จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 29-2
ตอนที่ 29-2 ปล่อยให้มันไหลไป
ดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนปีนี้มันร้อนระอุจนเหมือนกับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างละลายไป เพราะอย่างนั้นหรือเปล่านะ สนามบินอินชอนที่ฉันมาส่งเซจินกับอีเซไปต่างประเทศถึงได้แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ถึงแม้ว่าจะยังเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ก็ตาม
จะว่าไปนี่ก็เข้าสู่เทศกาลวันหยุดแล้วนี่นา มีทั้งคนที่ใส่เสื้อฮาวายสีสันหลากหลาย คนที่ใส่หมวกปิดหน้าปิดตากับรองเท้าผ้าใบ แล้วก็ยังมีคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่แต่งตัวเข้าคู่กัน แต่ละคนต่างก็ทำสีหน้าตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยการเดินทางที่อยู่ข้างหน้า
ขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินไปกับผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่ จู่ๆ ก็มีเงาใหญ่ทอดมาปกคลุมเหนือศีรษะของฉัน
“ทำไรน่ะ”
อีเซยืนเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วมองมาที่ฉัน พร้อมกับขยับปากถาม ฉันรีบสวมเครื่องช่วยฟังที่ถอดวางเอาไว้บนตักพลางลุกขึ้นจากที่ ก่อนที่จะเห็นเซจินวิ่งลากกระเป๋าสัมภาระใบเล็กๆ มาแต่ไกล
“ถ้าเอาแต่ถอดเจ้านั่นเข้าๆ ออกๆ เดี๋ยวก็ทำหายหรอก”
“จริงด้วย ถ้าเป็นคิมฮวีกยอมก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ”
“แต่ใส่แล้วมันอึดอัดนี่ จะให้ทำไงล่ะ”
ฉันทำปากจู๋พลางบ่นพึมพำ เซจินจึงแกล้งทำหน้าตลกเลียนแบบตาม พร้อมกับดึงริมฝีปากของฉันที่ยื่นออกมา
“ทีตอนตัวเองโดนนินทาน่ะได้ยินชัดอย่างกับมีหูทิพย์ แต่กลับบอกว่าใส่เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ค่อยได้ยินเนี่ยนะ”
“พวกเธอก็ช่วยพูดเสียงดังๆ หน่อยซี่”
พวกเรารับส่งมุกกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเราหัวเราะคิกคักกันอยู่อย่างนั้นสักพัก หลังจากนั้นอีเซก็ตบไหล่ฉันเบาๆ พร้อมกับขยับคางเหมือนจะชี้ไปทางด้านหลัง
“โอ๊ะ ชเวซูฮยอนมาแล้ว”
ซูฮยอนกำลังเดินเนิบๆ มาทางนี้จากที่ไกลๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาดูแสบตาเป็นพิเศษ ทันทีที่เห็นซูฮยอน เซจินก็วางสัมภาระลงในทันที แล้วรีบวิ่งไปหาหมอนั่น
อีเซที่มองดูภาพนั่นยิ้มออกมาเล็กๆ ขณะที่เอาแขนพาดไหล่ฉันเบาๆ
“ว่าแต่ แล้วพ่อแม่นายล่ะ”
“พี่เป็นคนพามาน่ะ”
อีเซทาบปากลงตรงใบหูของฉัน แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยคำให้ฟังได้ง่ายๆ ซึ่งมันดูจะสุขุมกว่าเมื่อก่อนหน่อยๆ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ฉันเพิ่งรู้สึกได้เมื่อเร็วๆ นี้ แต่ดูเหมือนคำว่า พี่ ที่หมายถึง รุ่นพี่อีกง ซึ่งออกมาจากปากของอีเซนั้น ดูจะมีความพิเศษบางอย่าง ว่าไงดีน้า มันเหมือนกับว่าเขาพูดโดยที่ใส่ความรู้สึกมากมายลงไปละมั้ง
“ฮวีกยอม”
“หือ”
ฉันเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่อีเซที่จู่ๆ ก็หันมายืนอยู่ข้างหน้าฉัน แต่รู้สึกเหมือนส่วนสูงของอีเซดูจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยแฮะ
หูตาจมูกปากที่เคยให้ความรู้สึกอ่อนโยนนั้นกลับดูเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พออีเซทำสีหน้าจริงจังพร้อมกับเม้มปากแล้ว มันเลยดูเป็นผู้ใหญ่ต่างจากเมื่อก่อนลิบลับ ฉันยังคงเป็นแค่ยัยแคระอยู่เลยแท้ๆ รู้สึกไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
“ก่อนที่พี่จะมา…ขอฉันทำตามใจ…ครั้งสุดท้ายได้ไหม”
“…หา? ว่าอะไรนะ?”
