จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 18-2
ฉันจับมือของรุ่นพี่โดยไม่พูดอะไร แล้วลุกขึ้นจากที่ ไม่ว่าฉันจะเศร้าเรื่องอะไร รุ่นพี่ก็มักจะจับมือฉันเอาไว้แบบนี้ แล้วก็จูงมือฉันไป ให้ตายสิ ถ้าฉันไม่มีรุ่นพี่ ฉันก็คงเป็นแค่ยัยโง่เง่าที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
“การฝึกซ้อมเป็นไปด้วยดีหรือเปล่าคะ”
ฉันพยายามสลัดความคิดที่น่าหดหู่ทิ้งไป แล้วหันมาถามรุ่นพี่ การแข่งขันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว มันเป็นหน้าที่ของฉัน ที่ไม่ควรจะเอาความผิดของตัวเอง หรือเรื่องลำบากใจมาทำให้รุ่นพี่ต้องกังวล
“ก็ต้องแน่อยู่แล้วสิ”
รุ่นพี่บีบมือที่กุมมือของฉันอยู่ให้แน่นยิ่งขึ้น ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสดใส รอยยิ้มพิมพ์ใจทำให้ฉันรู้สึกวางใจ
“จะมาดูใช่ไหม”
“นะ แน่นอนอยู่แล้วสิคะ!”
“สัญญานะ”
รุ่นพี่หยุดเดิน แล้วหันหน้ามาทางฉัน พร้อมกับยื่นนิ้วก้อยขึ้นมา ฉันเอานิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวกับนิ้วของรุ่นพี่ช้าๆ ความรู้สึกที่ตัวเองได้เกี่ยวนิ้วกันไว้แน่นก่อนจะคลายออก ทำให้แม้แต่หัวใจก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
“เชื่อสิ”
“…”
“พี่จะต้องชนะกลับมาแน่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่ฟังดูหนักแน่น และลูกกระเดือกก็กำลังหดเกร็ง
“ค่ะ เชื่ออยู่แล้วล่ะค่ะ”
ฉันกำนิ้วมือของรุ่นพี่ที่เย็นเพราะสายลมเย็นยะเยือกเอาไว้ด้วยฝ่ามือ แล้วเกร็งมุมปากให้ฉีกยิ้ม ต่อให้จะเป็นแค่คนที่ไม่สำคัญอะไร หรือทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่างอย่างฉัน แต่ฉันก็ยังอยากจะช่วยเหลือรุ่นพี่บ้างไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เป็นเพราะว่าฉันรู้ถึงความไม่สบายใจที่ก่อตัวอยู่ข้างในส่วนลึกของหัวใจรุ่นพี่ แล้วจะไม่ให้ฉันรู้สึกสั่นไหวไปได้อย่างไรล่ะ
“ยังไงรุ่นพี่ก็ต้องชนะแน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
ฉันพูดพลางเกร็งคออย่างเต็มที่ ชนะ มันไม่ใช่คำพูดที่มีความหมายตรงตามตัวอักษร ไม่ใช่ความหมายที่แปลว่าการเอาชนะคนอื่นแล้วขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง แต่มันหมายถึงความมุ่งมั่นที่รุ่นพี่จะต้องกระโดดข้ามผ่านมาให้ได้ และเอาชนะตัวเองที่เคยแต่เต้นคลาสสิกมาจนถึงตอนนี้ต่างหากล่ะ ฉันเชื่อว่ารุ่นพี่จะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน
