จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 8-1 เข้าใกล้
ปกติฉันมักจะแอบมองรุ่นพี่อีกงอยู่แล้ว แต่วันนี้ฉันกลับจ้องมองเขาอย่างออกนอกหน้าจนแม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกได้ แต่ว่าที่น่าแปลกคือ แทนที่ฉันจะสบตากับรุ่นพี่อีกง ฉันกลับได้สบตากับรุ่นพี่โซยอนมากกว่าเสียอีก
ขณะที่กำลังแสดงปาเดอเดออยู่กับรุ่นพี่โซยอน รุ่นพี่อีกงเอาแต่ทำหน้าขรึม ทันทีที่รุ่นพี่เดินเข้ามาในห้องซ้อม อีเซที่เดินตามหลังมาก็รั้งตัวรุ่นพี่เอาไว้แล้วพากันเดินออกไปข้างนอกสักพัก พอรุ่นพี่กลับเข้ามา รุ่นพี่ก็เอาแต่ทำหน้าขรึมอยู่แบบนั้น นั่นเลยทำให้ฉันเห็นได้ชัดเจนว่ารุ่นพี่โซยอนเองก็กำลังสังเกตสีหน้าของรุ่นพี่อีกงอยู่เหมือนกัน
‘รุ่นพี่ เดตล่ะ เป็นยังไงบ้าง’ พวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ต่างถามขึ้นมาอย่างหยอกล้อ แต่รุ่นพี่กลับตอบออกมาว่า อย่ามัวแต่พูดเรื่องไร้สาระ ตั้งใจฝึกซ้อมเข้าสิ และถึงจะล้ออย่างไร ตาของรุ่นพี่ก็ไม่ยิ้มเลยสักนิด ฉันที่รู้สึกกระวนกระวายใจ จึงกัดริมฝีปากเสียจนเลือดไหล และแสบไปหมด
แวบหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้ถึงสายตาของรุ่นพี่อีกงที่กำลังยืนคุยกับรุ่นพี่คนอื่นๆ อยู่ห่างออกไปหน่อย ฉันจึงหันหน้าไปมอง แต่สายตาของรุ่นพี่กลับกำลังมองไปยังที่ที่ว่างเปล่า ทำไมที่มุมหนึ่งของหัวใจมันถึงได้ร้อนวูบขึ้นมากันนะ เป็นอีกครั้งที่ฉันทนแทบไม่ไหว ฉันกัดริมฝีปากล่างเบาๆ
จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษก็ได้นะ คำพูดของรุ่นพี่อีกงเมื่อคืนน่ะ ฉันที่จู่ๆ ก็รู้สึกแสบร้อนขึ้นมารอบๆ ดวงตา ได้แต่กำบาร์จนรู้สึกเจ็บมือ
“โอ๊ย”
อยู่ดีๆ หูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ความเจ็บแล่นมาจากภายในร่างกายจนทำให้ฉันถึงกับนิ่วหน้า เสียงดนตรีเบาลงไปอีกแล้ว ฉันส่ายหัว แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ ที่ตรงหน้านั้น มีรุ่นพี่อีกง และรุ่นพี่โซยอนกำลังยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่
ตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่หนึ่งเดือนกับสองสัปดาห์ก็จะถึงวันแสดงแล้ว แต่ทั้งความอึดอัดที่มาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งหัวใจที่กระสับกระส่าย ฉันก็ไม่กล้าโทษว่าเป็นเพราะรุ่นพี่อีกงหรอก เพราะสำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรหรือต้องใช้วิธีใด ฉันจะต้องแสดงออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้น
ฉันตบแก้มตัวเองด้วยฝ่ามือ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ จับบาร์ แล้วตรวจเช็คท่าทาง เสียงดนตรีเริ่มกลับมาอีกครั้ง กว่าจะรู้สึกตัว ตะวันก็คล้อยลงต่ำจนเกิดเป็นเงาสีส้มบนพื้นห้องซ้อมเต้น
