จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 17-3
ฉันบอกออกมาตรงๆ ฉันชอบใบหน้าและน้ำเสียงของรุ่นพี่ที่ตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ที่ชอบและรู้สึกแปลกใหม่กับสิ่งต่างๆ ตรงหน้าจนไม่รู้จะทำอย่างไร ฉันรู้สึกดีใจที่ได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของรุ่นพี่อีกงที่อาจจะไม่มีใครเคยค้นพบมาก่อน
รุ่นพี่ที่สมบูรณ์แบบและหนักแน่นเหมือนกับกำแพงแข็งแกร่งก็เท่อยู่หรอก แต่รุ่นพี่ที่ร้อนใจอยู่กับการทำให้สิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองให้กลายเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์นั้น ก็ดูเท่ไม่แพ้กัน
“รับรองว่ารุ่นพี่จะต้องทำมันออกมาได้อย่างดีแน่นอนค่ะ”
ฉันเอ่ยออกมาก่อนจะยิ้มให้เล็กๆ ดวงตาของรุ่นพี่ที่มองมาที่ฉันกำลังสั่นไหวนิดๆ ในความมืด ก่อนที่จะกลายเป็นเส้นโค้ง ริมฝีปากของรุ่นพี่วาดเส้นโค้งละมุนขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีชีวิตชีวา
“พอเธอเป็นคนพูดออกมาแบบนั้นแล้ว มันทำให้พี่รู้สึกดีจริงๆ นะ”
“…จริงเหรอคะ”
“อื้อ พี่รู้สึกเหมือนกับว่าพี่สามารถทำได้ทุกอย่างเลยล่ะ”
รุ่นพี่ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่สั่นไหว ก่อนจะค่อยๆ ก้มตัวลงมาจูบหน้าผากของฉันเบาๆ
“ขอบใจนะ”
“…”
“พี่จะทำให้เธอสามารถอวดใครๆ ได้ว่าผู้ชายสุดเท่คนนี้เป็นแฟนของเธอ”
“…แค่ตอนนี้ก็เท่พอแล้วล่ะค่ะ”
ถ้าเท่ไปมากกว่านี้ฉันก็ลำบากแย่น่ะสิคะ ฉันพูดต่อท้ายเบาๆ พร้อมกับแอบทำปากจู๋ รุ่นพี่ที่มองดูฉันอยู่จึงขำออกมา ภายในใจมันพองโตจนรู้สึกแน่นขนัดอย่างบอกไม่ถูก
พวกเรานั่งลงบนม้านั่งเก่าๆ ตรงมุมหนึ่งของชายหาด เฝ้ามองดูคลื่นทะเลที่ซัดกระทบชายฝั่ง นาฬิกาข้อมือกำลังชี้บอกเวลาตีสาม ภายใต้ความมืดมิดสีดำเป็นประกาย รุ่นพี่เหม่อมองไปยังท้องทะเลซึ่งมีเพียงแสงจันทร์ตกกระทบลงมา เขาเงียบอยู่นานก่อนจะทำลายความเงียบนั้น ด้วยการพูดขึ้นมาเบาๆ
“คือว่าที่จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่พี่ไม่สามารถปล่อยมือไปจากคลาสสิกได้เลย ก็เป็นเพราะเธอนั่นแหละ”
น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่เอ่ยออกมานั้นราวกับเสียงเพลง ฉันมองใบหน้าด้านข้างที่ดูหมดจดของรุ่นพี่ด้วยความตกใจในประโยคที่เหมือนยังพูดไม่จบนั้น
“เพราะว่าพี่อยากจะแสดงด้านเท่ๆ ในฐานะรุ่นพี่ให้กับเธอที่จ้องมองและคอยวิ่งอยู่ข้างหลังพี่ให้ได้เห็นน่ะสิ อย่างน้อยพี่ก็หวังว่าพี่จะเป็นแบบนั้นในสายตาเธอ”
“…”
“แต่พอพี่คิดได้ว่าถึงจะต้องแตกสลาย ล้มลุกคลุกคลาน และเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน พี่ก็ยังอยากจะเริ่มต้นใหม่อยู่ดี พี่ไม่อยากจะเป็นแค่รุ่นพี่ที่เธอเอาแต่คอยไล่ตามอีกต่อไป”
เป็นเพราะน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนร้องเพลงหรือเปล่านะ คำพูดของรุ่นพี่ถึงได้ฟังแล้วเหมือนกับท่อนหนึ่งในเพลงฮิตสักเพลง หรือเพลงรักในยามดึกที่ไม่มีอยู่จริง รุ่นพี่ในตอนนี้กำลังกระซิบบอกฉันด้วยคำที่ราวกับเป็นคำโกหก เหมือนกับรุ่นพี่เมื่อตอนนั้น ที่สารภาพรักกับฉัน ว่าเขาชอบฉัน
“เมื่อก่อน พี่คิดว่าคลาสสิกคืออีกช่วงอายุนึงที่พี่จะต้องกระโดดข้ามผ่านมันไปให้ได้ เป็นเหมือนเงาที่พี่จะต้องสลัดให้หลุด แต่ว่าพี่ก็รู้แล้วว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น”
“…”
“ในพื้นฐานของพี่ยังคงมีคลาสสิกอยู่ และเป็นเพราะพื้นฐานนั้น มันถึงได้นำทางพี่ไปสู่เส้นทางใหม่ที่เรียกว่าโมเดิร์นยังไงล่ะ เพราะงั้นนะฮวีกยอม เป็นเพราะเธอ พี่ถึงได้มีความกล้าที่จะฝันในสิ่งใหม่ๆ”
