่แสดงท่าทีแบบนั้น ก่อนจะเสียบหลอดลงไปในขวดน้ำที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน แล้วจึงใส่หลอดเข้าปากพลางบ่นพึมพำ
“แฮปปี้สินะ”
“…หือ”
“ฉันถามว่ามีแฟนแล้วแฮปปี้สินะ”
“…นี่”
“ชิ ยัยตัวแสบ”
เซจินกัดหลอดด้วยฟันหน้าแล้วเคี้ยวหลอดไปมา ก่อนจะบิดขี้เกียจพลางบ่นลอยๆ ในตอนที่ฉันเปิดเผยว่าคบกับรุ่นพี่อีกงอยู่ เซจินพูดออกมาเพียงแค่คำเดียวว่า ยัยตัวแสบ หลังจากนั้นก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด
พอนั่งลงปุ๊บ ยัยตัวแสบ ยัยตัวร้าย ถึงฉันจะเกลียดอยู่บ้างที่เซจินเรียกเหมือนเป็นการหยอกล้อ แต่มันน่าประหลาดใจตรงที่ว่า ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้น และคิดว่านั่นเป็นเหมือนการได้รับการยอมรับในความสัมพันธ์ของฉันกับรุ่นพี่อีกง ว่าพวกเรากำลังคบกันอยู่จริงๆ
“เขาว่าไง”
“หือ”
“ข้อความจากรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอ”
“หา อ่อ เขาบอกว่าอีกเดี๋ยวเจอกันน่ะ”
ฉันยิ้มแห้งๆ พร้อมกับวางโทรศัพท์มือถือลง เซจินมองมาที่ฉัน ก่อนจะทำหน้างอนอีกครั้ง เธอถอนหายใจแล้วใส่หลอดดูดน้ำเข้าปากอีกครั้ง ฉันรู้สึกกังวลที่หมู่นี่เซจินไม่ค่อยจะกินอะไรเลย จึงค้นดูกระเป๋าที่วางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องซ้อม แล้วหยิบขนมปังขึ้นมาแอบยื่นให้เซจิน แต่เซจินกลับส่ายหัวปฏิเสธ พร้อมกับพูดเสียงเบาๆ ว่า ไม่หิว
“ยังงดคาร์โบไฮเดรตอยู่อีกเหรอ”
“ไม่ใช่งั้นหรอก ฉันไม่หิวจริงๆ น่ะ”
“แล้วจะทนซ้อมไหวเหรอ”
“…ยังไงก็ต้องไหวแหละน่า”
“หน็อยแน่ คิมเซจิน”
“ยัยเจ๊นี่ หมู่นี้ขี้กังวลจังเลยแฮะ”
เซจินผละปากออกจากหลอดหลังจากที่ได้ยินเสียงดูดน้ำจนหมด แล้วโต้ตอบออกมาด้วยเสียงเนือยๆ พอมาลองคิดดูแล้ว หมู่นี้เธอดูจะถอนหายใจบ่อยอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อความกังวลของฉันคลี่คลายไปแล้ว หรือมันจะถึงตาของเซจินกันนะ ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด ฉันจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง เซจินจึงยิ้ม พลางบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก แล้วจึงลูบหัวฉัน อะไรกัน แปลกชะมัด อย่างกับไม่ใช่คิมเซจินเลยสักนิด
* * *
“เขาก็คงจะจัดการได้ด้วยตัวเองแหละ”
ระหว่างที่เดินมายังห้องซ้อมเต้นสามเพื่อฝึกซ้อมบัลเลต์เรื่อง Le Corsaire ฉันได้พูดถึงอาการของเซจินในช่วงนี้ให้รุ่นพี่ฟัง แต่รุ่นพี่กลับทำเพียงแค่ยิ้มราวกับว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร พร้อมกับลูบหัวฉัน
“แต่ว่า…”
รุ่นพี่จ้องเขม็งมาที่ฉันที่ยังคงมีสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะหยิกแก้มฉันเบาๆ
“ถ้าเธอเอาแต่เป็นแบบนี้ เซจินจะไม่ยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมเหรอ ในเมื่อเซจินเป็นเด็กที่ซื่อตรง เดี๋ยวเขาก็หาทางจัดการได้เองแหละน่า”
คำพูดของรุ่นพี่มันก็ถูกจริงๆ นั่นแหละ เซจินน่ะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง บางทีฉันอาจจะแค่รู้สึกเสียใจที่เซจินไม่ยอมเล่าเรื่องกลุ้มใจให้ฉันฟัง แล้วเอาแต่เศร้าเสียใจไปคนเดียวอยู่ก็ได้ เซจินเป็นคนแบบนั้นแหละ ถึงแม้ว่าเธอจะทำตัวแข็งกระด้างต่อหน้าคนอื่น แต่ที่จริงแล้ว เธอก็เป็นแค่พวกที่ไม่ชอบเล่าความในใจให้ใครฟัง แม้แต่กับฉันที่รู้จักและคบกันมานานก็ตาม
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณแม่ของเซจินป่วยหนัก แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีถึงขนาดที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ตาม แต่เซจินก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาเลยสักนิดเมื่ออยู่ที่โรงเรียน พอหลังจากที่คุณแม่ของเธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เธอถึงจะเล่าเรื่องให้ฟังเหมือนมันเป็นเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก แล้วก็บอกว่า แม่ของฉันป่วยเพิ่งหายน่ะ
เหมือนวันนั้นจะเป็นครั้งแรกที่ฉันทะเลาะกับเซจิน ฉันถามออกไปว่า ทำไมไม่เล่าเรื่องแบบนั้นให้คนที่เป็นเพื่อนอย่างฉันฟังล่ะ ฉันยังจำได้รางๆ อยู่เลยว่ารู้สึกโกรธแล้วก็เศร้าใจแค่ไหน
“เอาล่ะ มาซ้อมกันเถอะ”
เสียงปรบมือสั้นๆ ของรุ่นพี่อีกงทำให้ฉันตื่นขึ้นมาจากความคิดเพียงชั่วครู่นั้น ในตอนนี้ร่างกายของฉันคุ้นเคยกับเสียงดนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงกลายเป็นการเต้นที่ต่อให้ฉันไม่มีสติ ร่างกายก็ยังคงขยับไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันค่อยๆ ยกแขนขึ้นพลางตั้งท่า
แม้แต่การเต้นปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ฮยอนจุน ฉันก็ยังสามารถเต้นได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน ระยะการเคลื่อนที่ที่ถึงจะหลับตาลง แต่ร่างกายก็ยังสามารถจดจำและไปยังตำแหน่งได้ถูกต้อง
ฉันจับมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของรุ่นพี่ฮยอนจุน พร้อมกับสงบจิตสงบใจลงอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเพ่งสมาธิไปกับเสียงดนตรี ส่วนพัดลมก็ยังคงหมุนไปมาและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้อากาศที่ร้อนผ่าวในห้องซ้อมเต้นเย็นลง แม้แต่สักนิดก็ยังดี