“ขอบคุณนะคะ”
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไรกับรุ่นพี่เลยสักคำ และการซ้อมก็จบลงเรียบร้อย ฉันที่รู้สึกปวดร้าวใจจากสายตาที่เอาแต่หลบไปทางอื่นอย่างน่าประหลาด จึงหยุดที่จะไล่ตามรุ่นพี่ด้วยสายตา ฉันโค้งลารุ่นพี่ทุกคนที่ค่อยๆ ออกจากห้องซ้อมเต้น แสงสีส้มที่สาดส่องลงมาพร้อมกับความเงียบงันยังคงหลงเหลืออยู่ราวกับสีที่ติดอยู่บนพื้นห้องซ้อมอันว่างเปล่า
ฉันหันหลังกลับไปหยิบไม้ถูพื้นเพื่อจะทำความสะอาด แต่เงาที่ทอดยาวตามแสงอาทิตย์สีส้มก็พาดผ่านมาจากทางด้านหลัง ความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่รู้มาจากไหนทำให้ฉันหันหน้ากลับไป แล้วก็ต้องตกใจที่ตรงปลายเงานั้น มีรุ่นพี่อีกงกำลังยืนอยู่
ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางจ้องมองไปที่รุ่นพี่ แสงอาทิตย์ที่สาดมาทางด้านหลังของรุ่นพี่มันแสบตาเสียจนฉันไม่อาจจะอ่านสีหน้าของรุ่นพี่ได้เลย
“…ขอบคุณนะคะ”
ฉันคิดว่าขืนอยู่อย่างนี้ต่อไป ฉันคงจะต้องทำสีหน้าเจ็บปวดออกมาแน่ ฉันจึงรีบก้มหัวลา แต่รุ่นพี่กลับไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ กลับมาเลย
แต่เมื่อทิ้งช่วงผ่านไปสักพักมือของรุ่นพี่อีกงก็แตะลงบนไหล่ของฉันแทนการตอบ แล้วเขาก็ผละออก ก่อนจะจากไปในทันที ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าที่ก้มอยู่ขึ้นมา น้ำตาเริ่มคลอ ปลายจมูกก็เจ็บไปหมด
“วันนี้พี่ทำความสะอาดห้องให้เอง”
“…คะ?”
“พี่ก็แค่อยากทำน่ะ”
“…”
“เอาเถอะน่า… ไปได้แล้ว”
น้ำเสียงอันอ่อนโยนของรุ่นพี่ยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากปกติ ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นช้าๆ บนใบหน้าของรุ่นพี่แต้มยิ้มบางๆ สุดท้ายแล้ว ฉันก็เป็นเหมือนคนบ้าที่ไม่ยอมพูดอะไร แล้ววิ่งหนีออกมาจากห้องซ้อมเต้น วิ่งมาได้สักพักฉันก็ทรุดนั่งอยู่ตรงนั้น
น้ำตามันเหมือนจะไหลออกมาซะเดี๋ยวนี้ ฉันพยุงร่างลุกขึ้นแล้วรีบสะพายกระเป๋าเดินไปทางห้องอาบน้ำ หลังจากถอดชุดลีโอตาร์ดที่เปียกเหงื่อแล้วโยนออกไป ฉันก็รีบเปิดน้ำจากฝักบัวอาบน้ำ สายน้ำเย็นๆ ไหลลงบนศีรษะ
ฉันทำแค่เพียงยืนเหม่อลอย พร้อมกับปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่างลงมาอยู่สักพัก จนพวกรุ่นพี่ที่อาบน้ำเสร็จแล้ว พูดคุยกันเสียงดัง แล้วเดินออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไป
‘แล้วพี่ก็คิดว่า เธอจะมองไม่เห็นเลยเหรอ หัวใจของพี่น่ะ’
คำที่รุ่นพี่พูดไปเมื่อคืน เสียงนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหูของฉันอย่างชัดเจน ค่ำคืนแห่งเวทมนตร์ที่เป็นดังเรื่องโกหก แค่ผ่านไปเพียงวันเดียว รุ่นพี่ในวันนี้ก็เปลี่ยนไปจากเมื่อวานลิบลับ จะว่าอย่างไรดีนะ รู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังแตกสลาย
ไม่รู้ทำไมรุ่นพี่ถึงได้ชอบฉันกันนะ ฉันกล้าพอที่จะคิดแบบนั้น เป็นเพราะรุ่นพี่ที่ต่อให้เอื้อมไปสุดมือก็เหมือนจะไม่มีวันคว้าถึง มายืนอยู่ตรงหน้าฉัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด ฉันตื่นเต้น และไม่อาจข่มใจให้สงบลงได้ แม้ตอนนอนยังข่มตาให้หลับไม่ได้เลย ฉันที่เอาแต่กังวลว่าจะต้องเผชิญหน้ากับรุ่นพี่อย่างไร จะต้องเริ่มพูดอะไรก่อนดี ช่างดูน่าสมเพชเสียจนจะเป็นบ้าตาย
“ยัยโง่”
ยัยโง่ งี่เง่า คิมฮวีกยอม ฉันด่าตัวเอง พลางหมุนก๊อกน้ำสุดแรง หลังจากที่เสยผมที่มีน้ำไหลหยดลงมาขึ้นพร้อมกับมองไปที่กระจก ฉันก็เห็นใบหน้าของตัวเองที่ดูเบี้ยวบูดเสียเหลือเกิน
“ทุเรศจริงๆ ให้ตายสิ”
รอยยิ้มที่ดูโทรมๆ เผยออกมาจากริมฝีปาก ดวงตาที่ดูใหญ่เกินจำเป็น ใบหน้าและจมูกกลมๆ น้ำที่ไหลจากหัวลงมาที่แก้ม เหมือนกับจะไหลไปรวมกับน้ำตา ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่น แล้วเดินออกไปยังห้องแต่งตัวอย่างช้าๆ
ระหว่างที่ค่อยๆ ใส่ชุดนักเรียน ฝ่ามือก็เผลอไปจับโดนที่ห้อยกุญแจที่รุ่นพี่ให้ไว้ ซึ่งใส่ไว้อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ฉันหยิบพวงกุญแจออกมา หัวใจเต้นรัวราวกับฟ้าผ่าอีกครั้ง
ฉันกำกล้องสลับลายที่อยู่ในมือแน่น จากนั้นยกขึ้นมาทาบที่ตา หัวใจดวงเล็กๆ ที่ได้รับแสงจากไฟนีออนกำลังกะพริบเหมือนกับดวงดาว และเริ่มเคลื่อนไหว
‘แล้วพี่ก็คิดว่า เธอจะมองไม่เห็นเลยเหรอ หัวใจของพี่น่ะ’
ฉันจ้องมองคลื่นรูปหัวใจข้างในกล้องสลับลายอย่างเหม่อลอยอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาพลางลดมือลง ในชั่วพริบตา ฉันก็กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ฉันยืนเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพัก กว่าที่ฉันจะกลับออกมาที่โถงทางเดิน ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดงฉาน และฝั่งตรงข้ามก็มีเงาที่ทอดยาวกำลังยืนอยู่ เจ้าของผมสีน้ำตาลที่ดูยุ่งเหยิงและคุ้นตานั่นเหมือนจะสังเกตเห็นฉันเข้า ฉันจึงได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ เวลาแบบนี้ ฉันไม่อยากจะเจอหน้าอีเซเลยสักนิด
“ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”
อีเซที่รู้สึกได้ว่ามีคนเดินมาจึงหันหน้ามายิ้มแฉ่งให้ฉัน ฉันจึงเผลอพยักหน้า แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป ส่วนอีเซก็เดินมาทางฉัน แล้วลูบลงบนเส้นผมที่ยังไม่แห้ง
“เช็ดผมให้แห้งก่อนจะเดินไปไหนมาไหนสิ เดี๋ยวก็ได้ติดหวัดอีกหรอก”
“อะไรเล่า ร้อนขนาดนี้เนี่ยนะ”
“ก่อนหน้านี้ไม่ร้อน ก็เลยติดหวัดงั้นสิ”
