จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 22-2
ตอนที่ 22-2 ใกล้เข้ามาอีกนิด
จู่ๆ มือของรุ่นพี่ที่ลูบอยู่ที่หัวของฉันก็ค่อยๆ หยุดชะงัก แล้วเลื่อนผ่านแก้มของฉันมาวางลงตรงไหล่ ต่อจากนั้นเขาก็เอามือมาตบไหล่ของฉันเป็นจังหวะช้าๆ เหมือนกับตอนที่คุณย่าทำเมื่อตอนเป็นเด็ก สัมผัสมือของรุ่นพี่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนกับของคุณย่าไม่มีผิด
“…รู้สึกน่าอายจังพอพูดออกมาจริงๆ”
ฉันหัวเราะออกมา ขณะที่เอาหน้าซบลงไปที่หมอนรองนั่ง รุ่นพี่กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ ถึงฉันจะอยากลืมตาขึ้นมาดู แต่ฉันไม่กล้าพอที่จะทำ ฉันพูดคำว่า ฝันดีค่ะ ด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิม พร้อมกับห่อตัวให้เล็กลงไปอีก
“ฮวีกยอม”
ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ดังขึ้นทั้งที่สติเลือนรางเต็มที ฉันก็พยักหน้าเล็กๆ แทนคำตอบขณะที่ค่อยๆ เข้าสู่ภวังค์
“ไม่ว่าคุณป้าของเธอจะเป็นใคร ไม่ว่าเธอจะใช้ชีวิตมายังไง เธอก็จะยังเป็นคิมฮวีกยอมที่พี่รักไม่เปลี่ยนแปลง”
“…”
“ปัจจุบันน่ะ สุดท้ายก็มาจากอดีตอยู่ดี และทั้งหมดทั้งมวลก็ได้สร้างเธอในตอนนี้ขึ้นมายังไงละ ดังนั้นเธอไม่จำเป็นจะต้องลดค่าตัวเองลง หรือทำร้ายตัวเองก็ได้ เพราะผู้หญิงที่ชื่อคิมฮวีกยอมน่ะ ถึงจะไม่ต้องทำอย่างนั้น ก็เป็นคนที่สุดยอดสุดๆ อยู่แล้ว”
ฉันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ของรุ่นพี่เป็นเหมือนกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก แล้วเขาก็กอดฉันเอาไว้อย่างอ่อนโยน ฉันจับมือของรุ่นพี่ที่ตบไหล่ของฉันเบาๆ พลางเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอย่างไม่รู้ตัว บางทีหน้าของฉันคงจะกำลังยิ้มอยู่ รู้สึกอย่างกับว่าคืนนี้จะฝันดียังไงก็ไม่รู้สินะ
* * *
เหมือนจะได้เสียงนกร้องแฮะ ฉันสะลึมสะลืออยู่สักพักเพราะยังไม่ได้สติเต็มที่ แสงแดดยามเช้าที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างขนตา แสบตาเสียจนฉันแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ไม่รู้ทำไม ฉันกลับมองเห็นเป็นวิวของห้องนั่งเล่น แทนที่จะเป็นเพดานห้องที่คุ้นเคยซึ่งฉันจะต้องตื่นขึ้นมาเจอมันทุกเช้า
ในตอนที่เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผุดขึ้นมาในความทรงจำ ฉันก็กะพริบตาปริบๆ พร้อมกับสมองที่สดใสขึ้นในชั่วพริบตา นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาเก้าโมงแล้ว
ฉันจ้องมองนาฬิกาอยู่สักพัก ก่อนจะขยี้ตาที่รู้สึกอึดอัดด้วยหลังมือ พลางหันหน้าไปอีกด้าน ก่อนจะได้เห็นว่ามีเสื้อโค้ทที่คุ้นเคยของรุ่นพี่ห่มอยู่บนตัวของฉันที่กำลังนอนขุดคู้