“…มันเป็นความรู้สึกแบบนี้เองสินะ”
รุ่นพี่ทอดสายตามองนิ่งมาที่ฉัน ก่อนจะพูดลอยๆ ออกมา
“การที่มีใครสักคนเชื่อใจเราอย่างไม่มีเงื่อนไขน่ะ…”
รอยยิ้มที่ติดอยู่ตรงมุมปากของรุ่นพี่ได้วาดเส้นโค้งที่อ่อนโยนออกมา รุ่นพี่เอานิ้วมือกดลงบนหน้าผากที่ย่นเล็กน้อย พลางยักไหล่ พร้อมกับหัวเราะออกมาพร้อมกับเสียงเป่าลม
“รู้สึกเหมือนพลังในการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นมาเลยแฮะ”
“พอพูดว่าพลังต่อสู้แล้ว มันฟังดูแปลกๆ นะคะ”
“งั้นเหรอ”
รุ่นพี่ระเบิดหัวเราะออกมาสั้นๆ ก่อนจะลูบหัวของฉันอย่างเคยชิน อ้า อบอุ่นจัง ฉันก้มหัวพลางยิ้มเล็กๆ น้ำเสียงและมือของรุ่นพี่อบอุ่นมากเสียจนความไม่สบายใจและความรู้สึกหดหูที่ก่อตัวอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจมลายหายไปจนหมด
* * *
ในที่สุดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศก็มาถึง วันนี้อากาศปลอดโปร่งและอากาศไม่ได้หนาวเหมือนอย่างทุกวัน หลังจากที่ฉันขึ้นมาบนรถเมล์เพื่อมุ่งหน้าไปยังหอศิลปะ สถานที่จัดการแข่งขัน ฉันก็นั่งฝังตัวลงไปบนเก้าอี้ พร้อมกับดื่มด่ำกับแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างเต็มที่ รถเมล์ในวันหยุดสุดสัปดาห์แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจำนวนค่อนข้างมากซึ่งเกาะตัวกันเป็นกลุ่มๆ
รถเมล์ที่ผสมผสานไปด้วยความร้อนอุ่นๆ จากฮีตเตอร์และอุณหภูมิจากผู้คนมากมาย ทำให้ข้างในค่อนข้างจะร้อนอบอ้าวเลยทีเดียว แล้วพอบวกเข้ากับแสงแดดที่สาดเข้ามาอีก ฉันเลยชักจะเริ่มรู้สึกเพลียๆ ขึ้นมา หลังจากที่เอาแต่กะพริบเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นๆ ลงๆ ฉันก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงสั่นจากโทรศัพท์
[อยู่ไหนน่ะ พวกเราเพิ่งจะถึงเนี่ย]
เซจินส่งข้อความมาหา นี่เป็นการแข่งขันเต้นโมเดิร์นครั้งแรกของรุ่นพี่อีกง เซจินและซูฮยอนจึงตัดสินใจว่าจะมาร่วมให้กำลังใจด้วย ฉันขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อพิมพ์คำว่า จะถึงในอีกสิบนาที แล้วจึงเบนสายตาออกไปข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง
เสียงน่าหนวกหูจากวิทยุ อากาศอึดอัดภายในรถเมล์ และแสงแดดที่ทำให้รู้สึกเพลีย ไปจนถึงทิวทัศน์แปลกตาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วข้างนอกหน้าต่าง มันทำให้หัวใจของฉันเริ่มเต้นรัว และแล้วรถเมล์ก็มาถึงจุดหมายโดยที่ยังไม่ทันจะได้รู้ตัว
“นี่! คิมฮวีกยอม!”
