จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 7-1 กล้องสลับลาย
ทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า ฉันก็รีบเปิดหน้าต่าง อากาศแจ่มใสราวกับเป็นเรื่องโกหก มีก้อนเมฆที่เหมือนกับขนมสายไหมลอยอยู่บนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งเล็กน้อย ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างอารมณ์ดี กลิ่นแสงแดดอ่อนๆ ลอยผ่านปลายจมูกไป กลิ่นนั้นยิ่งทำให้ฉันอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่ฉันรีบอาบน้ำแล้วเป่าผมให้แห้ง ฉันก็เอาเสื้อผ้าทั้งหมดที่มีมากองไว้บนเตียง แล้วยืนอยู่หน้ากระจกเต็มตัว นานขนาดไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้มายืนเลือกเสื้อที่จะใส่ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นแบบนี้
ฉันลองหยิบเสื้อเชิ้ตสีเหลืองเลม่อนที่คุณป้าซื้อให้ในวันจบแผนกมัธยมต้นขึ้นมา แต่พอคิดว่าคงจะดูอึดอัดเกินไปสำหรับการไปสวนสนุก ฉันจึงวางมันลง แล้วพอลองทาบเสื้อยืดคอกว้างสีดำดู มันก็ให้ความรู้สึกอึมครึมเกินไป ฉันจึงวางมันลงอีกครั้ง
จนในที่สุดฉันก็เลือกเป็นเสื้อเอวลอยสีขาวที่มีลายเป็นข้อความเรียบๆ มาสวมคู่กับสกินนี่ยีนส์สีไอซ์ บลูที่ฉันชอบใส่ พลางฮึมฮัมเพลง ฉันฮัมเพลงของกัลแนร์ที่ติดปากขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับมัดผมไว้แน่น ต้นคอที่เรียวบางดูจะโล่งๆ ไปหน่อย
“ฮวีกยอม เพื่อนหนูมาน่ะลูก”
“เพื่อนเหรอ ใครกันนะ”
ฉันที่กำลังครุ่นคิดว่าจะใส่สร้อยคอด้วยดีไหม ยื่นใบหน้าที่ตกใจออกไปดู ตามเสียงจากคุณป้าที่ยื่นหน้าออกมาจากช่องว่างระหว่างประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เจ้าของเงาขนาดใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้ามีผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิง
“อีเซนี่ มาทำอะไรเวลานี้น่ะ”
“ก็ฉันโทรชวนเธอไปดูหนัง แต่เธอไม่รับน่ะสิ….”
พออีเซที่มีกลิ่นหอมสดชื่นของครีมอาบน้ำลอยออกมาเห็นฉันเข้า จู่ๆ ท้ายคำของเขาก็ตะกุกตะกัก ฉันที่รู้สึกอึดอัดจึงกลอกตาไปมา ปกติอีเซก็มักจะโผล่มาแบบนี้เป็นประจำแหละ แต่ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาหาแบบนี้
“จะไปไหนเหรอ”
“อ๋อ พอดีมีนัดน่ะ โทษทีนะ”
“…”
“อุตส่าห์มาถึงนี่แท้ๆ ทำไงดีล่ะ”
อีเซจ้องเขม็งมาที่หน้าของฉันที่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นเลยทำให้ฉันยิ่งทำตัวแปลกหนักเข้าไปอีก ด้วยการดึงชายเสื้อลงมาปิด ทำได้แต่ยืนอย่างเหม่อลอย อีเซที่หยุดพูดไปสักพักกลับส่งยิ้มมุมปากกลับมา
“สวยนะ วันนี้”
“หือ อ่อ… ขอบใจนะ”
“คงเพราะวันนี้อากาศดีล่ะมั้ง พี่เองอยู่ดีๆ ก็บอกว่ามีนัดขึ้นมาน่ะ”
คำว่า ‘พี่’ ที่ออกมาจากปากของอีเซทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ อีเซเหล่มองฉันอย่างไม่วางตาโดยไม่มีสาเหตุ ก่อนจะยักไหล่ทีหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติ
“งั้นไว้คราวหน้าไปเที่ยวกันนะ”
“อือ โอเค ขอโทษจริงๆ นะ”
“ไม่หรอก ฉันต่างหากล่ะที่มาหาโดยไม่บอกไว้ก่อน”
มุมปากที่ยิ้มแย้มของอีเซดูห่อเ**่ยวอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความรู้สึกผิด ฉันจึงคล้องแขนของอีเซ แล้วขยี้ผมยุ่งๆ ของหมอนั่น ฉันรับรู้ได้ว่าแขนที่ถึงจะผอมแห้งแต่ก็ดูแข็งแรงของอีเซกำลังสะดุ้งอยู่
“พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ”
“โอเค”
อีเซดึงแขนออก พลางฉีกยิ้มกว้าง หมอนั่นบอกลาด้วยคำว่า หวัดดี ก่อนจะปิดประตู ฉันที่เอาแต่ยืนจ้องมองประตูที่ถูกปิดกระทบกันเสียงดังอย่างเหม่อลอย หันขวับไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงกำแพง
“อ้า สายแล้ว!”