อีเซซึ่งกำลังมองมาทางฉันที่ถามออกไปอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ค่อยถนัด จึงหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่สะพายอยู่ที่ไหล่ ก่อนจะเริ่มขีดเขียนอะไรบางอย่าง
เกิดเป็นความเงียบสงบอยู่ชั่วครู่ และไม่นานอีเซก็กางสมุดนั้นตรงหน้าฉัน ริมฝีปากของเขาถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นสนิท
[ฉันเคยชอบเธอมากๆ เลยละ]
ตัวหนังสือกลมๆ ที่เหมือนกับอีเซถูกเขียนลงบนกระดาษสีขาว ฉันที่ตกใจกับคำสารภาพรักอย่างกะทันหันของอีเซ จึงหันไปจ้องหมอนั่นอีกครั้งด้วยสายตาลนลาน ต่อจากนั้นอีเซก็พลิกหน้ากระดาษแล้วยื่นมันมาไว้ตรงหน้าฉันอีกครั้ง
[ความจริงตอนนี้ฉันก็ยังชอบเธออยู่ แต่คงเป็นฉันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม?]
นิ้วมือของอีเซค่อยๆ แตะเบาๆ ลงมาที่ริมฝีปากของฉันที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี อีเซก้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับความสูงเดียวกันกับฉันที่ตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะก้มหน้ามองต่ำลงไปเหมือนคิดอะไรสักอย่างอยู่ แล้วจึงพลิกกระดาษอีกครั้งให้ฉันดู
[เปลี่ยนใจเมื่อไหร่มาหาฉันละ ลีอีกง ตาลุงเจ้าเล่ห์นั่น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก]
ฉันอ่านข้อความที่แฝงไปด้วยความตลกขบขันของอีเซไล่ลงมา ก่อนที่จะปรายตามองหมอนั่นแล้วยิ้มออกมาในที่สุด รอยยิ้มของอีเซขณะที่กำลังทำท่าเช็ดจมูกนั่น ทำให้ฉันรู้สึกว่า ถึงหมอนั่นจะโตขึ้น แต่เขาก็ยังคงเหมือนรุ่นพี่อีกงอยู่ดี
“โอเค แบบนั้นก็ได้”
ฉันพยักหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะลูบหัวที่ยุ่งเหยิงของอีเซ ต่อจากนั้นอีเซที่โค้งตัวลงมาพร้อมกับปล่อยหัวของเขาเอาไว้ในมือของฉันก็ยิ้มออกมาเล็กๆ พลางค่อยๆ สวมกอดฉันอย่างเก้ๆ กังๆ
“รักษาสุขภาพด้วยนะ”
น้ำเสียงของอีเซที่ปนกับเสียงถอนหายใจฟังดูเบามาก ลูกกระเดือกของหมอนั่นที่สัมผัสกับไหล่ของฉันกำลังสั่นเล็กๆ ฉันลูบหลังของอีเซอย่างเบามือ
“ลาก่อน รักแรกของฉัน”
น้ำเสียงที่เหมือนเป็นการพูดคนเดียวของอีเซดังอู้อี้จนทำให้ฉันจั๊กจี้ที่หู ฉันหลับตาทั้งสองข้างพร้อมกับยิ้มบางๆ กระจกบานใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลังของอีเซปรากฎภาพของท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มในฤดูร้อนที่ทอดยาวไปอย่างไม่จบสิ้น