ทันทีที่ฉันลงมาจากรถเมล์ที่อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก เสียงร่าเริงของเซจินก็ดังขึ้น ก่อนที่ฉันจะเห็นเซจินซึ่งกำลังชะเง้อชะแง้มองรอบๆ พลางวิ่งโบกมือมาจากที่ไกลๆ เซจินวิ่งมาตรงหน้าฉันแล้วคล้องแขนฉันเอาไว้ พลางเริ่มพูดจ้ออย่างรวดเร็วราวกับว่ากำลังรอเวลานี้อยู่เลย
“คนที่จะต้องมาถึงก่อนเป็นคนแรกอย่างเธอ กลับทำให้ฉันเป็นฝ่ายรอเนี่ยนะ”
“ทำไมล่ะ เธอก็มีซูฮยอนอยู่นี่นา”
“นี่ เธอกับหมอนั่นเหมือนกันรึไงล่ะ”
เซจินชี้ไปยังซูฮยอนที่ค่อยๆ เดินมาหาพวกเราจากที่ที่ห่างออกไปหน่อย พลางกระซิบข้างหูฉันด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“ชอบเถียงน่ะเหมือนกันอยู่หรอก แต่ไม่สนุกเท่าเธอน่ะสิ”
“แต่เธอก็ยังชอบนี่ แล้วจะให้ทำไงล่ะ”
พอฉันแกล้งทำเป็นพูดแซวออกไป แก้มทั้งสองข้างของเซจินก็กลายเป็นสีแดงขึ้นมาทันที นั่นเลยทำให้ฉันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ในที่สุด ซูฮยอนที่เดินมาอยู่ข้างหน้าพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำสีหน้ามึนงง ขณะที่มองหน้าของเซจินสลับกับหน้าของฉัน
“อะไร นี่เธอด่าฉันอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”
“…อ้าว คิมเซจิน เธอเอาอีกแล้วนะ”
ซูฮยอนหัวเราะอย่างเหลืออด ก่อนจะจับแก้มของเซจินหมับ แล้วดึงมันจนยืด เจ็บนะ เสียงกรีดร้องของเซจินดูจะดังกังวานมากกว่าปกติ
ฉันกัดริมฝีปากที่เอาแต่กระตุกไว้แน่น และพยายามหัวเราะไม่ให้มีเสียง ทั้งสองคนนี้ทำให้ฉันรู้สึกใจเต้น แต่ในความหมายที่แตกต่างไปกับรุ่นพี่อีกงน่ะนะ
“เออใช่ เมื่อกี้ฉันเห็นรุ่นพี่โซยอนด้วยล่ะ”
“…ว่าไงนะ?”
ชื่อที่ไม่คาดคิดทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ พร้อมกับหันไปมองเซจิน
“ก็รุ่นพี่ที่แสดงเป็นเมโดราในทีมเธอไง รุ่นพี่จองโซยอนปีสองน่ะ”
“…รุ่นพี่โซยอนทำไมเหรอ”
“ดูเหมือนเขาจะลงแข่งด้วยนะ ก็มันไม่ได้มีแข่งแค่โมเดิร์นนี่นา หรือรุ่นพี่จะมาสะสมประสบการณ์ก่อนไปโลซานน์นะ”
รู้งี้ฉันลงแข่งด้วยก็ดีสิ ฉันรู้สึกว่าเสียงพึมพำของเซจินฟังดูไกลออกไป ก้าวแต่ละก้าวที่เหยียบลงบนพื้นมันหนักหน่วงราวกับว่ามีก้อนเหล็กมาผูกติดอยู่กับขา
ฉันพยายามจัดการกับความคิดภายในหัวที่สับสนวุ่นวาย ใช่แล้ว ก็แค่บังเอิญน่า ไม่มีทางหรอกที่รุ่นพี่โซยอนจะรู้ว่ารุ่นพี่อีกงลงแข่งในการแข่งขันครั้งนี้หรอก
“กยอมกยอม ทำไมเหรอ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“หืม?”