“หลับสบายไหม”
ฉันที่ขยับตัวไปมาอยู่สักพัก รีบบิดตัวและเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงแหบพร่าของรุ่นพี่ที่ได้ยินจากข้างบน รุ่นพี่กำลังก้มหน้ามองมาที่ฉัน ในท่าเดียวกันกับเมื่อคืน คือนั่งเท้าคางพิงอยู่ที่โซฟา
อ้า ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ยิ้มบางๆ พลางมองมาที่ฉันด้วยตาที่ยังไม่ตื่นดีช่างดูแสบตาจริงๆ กระดูกไหปลาร้านูนๆ และลูกกระเดือกมนๆ ของรุ่นพี่โผล่ออกมาจากช่องว่างระหว่างเสื้อเชิ้ตที่กระดุมถูกคลายออก
“บวมเชียว”
รุ่นพี่ดึงแก้มของฉันอย่างหยอกล้อ ก่อนจะโน้มตัวลงมาจุ๊บเบาๆ ที่ปากของฉัน แล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ พอรู้สึกเหมือนกับว่าโดนจับได้ในสภาพที่ไม่ควรได้เห็น ฉันก็เขินไม่หยุด จึงรีบดึงเสื้อโค้ทของรุ่นพี่ที่ฉันกำลังห่มอยู่มาปิดหน้า
“พี่เห็นมาทั้งคืนจนจำได้ขึ้นใจแล้ว จะปิดหน้าไปทำไมเล่า”
“…รุ่นพี่ไม่ได้นอนเหรอคะ”
ฉันที่ตกใจกับคำพูดของรุ่นพี่ที่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและแหบแห้ง จึงแง้มเสื้อให้เหลือแค่ตาแล้วจ้องไปที่รุ่นพี่ สภาพกระเซิงของรุ่นพี่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งแปลกตาแล้วก็ทำให้ใจเต้นรัว แบบนี้สินะที่เรียกว่าเซ็กซี่ จู่ๆ พอคิดแบบนั้นขึ้นมาแล้ว หน้าของฉันก็เหมือนจะร้อนผ่าวไปหมด
ด้วยความกลัวว่ารุ่นพี่จะจับได้ว่าหน้าของฉันกำลังแดงแจ๋ ฉันจึงยิ่งแอบมุดเข้าไปข้างในเสื้อโค้ทของรุ่นพี่ที่กำลังปิดหน้าของฉันอยู่ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่มองฉันอย่างสนุกสนาน มีรอยยิ้มที่ไม่เข้าใจความหมายแต้มอยู่ อ้า เอาอีกแล้ว สีหน้าแปลกๆ นั่น
“ไม่ใช่ว่าไม่นอน แต่นอนไม่หลับต่างหากละ”
รุ่นพี่พูดออกมาปนเสียงถอนหายใจ ขณะที่เสยผมที่พันกันยุ่งขึ้นไป ก่อนจะลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ ฉันรู้สึกผิดที่ตัวเองหลับไปอย่างสบายใจอยู่คนเดียว จึงค่อยๆ แอบลุกออกจากที่ แล้วเดินไปนวดไหล่ของรุ่นพี่ พร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอโทษนะคะ รุ่นพี่ ที่นอนมันไม่สบายเลยนอนไม่หลับใช่ไหมคะ เป็นเพราะฉันแท้ๆ พี่เลยนอนเอนตัวไม่ได้…”
ฉันเหลือบมองอย่างระมัดระวัง สีหน้าของรุ่นพี่ที่จ้องฉันเขม็งดูแปลกอย่างบอกไม่ถูก นั่นเลยทำให้ฉันตื่นตระหนกจนต้องแอบลดมือที่กำลังนวดอยู่ที่ไหล่ของรุ่นพี่ลง แต่รุ่นพี่กลับส่ายหัว พลางถอนหายใจ ก่อนจะหัวเราะอย่างกลั้นไม่ไหว แล้วจึงพึมพำออกมาเบาๆ
“ตั้งแต่ที่ชวนให้มาอยู่เป็นเพื่อนโดยที่ไม่กลัวอะไร พี่ก็คิดเอาไว้แล้วละ แต่ว่าเธอนี่มัน หัวทึบเกินจะบรรยายจริงๆ แฮะ”
“…คะ?”