พวกเราในช่วงเวลานี้ที่จะไม่หวนกลับมาอีกครั้ง พวกเราในอนาคตจะจดจำมันยังไงกันนะ ถึงฉันจะไม่รู้เลยสักนิด แต่ฉันก็ยังมีความหวัง หวังว่ามันจะกลายเป็นความทรงจำที่ฉันสามารถพูดได้ว่า ‘ตอนนั้นมันก็ดีนะ’ เหมือนกับที่พวกผู้ใหญ่เขาพูดกันเป็นปกติ
พวกเราได้บอกลากับ ‘พวกเรา’ ในอดีตที่ถึงจะเร่าร้อนแต่ก็ยังคงเก้ๆ กังๆ ไปแบบนั้น วัยสิบเจ็ดปี กับความทรงจำอันล้ำค่านั้น
ตอนที่ 30-1 การเริ่มต้น
ประสบการณ์เพียงไม่กี่ครั้งกับกาลเวลาที่ได้ล่วงเลยไปทำให้ผู้คนเติบโตขึ้นเองโดยธรรมชาติ พวกเราที่ไม่รู้ทั้งวิธีรักตัวเอง วิธีเข้าใจคนอื่น หรือวิธีแสดงความจริงใจออกไป ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละนิดจนกลายเป็นผู้ใหญ่ และมีความกล้าที่จะลุกขึ้นได้อีกครั้งแม้จะล้มลง
จะว่าไปแล้ว ‘การกลายเป็นผู้ใหญ่’ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยแฮะ พออายุยี่สิบแล้ว ฉันนึกว่า ประตูบานใหม่ จะเปิดขึ้นมาเองซะอีก แต่จริงๆ แล้ว โลกที่ได้มองเห็นจากบานประตูในวัยยี่สิบปีน่ะ นอกจากจะไม่น่าเป็นกังวลเท่าเมื่อก่อนแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ต่างออกไปเลย
ช่วงฤดูใบไม้ผลิตอนขึ้นมัธยมปลายชั้นปีที่สอง ฉันลาออกจากโรงเรียน แล้วเริ่มต้นฝึกฝนการใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เพื่อที่จะรักษาประสาทการได้ยินที่ยังคงเหลืออยู่น้อยนิดให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
รุ่นพี่อีกงที่เริ่มต้นในสายโมเดิร์นอย่างจริงจัง ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ดีพอๆ กับสมัยเต้นคลาสสิก แถมยังชนะการแข่งขันตลอดอีกด้วย เมื่อก่อนฉันนึกว่ารุ่นพี่เป็นเทวดาที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าเสียอีก แต่ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วว่าผลงานทั้งหมดทั้งมวลนั้นมาจากหยาดเหงื่อแรงกายแห่งความพยายามของรุ่นพี่เอง ก็รุ่นพี่ทั้งสู้อย่างสุดชีวิต ทั้งคลั่งไคล้มันขนาดนั้น เขาถึงได้ยิ่งใหญ่เสียขนาดนั้น
อ้อ ฉันมีงานอดิเรกใหม่ด้วยละ เป็นเพราะรุ่นพี่เลยทำให้การแสดงโมเดิร์นที่ฉันมักจะได้เห็นบ่อยๆ กลายมาเป็นความสนุกใหม่สำหรับฉันที่เบื่อหน่ายกับชีวิตประจำวันอันซ้ำซากจำเจ
ทุกครั้งที่รุ่นพี่มีแสดง เขามักจะพาฉันไปด้วยเสมอ แล้วก็จะพยายามอธิบายให้ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงส่วนที่ฉันไม่สามารถได้ยิน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม พอได้เห็นการเต้นและอารมณ์ความรู้สึกอันประณีตของรุ่นพี่ มันก็ทำให้ฉันสามารถรู้ได้โดยปริยายว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นี้ เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกอะไรออกมา
ฉันที่เคยคิดมาเสมอว่าดนตรีจะต้องฟังด้วยหู แต่เมื่ออยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่แล้วก็ทำให้ได้รู้ว่าวิธีการฟังดนตรีนั้น ต้องฟังด้วยใจไม่ใช่ด้วยหู และถึงจะไม่ได้ยิน แต่เราก็สามารถรับรู้และเข้าใจถึงอารมณ์นั้นได้
สำหรับฉันที่คิดแบบนั้น โลกของโมเดิร์นที่ไม่มีทั้งเจ้าหญิงและเจ้าชายคือช่องทางการติดต่อกับโลกภายนอกที่ทำให้ฉันได้รับรู้ถึงเสน่ห์และสัมผัสที่แปลกใหม่ ฉันในวัยยี่สิบกำลังเตรียมตัวที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ธรรมดาๆ ที่รักในเสียงดนตรีและการเต้น
“มัวแต่คิดอะไรอยู่น่ะ”
สัมผัสจากมือของรุ่นพี่ที่กระทบลงบนแก้มของฉันทำให้ฉันตื่นขึ้นจากห้วงความคิด ตอนนี้พวกเราสนิทกันอย่างแน่นแฟ้นถึงขนาดที่แค่อ่านปากดูฉันก็สามารถเข้าใจสิ่งที่รุ่นพี่พูดได้แบบคร่าวๆ แล้ว ฉันยิ้มร่าก่อนจะตอบสั้นๆ ว่า ไม่มีอะไรค่ะ
[การแสดงวันนี้เป็นไงบ้าง]
[รุ่นพี่ดูเหมือนจะตัวเบากว่าแต่ก่อนนะคะ สงสัยเพราะน้ำหนักลดลงละมั้ง]
ฉันมองปราดไปที่บทสนทนาโต้ตอบซึ่งถูกขีดเขียนจนเต็มหน้าสมุดที่ว่างเปล่า ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของรุ่นพี่ที่จ้องเขม็งมาที่ฉัน ท่าทางของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่ถือถ้วยชาที่มีไอขาวๆ ลอยขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างเหมือนกับภาพวาดไม่มีผิด
พอเห็นแบบนี้ทีไร บางครั้งฉันก็คิดว่าการไม่ได้ยินเสียงมันก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ ถ้าหากได้ยินเสียงวุ่นวายด้วยละก็ ท่าทางของรุ่นพี่ก็คงจะไม่ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับภาพวาดอันแสบสงบแบบนี้หรอก
“ฮวีกยอม”
รุ่นพี่ที่เรียกชื่อฉันเบาๆ ดื่มชาที่ถืออยู่ก่อนจะค่อยๆ วางถ้วยนั้นลงอย่างเบามือ ดูจากการตั้งท่าแล้วเหมือนรุ่นพี่มีเรื่องสำคัญจะพูดเลยแฮะ ฉันลดมือที่กำลังเท้าค้างอยู่ลง แล้วมองไปที่รุ่นพี่ที่กำลังจับปากกาอยู่
[พี่ได้รับการเสนอชื่อให้ไปเป็นแขกรับเชิญใน Dance Company น่ะ]
[เอ๋ จริงเหรอคะ]
[อือ หัวหน้าคณะเคยส่งวิดีโอไปเป็นการแนะนำตัวน่ะ แล้ววันนี้เขาก็ติดต่อมาพอดี]
[ว้าว ยินดีด้วยนะคะ! ที่ไหนเหรอคะ]
รุ่นพี่ทำสีหน้าประหลาดเมื่อได้ยินคำถามของฉัน ขณะที่จ้องมองมาที่ฉัน ปลายปากกาที่หยุดลงของรุ่นพี่แสดงความลังเลออกมาจนรู้สึกได้ และฉันก็รู้สึกกังวลขึ้นในพริบตา
[อังกฤษน่ะ]