น้ำเสียงของอีเซที่บ่นปนหัวเราะนั่น ดูคล้ายกับเซจินอย่างบอกไม่ถูก นั่นเลยทำให้ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ
“แล้วเซจินล่ะ”
“กลับไปแล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ฉันให้กลับไปก่อนน่ะ”
อีเซที่พูดอย่างนั้นออกมา แสดงสีหน้าแปลกๆ พร้อมกับแตะเบาๆ ลงบนไหล่ของฉันซึ่งกำลังยืนงง ก่อนจะพูดว่า ไปเถอะ ด้วยน้ำเสียงสดใส
มีเด็กนักเรียนที่เดินลงมาตามเนินเขาอย่างบางตา และในสนามกีฬาที่ไร้ผู้คนก็เต็มไปด้วยแสงยามสีแดงยามพระอาทิตย์ตกดินกับอากาศอันน่าอึดอัดของฤดูร้อน
ในตอนที่พวกเราเดินตัดผ่านสนามกีฬาที่ว่างเปล่า อีเซไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ริมฝีปากที่ปิดเงียบสนิท ใบหน้าด้านข้างที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ฉันรู้สึกเขินอายกับความเงียบสงบที่ไม่สมกับเป็นอีเซ จึงจงใจหาคำสักคำ แล้วเริ่มบทสนทนาขึ้น
“เซจินกับซูฮยอนยังเป็นเหมือนเดิมอยู่เหรอ”
“อือ ก็เหมือนเดิมนะ แต่บรรยากาศมันเปลี่ยนไปนิดหน่อยน่ะ”
“หือ ยังไงเหรอ”
“ฉันเองก็ไม่รู้หรอก เอาเป็นว่าสองคนนั่นกลับมาซ้อมปาเดอเดอด้วยกันอีกครั้งแล้ว เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าจะไม่สนใจแล้ว มันเหนื่อยน่ะ”
ใบหน้าของอีเซที่ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวไปมานั่น ทำให้บรรยากาศที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง ฉันจึงรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด อีเซคงจะเกร็งแขนที่โอบอยู่ตรงไหล่ของฉัน ฉันจึงรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งๆ เย็นๆ ตรงต้นคอ
“แล้วทำไมนายถึงมารอฉันล่ะ น่าแปลกจัง”
“…ไม่ชอบเหรอ”
“เปล่าหรอก ไม่ใช่อย่างนั้น ก็มันแปลกๆ นี่นา ที่มาทำอะไรที่ไม่เคยทำน่ะ”
ใบหน้าของอีเซที่ทอดมองมาที่ฉันซึ่งกำลังทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ดูเคร่งเครียดอย่างไม่รู้สาเหตุ พอฉันคิดว่าริมฝีปากของหมอนั่นที่ปิดสนิทอยู่กำลังขยับขึ้นลง ทันใดนั้นเขาก็พ่นลมหายใจออกมา
“อะไร มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“…เปล่าหรอก”
“แล้วทำไมถึงได้เครียดขนาดนั้นล่ะ”
คำถามของฉันทำให้อีเซหยุดที่จะก้าวเท้าต่อทันที เขาจับไหล่ของฉัน แล้วเดินมายืนตรงหน้า ใบหน้าของอีเซที่แสงแดดสาดส่องลงมาเป็นสีส้มเหมือนกับใบหน้าของรุ่นพี่อีกงที่ฉันเคยเห็นเมื่อตอนนั้น รูปตายาวๆ ที่คล้ายกับรุ่นพี่ ดวงตาที่เหมือนกับเม็ดหมากล้อม และริมฝีปากมนๆ
“ฉันมีเรื่องอยากจะบอกเธอน่ะ”
“…หือ”
สีหน้าของอีเซที่ดูตั้งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทำให้ฉันรู้สึกไม่คุ้นชิน จนแม้แต่ตัวเองก็ยังกังวลจนรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาก
“คือว่า ฉัน…”
“คิมฮวีกยอม!”