“ลองคิดดูสิ อยู่กับแฟนสาวสองต่อสอง แถมยังนอนนิ่งอยู่ตรงหน้า แล้วคิดว่าพี่จะนอนหลับลงไหมล่ะ”
รุ่นพี่พูดบ่นพลางทำปากจู๋ออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ชั่วพริบตา ใบหน้าของฉันก็เห่อร้อนขึ้นมาราวกับถูกไฟเผา พอคิดๆ ดูแล้ว เมื่อคืนนี้ ฉันรู้สึกกลัวและทุกข์มากกว่า ก็เลยเผลอรั้งตัวรุ่นพี่เอาไว้ แต่จริงๆ แล้วพอลองมาคิดอีกรอบ นั่นถือเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นเกินกว่าจะบรรยายเลยนะ แน่นอนว่ารุ่นพี่เองก็คงจะไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก แต่ว่ามันก็…
“…ขอโทษนะคะ รุ่น…”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษนี่นา”
ฉันแอบจับคอเสื้อ พลางพยายามจะพูดคำว่าขอโทษ แต่รุ่นพี่กลับพูดขัดขึ้นมา หลังจากที่ถอนหายใจเบาๆ เขาก็ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่คลายอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นมาเบาๆ
“พี่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอเพราะคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่เธอพูดออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไป พี่ก็เลยโกรธหน่อยๆ น่ะ”
“…”
“บางครั้งก็ช่วยรู้ตัวซะบ้างเถอะ ก็อะไรทำนองนั้นน่ะนะ”
รุ่นพี่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วเขกเบาๆ ที่หน้าผากของฉัน ก่อนจะบอกว่า งั้นเดี๋ยวพี่ไปล้างหน้าก่อนนะ แล้วลุกออกจากที่ไป ส่วนฉันก็ทำได้แต่เพียงนั่งเอ๋ออยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้ามึนงง แต่ว่ารุ่นพี่ที่เดินไปทางห้องน้ำ จู่ๆ ก็เลี้ยวกลับมา ก่อนจะแอบย่องมาตรงข้างหน้าฉันอีกครั้ง
“แต่ว่าอย่างน้อยก็ต้องโดนแบบนี้ละนะ”
ในชั่วพริบตา ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่พูดคำที่ฉันไม่เข้าใจความหมายออกมาก็มาประทับลงบนริมฝีปากของฉัน ต่อจากนั้นลิ้นนุ่มๆ ก็แทรกเข้ามาข้างในริมฝีปากแห้งๆ ของฉัน
แต่ว่ามันแตกต่างไปจากปกติ การโลมเลียที่หยุดอยู่แค่ตรงปลายลิ้นกับข้างในปากที่ไม่ได้ลึกมากทำให้ฉันตกใจจนสะดุ้งถอยหลัง แต่รุ่นพี่ที่เหมือนจะรู้ทันจึงรีบคว้าท้ายทอยของฉันเอาไว้ ก่อนจะกัดหมับเข้าให้ที่ริมฝีปากล่างของฉัน
“โอ๊ย…”
ความเจ็บที่จี๊ดขึ้นมายิ่งกว่าที่คิด ทำให้ฉันส่งเสียงร้องโอดโอยออกมาอย่างไม่รู้ตัว รุ่นพี่ที่ถอยห่างออกจากฉัน ยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางเอานิ้วมาจิ้มที่แก้มของฉัน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“ค่าตอบแทนสำหรับการเฝ้ายามเมื่อคืนนี้ บวกค่าโอทีด้วยนะ”
ที่อีเซเคยเรียกรุ่นพี่อีกงว่า ‘คนเจ้าเล่ห์’ บางทีอาจจะเป็นคำที่เหมาะสมและลงตัวเป็นอย่างมากเลยก็ได้นะ
ตอนที่ 23-1 ผู้คนที่มอบความรักให้ฉัน
โล่งอกไปที คุณป้าฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ คุณหมออธิบายว่าผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่วนใหญ่จะได้รับบาดแผลหลายที่ แต่คุณป้าของฉันนั้น นอกจากบาดเจ็บตรงบริเวณศีรษะแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่ตรงส่วนอื่น