“หน้าซีดเชียว”
ฉันหัวเราะเจื่อนๆ พลางเอามือจับแก้มที่เย็นยะเยือก รู้สึกได้ถึงขนอ่อนที่ลุกชันขึ้น
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ฉันพยายามยิ้มโดยบังคับมุมปากให้ยกขึ้น ก่อนจะดึงแขนเซจิน แล้วชวนให้เธอรีบไป พร้อมกับเดินเข้าไปข้างในหอศิลปะที่วุ่นวาย เสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังจนเหมือนจะโอบล้อมตัวฉัน ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกมึนหัว
“เอ่อ ดูเหมือนนั่นจะเป็นห้องพักนะ ลองส่งข้อความหารุ่นพี่ดูสิ”
“จะให้มาเจอตอนนี้เหรอ”
“ยังไงซะ พอจบแล้วเขาก็ต้องไปเดตกับเธอไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นเราก็ต้องเจอเขาก่อนหน้านั้นสิ”
“…โอเค เอาเป็นว่าฉันจะไปหาเครื่องดื่มก่อนแล้วกัน รออยู่ตรงนี้ล่ะ”
อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกคอแห้งผากขึ้นมา คงเป็นเพราะว่านั่งรถเมล์นานจนรู้สึกคลื่นไส้ละมั้ง ฉันพาเซจินกับซูฮยอนไปรออยู่ที่ล็อบบี้ ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อมองหาตู้ขายน้ำอัตโนมัติ คงเป็นเพราะว่าแถวๆ นี้มีห้องพักสินะ ถึงได้มีผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันที่แต่งหน้าแต่งตัวแบบจัดเต็มออกมาเดินเตร็ดเตร่ตามทางเดิน
ฉันชะเง้อคอมองอยู่สักพัก หลังจากที่ดูจนแน่ใจแล้วว่ามีตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติสีแดงอยู่ลิบๆ ฉันก็รีบเดินไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเริ่มจะดังหนักขึ้น รู้สึกเหมือนพื้นหมุนๆ ยังไงไม่รู้แฮะ
ฉันพยายามประคองร่างกายที่เซไปมา พร้อมกับหยอดเหรียญลงไปในตู้ แกร๊ง แกร๊ง เสียงเหรียญที่กลิ้งลงไปฟังดูสดใสจัง
“นี่”
ตอนแรกฉันไม่ได้คิดว่านั่นเป็นเสียงที่กำลังเรียกฉันอยู่ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับกระป๋องเครื่องดื่มที่ตกลงมา ฉันหยิบมันขึ้นมาเปิด ก่อนที่หูของฉันจะได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“นี่!”
เสียงที่เพิ่มระดับเดซิเบลดังขึ้นกว่าเก่าดูคุ้นเคยยังไงชอบกล ในตอนนั้นฉันจึงหันหน้าไปทางต้นเสียง โอ๊ะ วินาทีนั้นฉันกลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่แห้งผากโดยไม่ทันรู้ตัว
“นี่เธอกำลังเมินฉันอยู่งั้นเหรอ”
รุ่นพี่โซยอนนั่นเอง รุ่นพี่โซยอนหัวเราะออกมาอย่างเหลืออด พร้อมกับแสยะยิ้ม เธอกลอกตาไปมาแล้วมองไปรอบข้าง ก่อนจะเดินมาตรงหน้าฉัน ทันทีที่ฉันเดินก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนก็ยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก
“เป็นเด็กที่น่าขำซะจริง กลัวฉันจะจับเธอกินรึไง”
“ปะ เปล่าค่ะ… ไม่ใช่อย่างนั้น…”
“แล้วมันยังไงล่ะ เธอจะไม่ยืนนิ่งๆ แล้วทักทายฉันหน่อยเหรอ”
“…สวัสดีค่ะ”
ฉันรีบยืนตัวตรงก่อนจะโค้งตัวลงไปในทันที ทั้งกำแพงที่ติดอยู่ที่หลัง และรุ่นพี่โซยอนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ต่างก็แผ่รังสีแห่งความเย็นยะเยือกออกมา จนฉันไม่อาจจะควบคุมสติเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่กระป๋องเครื่องดื่มที่ถืออยู่ก็เย็นจนทำให้ฝ่ามือแข็งไปหมด ฉันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น แล้วค่อยๆ เอนตัวขึ้นมา
“หลบไปหน่อยสิ”
ไหล่ของรุ่นพี่ผลักฉันค่อนข้างจะแรงเลยทีเดียว ฉันที่ถูกผลักไปอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัวจึงยืนมองรุ่นพี่โซยอนอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี
เหรียญถูกหยอดเข้าไปในตู้ขายน้ำอีกครั้ง กระโปรงบัลเลต์โทนสีชมพูอ่อนที่รุ่นพี่โซยอนสวมอยู่มีเสียงดังสวบๆ ออกมา
ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนเพื่อจะบอกลารุ่นพี่ว่า ไปก่อนนะคะ หน้าผากมนๆ ที่เกลี้ยงเกลาและใบหน้าด้านข้างที่ให้ความรู้สึกเนียนใสรับกับเส้นผมที่หวีแล้วมัดขึ้นไปอย่างแน่นหนา เครื่องประดับผมที่ส่องแสงระยิบระยับ
“อ๊ะ…!”