ในตอนนั้นเองที่ริมฝีปากของอีเซกำลังพึมพำออกมาอย่างลังเลเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง จู่ๆ เสียงเรียกชื่อของฉันก็ดังมาจากข้างหลัง ดังข้ามมาจากอีกฝั่งของสนามกีฬาอันกว้างใหญ่และดังกังวานไปทั่ว ฉันตกใจเสียจนต้องรีบหันไปตามเสียงนั้นที่ดังก้องอย่างกับเสียงไซเรน
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงเรียน เจ้าของเสียงนั่นกำลังจ้องมองมาทางนี้ คนนั้นคือรุ่นพี่อีกงไม่ผิดแน่ เงาที่คุ้นเคย เส้นผมที่พลิ้วไสว เสื้อเชิ้ตสีขาว และแขนที่ทั้งแข็งแรงและยืดตรงนั่น
ช่วงเวลานั้น แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามาในสายตาของฉัน ทำให้ฉันถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมกับหลับตาลง ฉันใช้ความพยายามอยู่สักพักเพื่อจะลืมตา แต่ก็ทำได้แค่กะพริบเท่านั้น อ๊ะ รุ่นพี่อีกงที่มีแสงจ้าๆ ของดวงอาทิตย์ฉายอยู่ข้างหลังนั่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน คงจะเป็นเพราะวิ่งมา รุ่นพี่ถึงกับก้มลงเอามือจับหัวเข่าแล้วหอบแฮกๆ
“รุ่นพี่…”
“คิมฮวีกยอม”
รุ่นพี่อีกงเช็ดริมฝีปากแดงๆ ของตัวเองด้วยหลังมือ ก่อนจะยืดตัวขึ้น แล้วเรียกชื่อฉันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาสีเข้มของรุ่นพี่ที่กำลังสั่นไหวกำลังกลอกไปมาภายใต้ความเงียบ รุ่นพี่เสยผมที่พันกันยุ่งเพราะลมด้วยปลายนิ้ว แล้วหันมาสบตาฉัน
“พี่”
แต่แล้วอีเซก็คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ทันที ก่อนจะดึงมาทางฝั่งของตัวเอง พร้อมกับขวางหน้ารุ่นพี่เอาไว้ ฉันตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ จึงมองหน้ารุ่นพี่อีกงกับอีเซสลับกันไปมาด้วยใบหน้างุนงง แต่สายตาของรุ่นพี่ที่เหลือบมองมายังอีเซนั้น ดูจะเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“วันนี้ผมจะเป็นคนพาฮวีกยอมกลับบ้านเอง”
“…อีเซ”
“เมื่อกี้เราก็คุยกันจบไปแล้วนี่”
น้ำเสียงแหลมๆ ที่ไม่สมกับเป็นอีเซดังก้องกังวานอย่างกับจะทิ่มแทงรุ่นพี่อีกง ฉันกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย อีเซค่อยๆ ออกแรงมือที่จับข้อมือของฉันอยู่ให้แรงยิ่งขึ้น
“อีเซ ปล่อยก่อนเถอะนะ”
อากาศหนักหน่วงนี้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังรู้สึกตกใจกับแรงของอีเซที่จับข้อมือฉันอย่างรุนแรงอย่างกับจะหักข้อมือฉัน ฉันจึงทำลายความเงียบประหลาดๆ นั่น พลางบิดข้อมือที่ถูกจับเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อีเซยิ่งจับข้อมือฉันแรงขึ้น และไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยเลยสักนิด
หลังจากนั้นรุ่นพี่อีกงก็ขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมกับสายตาที่จ้องเขม็งไปที่อีเซ แต่คนที่ตกใจกับสายตาที่เย็นยะเยือกนั่นกลับกลายเป็นฉันซะเอง เสียงที่เคลื่อนตัวขึ้นมาจนถึงลำคอได้หดกลับเข้าไปในทันที
“ปล่อยมือฮวีกยอมก่อน แล้วค่อยพูดเถอะนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่อีกงที่ถูกเปล่งออกมามันแปลกหูมากเสียจนฉันต้องพยายามอดทนไม่ให้หลุดสะอึกออกมาเพราะความประหลาดใจ อะไรกัน นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! ฉันเอาแต่ตะโกนโวยวายอยู่ภายในหัวของตัวเอง
“ไม่”
“…ลีอีเซ”