ฉันก้มหน้ามองดูคุณป้าที่เพิ่งได้สติ พลางถอนหายใจ ขณะเอามือลูบอก
“คุณป้าเจ็บมากไหมคะ”
ฉันจับมือของคุณป้าที่หยาบกร้านขึ้นไว้แน่น พลางยิ้ม คุณป้าเองก็พยายามส่งยิ้มให้กับฉันเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะกินข้าวให้ครบทุกมื้อค่ะ เพื่อนๆ เองก็มาหาบ่อยๆ หนูก็เลยไม่รู้สึกกลัว”
คุณป้าออกแรงจับมือของฉันตอบกลับมา ฉันก้มตัวลงไปจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากของคุณป้า หลังจากกระซิบบอกว่า เดี๋ยวหนูมาหาใหม่นะคะ ฉันก็รีบออกมาจากห้องผู้ป่วยทันที ไม่รู้ทำไม ขืนมองหน้าคุณป้ามากไปกว่านี้ละก็ น้ำตาคงได้ไหลออกมาแน่
“อ้าว ออกมาเร็วจัง”
เซจินที่รออยู่ที่โถงทางเดิน เข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าตกใจ ฉันพยายามยิ้มแล้วรีบควงแขนเซจิน
“ฉันต้องแวะที่ประชาสัมพันธ์น่ะ”
“…เรื่องค่าโรงพยาบาลน่ะเหรอ”
ทันทีที่ฉันพยักหน้าเล็กน้อย เซจินก็กุมมือฉันเอาไว้แน่นด้วยสีหน้าหดหู่
“…จะไปโลซานน์ไหวเหรอ”
คำถามของเซจินทำให้ฉันได้เพียงแต่ยิ้มเจื่อนๆ ทั้งค่าสมัคร ไปจนถึงค่าตั๋วเครื่องบิน หากประมาณคร่าวๆ คงจำเป็นจะต้องใช้เงินหลายล้านวอน และถ้าคิดถึงค่าโรงพยาบาลของคุณป้าด้วยแล้ว ฉันคงตัดสินใจไปโลซานน์ไม่ได้หรอก ท่านคือคุณป้าที่เลี้ยงดูความฝันของฉันมาด้วยตัวคนเดียวเลยนะ
“เอาเป็นว่าบอกอาจารย์ไปก่อน แล้วก็ลองขอให้ท่านช่วยสักหน่อยดีไหม ว่าไง นี่มันโลซานน์เชียวนะ…”
“…จะไปทำอย่างนั้นได้ไงเล่า”
“แต่ว่า…”
พอเห็นใบหน้าอันเหยเกของเซจิน ฉันก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
“ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาสน่า ไม่เป็นไรหรอก”
“…”
“หิวไหม พวกเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
ฉันลูบหัวเซจินที่ปิดปากเงียบสนิท แล้วแกล้งทำเป็นกดปุ่มลิฟต์พลางเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงสดใส
หลังจากทานมื้อเย็นกับเซจินเรียบร้อยแล้ว ฉันก็กลับมาที่บ้าน ความหนาวเหน็บที่ฉันเริ่มจะคุ้นชินแล้วในตอนนี้กำลังทักทายฉันด้วยความยินดี ฉันเปิดไฟทั้งหมดในบ้านและแกล้งวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดห้อง แต่อากาศในฤดูหนาวที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ก็เหมือนจะแช่แข็งแก้มของฉันด้วยสัมผัสที่แห้งเป็นพิเศษ
ฉันห่อไหล่ระหว่างที่ปิดหน้าต่าง ต่อจากนั้นฉันก็เปิดเครื่องเล่นเพลงเหมือนกับว่ามันเป็นกิจวัตรไปแล้ว ขณะที่ฟังเสียงดนตรี ฉันก็คลายกล้ามเนื้อเบาๆ พอดีกับที่โทรศัพท์มือถือซึ่งถูกวางอยู่บนโต๊ะสั่นพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ในหน้าต่างข้อความใหม่ มีชื่อของรุ่นพี่อีกงเด้งขึ้นมา ฉันแอบยิ้มไปด้วยขณะเปิดหน้าต่างข้อความ