ฉันรีบเข้าไปในห้อง แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ก่อนจะรีบวิ่งออกมาข้างนอก พร้อมกับเสียงของคุณป้าที่ดังเข้ามาในหูว่า กลับมาเร็วๆ ล่ะ สถานที่นัดหมายคือหน้าป้ายรถเมล์ ฉันกระโดดโหยงเหยงอย่างร่าเริง พร้อมกับวิ่งไปทางป้ายรถเมล์ ก่อนที่อยู่ดีๆ จะเปลี่ยนมาตั้งท่าบนพื้น แล้วลองกระโดดลอยตัวกลางอากาศ
“บัลลง[1]”
ทั่วทั้งร่างกายนั้นเบาหวิวราวกับจะลอยไปซะเดี๋ยวนั้น ฉันกระโดดไปเรื่อยๆ จนมาถึงปลายซอย ที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม ฉันเห็นรุ่นพี่อีกงในเสื้อยืดสีขาวและคลุมทับด้วยคาร์ดิแกนไหมพรมสีเทา
“รุ่นพี่!”
ฉันข้ามทางรถไฟอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนเรียกรุ่นพี่อย่างเต็มเสียง รุ่นพี่ส่งยิ้มอันสดใสพร้อมกับโบกมือมาให้เมื่อสังเกตเห็นฉัน โชคดีจริงๆ ที่อากาศดี
* * *
สวนสนุกในวันสุดสัปดาห์เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนต่างมีสีหน้าที่สดใส และดูมีชีวิตชีวา ฉันแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงคนที่รวมตัวกันอยู่แน่นขนัดอย่างกับพายุทอร์นาโด หลังจากที่เดินอยู่สักพัก ใบหน้าของรุ่นพี่อีกงก็เริ่มแดง ฉันแอบหยิบพัดอันเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า แล้วพัดไปทางหน้าของรุ่นพี่ ลมร้อนๆ พัดหน้าม้าของรุ่นพี่ปลิวไสว
รุ่นพี่หันหน้ามามองฉันอย่างช้าๆ พลางยิ้ม รอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีนั่นทำให้ใจของฉันเต้นรัวอีกแล้ว รุ่นพี่ที่เอานิ้วมาจิ้มลงบนแก้มของฉันที่กำลังแข็งทื่อไปด้วยความประหม่านั้น ไม่รู้ว่าจะสนุกอะไรขนาดนั้น เขาเริ่มหัวเราะคิกคักโดยที่ไม่มีเสียงออกมา
“พี่อยากลองทำแบบนี้สักครั้งน่ะ”
รุ่นพี่ที่ก้าวเดินอย่างช้าๆ มาสักพัก จู่ๆ ก็หยุดเดิน เขาจับมือฉันแล้วเดินไปทางแผงขายของที่มีของเล่นวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะหยิบที่คาดผมที่มีโบว์ใหญ่ผูกเอาไว้อยู่ขึ้นมา
“หมายถึงคาดเจ้านี่แล้วเดินเล่นในสวนสนุกน่ะ”
แล้วทันใดนั้น รุ่นพี่ก็เอาที่คาดผมนั้นมาคาดลงบนหัวของฉัน ด้วยความเขินจนทำอะไรไม่ถูก ฉันจึงก้าวถอยหลังพลางส่ายหัว แต่รุ่นพี่กลับเลือกที่คาดผมรูปเขาปีศาจแล้วคาดลงบนหัวตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่า
อ่า ฉันกัดริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง พร้อมกับก้มหน้าลง ทำไมถึงได้รู้สึกเขินปนตื่นเต้นกันนะ อย่างกับจะหลุดเข้าไปในภาพมโนของคำว่า ‘เดต’ ที่รุ่นพี่พูดขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นแหละ แบบว่า นี่มันอย่างกับเป็นคู่รักเลย
ฉันรีบสะบัดหัวอย่างร้อนรน ขณะที่ยืนลังเลอยู่ข้างหลังรุ่นพี่ที่กำลังคิดเงินอยู่ ส่วนรุ่นพี่ก็ยังคงทำตายิ้มส่งมาให้ พร้อมกับกระซิบบอกฉันราวกับว่านี่เป็นความลับใหญ่โตอะไร
“นี่น่ะ มีไฟด้วยนะ”