ดูเหมือนรุ่นพี่เพิ่งจะเลิกจากคลาสเรียนที่อคาเดมี่พอดี ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบกลับ ข้อความของรุ่นพี่ก็ส่งต่อเนื่องมาอีก ฉันหัวเราะคิกคัก พลางอ่านดูข้อความไปด้วย แล้วหัวใจอันเงียบเหงาก็กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
ฉันก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความผ่านมือถืออย่างชำนาญ
“เลิกเรียนแล้ว…”
ฉันอ่านออกเสียงคำที่ฉันพิมพ์ขึ้นด้วยปลายนิ้ว แต่แล้วจู่ๆ มุมนึงของหัวใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภายในหัวของฉันมีแต่เรื่องเกี่ยวกับโลซานน์อยู่เต็มไปหมด ฉันควรจะต้องบอกรุ่นพี่ว่าฉันไม่สามารถไปโลซานน์ได้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกออกไปเลยสักนิด
“…คุณย่าคะ”
ฉันมองดูรูปของคุณย่าที่ตั้งอยู่ที่ปลายโต๊ะ พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“หนูคงจะเป็นสาวน้อยผู้โชคร้ายจริงๆ สินะคะ”
ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นไปอย่างที่ใจคิด ขนาดสติกเกอร์ที่อยู่ในขนมปัง ฉันยังมักจะได้แต่ว่างเปล่าเลย แต่จู่ๆ สติกเกอร์ที่ติดอยู่ที่โทรศัพท์มือถือก็ผ่านเข้ามาในตาของฉัน สติกเกอร์โฮโลแกรมทรงกลมและสติกเกอร์ที่เป็นพยัญชนะตัวแรกในชื่อของรุ่นพี่กับฉัน
ฉันค่อยๆ ลูบไล้สติกเกอร์พวกนั้น ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงในทันที เสียงสปริงที่ดังเอี๊ยดอ๊าดและร่างกายที่ปิดสวิตช์ลง
ในตอนนั้น จู่ๆ โทรศัพท์ในมือก็ส่งเสียงดังพร้อมกับสั่นขึ้นมา ฉันมองดูหน้าจอด้วยความตกใจ เอ๊ะ อีเซนี่นา ฉันเอาแต่จ้องไปที่หน้าจอนั่นอยู่สักพักด้วยสีหน้างุนงงเมื่อได้เห็นสายเรียกเข้าอย่างกะทันหันของอีเซ
“…ฮัลโหล”
แต่เมื่อฉันกดรับสายแล้ว ไม่รู้ทำไมกลับไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาจากทางปลายสายเลย หรือเขาจะวางไปแล้วนะ ฉันจึงดูหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะลองพูด ฮัลโหล ดูอีกหลายรอบ
วินาทีที่ฉันกำลังจะกดวางสายอย่างงงๆ เสียงของอีเซก็ดังขึ้นเบาๆ จากปลายสาย
[อยู่ไหนน่ะ]
“…บ้าน”
[…]
“มีอะไรเหรอ โทรมาป่านนี้”
จะว่าไป นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลยแฮะที่ได้คุยโทรศัพท์กับอีเซน่ะ เสียงของหมอนั่นที่ได้ยินผ่านทางหูโทรศัพท์ฟังดูสุขุม แล้วก็ดูเหนื่อยกว่าปกติ ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้ปลายนิ้วมือที่จับโทรศัพท์อยู่รู้สึกจั๊กจี้ไปหมด
[…ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม]
“เอ๊ะ ตอนนี้น่ะเหรอ”
[อือ เจอกันที่ลานน้ำพุ ตรงสวนสาธารณะนะ]
ความเงียบก่อตัวขึ้นพักใหญ่ๆ หลังจากที่นอนจมอยู่ที่เตียง ฉันก็ลุกขึ้น ถึงไม่มีคำอะไรจะพูดต่อ แต่ฟังจากเสียงถอนหายใจเบาๆ ของอีเซที่ได้ยินแบบผ่านๆ แล้ว ฉันรู้สึกว่าเขาจะต้องเครียดกับอะไรบางอย่างอยู่แน่ นั่นเลยทำให้ฉันเผลอพยักหน้าไปพร้อมกับตอบว่า โอเค
โทรศัพท์มือถือกลับมาเป็นหน้าจอสีดำอีกครั้งหลังจากวางสายไป ฉันจ้องมองมันด้วยสีหน้าเหม่อลอย พลางเกาหัว
* * *