ดูสิ รุ่นพี่พูดด้วยสีหน้าร่าเริงพร้อมทั้งชี้ไปยังที่คาดผมรูปเขาปีศาจที่มีไฟสีแดงวิ่งอยู่ ทำให้แม้แต่ฉันก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็เดินเข้ามาหาฉันอย่างกระฉับกระเฉง พลางยกมือขึ้นมา ก่อนจะเอาฝ่ามือมากดลงบนแก้มของฉัน
“กยอมกยอมเนี่ย ดูดีจริงๆ เลยน้า เวลายิ้มน่ะ”
“…เอ่อ”
“โล่งอกไปที”
รอยยิ้มของรุ่นพี่อีกงช่างงดงามเหลือเกิน รอยยิ้มแบบนั้นช่างดีต่อใจจนไม่รู้จะสรรหาคำขยายใดๆ มาต่อเติมลงไปอีก รอยยิ้มนั้นที่เผยให้เห็นฟันขาวๆ ที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ รอยยิ้มที่ชวนให้ยิ้มตาม
มือที่จับอยู่ที่ปกเสื้อของรุ่นพี่เริ่มสั่นขึ้นมาเบาๆ สุดท้ายฉันที่ไม่กล้าจ้องตารุ่นพี่กลับไปตรงๆ จึงได้แต่ก้มหน้ามองต่ำ มือที่รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ออกอาการลังเลอยู่สักพัก พร้อมกับคำๆ หนึ่งที่เวียนวนอยู่ภายในลำคอ
ชอบค่ะ คำๆ นั้นที่ฉันกลืนมันลงคอไปเป็นร้อยรอบ เหมือนกับว่ามันยังคงวนเวียนอยู่ทั่วร่างกายของฉันจนรู้สึกจั๊กจี้ไปถึงปลายนิ้ว รุ่นพี่เอื้อมมือมาจับมือของฉันอย่างช้าๆ
“พวกเราจะเล่นอะไรก่อนดี”
“…อืม นั่นสินะคะ”
“งั้นไปดูพาเหรดกันไหม”
ทางที่รุ่นพี่อีกงชี้ไปนั้น มีผู้คนที่กำลังเต้นอยู่ในชุดที่ดูหรูหรากำลังต่อแถวกันเดินมา ว้าว ทันทีที่ฉันอุทานออกมา รุ่นพี่ก็ลากมือฉัน แล้วเริ่มวิ่งไปทางกลุ่มคนที่ล้อมรอบคนเหล่านั้นอยู่
ฉันที่ถูกต้อนรวมเข้าไปกับคลื่นมนุษย์ก็ชะเง้อคอมองไปรอบๆ แต่ก็ถูกผู้คนมากมายที่ตัวสูงบังจนแทบจะมองอะไรข้างหน้าไม่เห็น คนตัวเตี้ยอย่างฉันจึงทำได้เพียงแค่เขย่งเท้าแล้วกระโดดโหยงเหยง แต่แล้วพอรุ่นพี่หันกลับมาเห็นฉันเข้า อยู่ดีๆ เขาก็เอามือทั้งสองข้างมาจับเข้าที่เอวของฉันแล้วยกตัวฉันลอยขึ้นไปบนอากาศ
“ระ รุ่นพี่คะ! เดี๋ยวก่อนสิคะ!”
ฉันที่พยายามทรงตัวอยู่บนแขนของรุ่นพี่ด้วยความตกใจเหมือนกำลังเต้นอยู่ในท่าลิฟต์ก็เผลอจับมือรุ่นพี่เอาไว้แน่น เป็นเพราะนิ้วของรุ่นพี่สัมผัสลงเบาๆ ตรงเอวซึ่งเผยอออกมาข้างใต้เสื้อยืด เลยทำให้ฉันไม่สามารถแม้แต่จะหายใจได้อย่างเต็มปอด ไม่รู้ว่ารุ่นพี่รู้ถึงความรู้สึกตอนนั้นของฉันหรือเปล่า แต่เขาก็ตะโกนคุยกับฉันเสียงดังลั่น
“เห็นชัดไหม”
“…ค่ะ”
“หา! ว่าไงนะ?!”
“ค่ะ!”
ค่ะ ถึงฉันจะตอบไปอย่างนั้น แต่ตาของฉันก็ไม่ได้จับจ้องไปที่ขบวนพาเหรดเลยสักนิด มือของรุ่นพี่ที่กำลังจับเอวของฉันอย่างมั่นคง กับนิ้วมือที่แนบชิดอยู่ให้ความรู้สึกอุ่นๆ
ฉันมองลงไปที่ด้านล่าง และได้แต่โฟกัสไปที่มือของรุ่นพี่ที่แนบชิดอยู่ที่ตัวของฉัน ฉันจับที่ปลายนิ้วของรุ่นพี่ที่กำลังเกร็งอยู่ แล้วพึมพำออกมา รุ่นพี่อีกง คนบ้า หัวใจเต้นเร็วเกินไปแล้ว
พอฉันชำเลืองมองไปที่รุ่นพี่ เพื่อจะขอให้เขาปล่อยฉันลง รุ่นพี่ก็เงยหน้าขึ้นมามองฉัน แล้วยิ้ม แต่สุดท้ายพอฉันได้เห็นดวงตาอ่อนโยนที่วาดเป็นเส้นโค้ง มันก็ทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มตอบออกไปแทน ภายในเสียงดนตรีและเสียงของผู้คนที่ดังโหวกเหวก พวกเราเอาแต่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรกันอยู่อย่างนั้นสักพัก
[1] Ballon ท่าหนึ่งในการเต้นบัลเลต์