คำพูดที่ฟังดูสงบนิ่งของรุ่นพี่ มันฟังดูเป็นเรื่องราวลับๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้อยู่ในที่ที่ลึกสุดใจอย่างไรไม่รู้สิ เหมือนกับความทรงจำที่ฉันมีร่วมกับรุ่นพี่ที่ฉันไม่สามารถจะเขียนลงไปบนสมุดบันทึก และได้แต่เก็บซ่อนมันเอาไว้ภายในใจ ฉันจึงตั้งใจฟังทุกคำพูดที่เป็นเหมือนความลับของรุ่นพี่เพราะไม่อยากจะพลาดมันไปแม้แต่ประโยคเดียว
“ดังนั้นพี่เองก็หวังว่าจะได้เป็นแบบนั้นในสายตาเธอนะ ฮวีกยอม พี่หวังว่าบัลเลต์จะกลายเป็นความฝันของตัวเธอเอง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแค่สื่อกลางระหว่างเราอีกต่อไป และพี่เองก็จะพยายามให้มากขึ้นเหมือนกัน เพื่อที่จะได้เป็นแฟนสุดเท่ของฮวีกยอม บัลเลริน่าที่จะเติบโตขึ้นไปอีก”
รุ่นพี่จ้องมองฉันด้วยดวงตาสีดำอันหนักแน่น ความจริงสำหรับฉัน มันเป็นเรื่องยากมากเลยล่ะ ที่จะคิดแยกบัลเลต์กับรุ่นพี่อีกงออกจากกัน บางทีจนถึงตอนนี้ ฉันเองก็อาจจะยังอยากเป็นคิมฮวีกยอม รุ่นน้องของรุ่นพี่อีกง มากกว่าที่จะเป็น คิมฮวีกยอมที่เป็นบัลเลริน่าก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็คิดภาพของตัวเองที่ไม่เต้นบัลเลต์ไม่ออกจริงๆ เป็นเพราะรุ่นพี่ ฉันถึงได้รู้จักบัลเลต์ และด้วยความหวังที่จะได้เต้นปาเดอเดอกับรุ่นพี่ ฉันถึงได้กัดฟันพยายามมาถึงตอนนี้ แต่ว่า… ฉันเองก็ชอบบัลเลต์จริงๆ นั่นแหละ รุ่นพี่อยากจะเตือนฉันถึงความจริงข้อนั้นที่ฉันรู้อยู่เต็มหัวใจอยู่แล้วงั้นสินะ
“โลซานน์ครั้งนี้เธอสมัครแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ แต่ว่า…”
“เธอทำได้แน่ พี่รับประกัน ถึงจะเห็นอย่างนี้ แต่พี่ก็เคยเป็นรุ่นพี่ของคิมฮวีกยอมมาก่อนนะ”
“…”
“มั่นใจหน่อยสิ พยายามเข้า! ได้ไปถึงสวิตเซอร์แลนด์เลยนะ”
รุ่นพี่เผยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา พร้อมกับเอามือมาจัดทรงผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งของฉัน เสียงของกิ๊บติดผมที่ขยับไปมาดังออกมา ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ดวงจันทร์สีขาวนวลขนาดยักษ์ พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงนั้นใกล้จนเหมือนกับว่าแค่เอื้อมมือออกไปก็คงสัมผัสถึง ฉันชื่นชมกับอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทะเล จนเหมือนจะได้รสเค็มหน่อยๆ ที่ปลายลิ้น
“…ค่ะ”
ไม่รู้ทำไม เหมือนกับว่าเวทมนตร์ของรุ่นพี่ พลังของดวงจันทร์ และทะเลยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิกำลังจะแสดงปาฏิหาริย์ให้ฉันได้เห็น ฉันกัดริมฝีปากแน่นพลางพยักหน้าเบาๆ
“ฉันจะไปโลซานน์ให้ได้เลยค่ะ”
* * *
ในตอนที่แอบย่องกลับเข้ามาในที่พักเงียบๆ เหมือนกับแมว พวกรุ่นพี่แต่ละกลุ่มก็กำลังหลับสนิทจนหัวชนกันไปแล้ว ฉันและรุ่นพี่อีกงมองตากันท่ามกลางความมืดพลางหัวเราะคิกคัก
พอฉันย่องมาจนถึงข้างหน้าประตูห้องที่พวกรุ่นพี่ผู้หญิงนอนกันอยู่ ฉันก็หันไปโค้งให้กับรุ่นพี่อีกงที่นั่งกางผ้าห่มอยู่ตรงปลายห้องนั่งเล่น
“ฝันดีนะคะรุ่นพี่”
“อือ ฝันดีนะ”
ฉันจับที่ลูกบิดประตูเพื่อเปิดประตูอย่างเบามือ
“ฮวีกยอม”
ในตอนนั้น รุ่นพี่เรียกชื่อของฉันขึ้นมาเบาๆ ฉันที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงนั่นที่ทำให้หัวใจสั่นไหวจึงหันกลับไปมองรุ่นพี่อีกครั้ง และรุ่นพี่ที่กำลังเท้าคางเอียงไปด้านหนึ่งก็กำลังทอดสายตามองมาทางฉันท่ามกลางความมืด พอเห็นดวงตาสีดำสนิทของรุ่นพี่เข้าแล้ว มันก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยอัตโนมัติจนฉันถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
“ทำไมเหรอคะ”
“…พวกเรามานอนด้วยกันไหม”
ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนในความมืดว่ารุ่นพี่ใช้นิ้วมือลูบไปมาที่มุมปากซึ่งยกขึ้นเล็กๆ ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นั่นทำให้ตัวของฉันแข็งทื่อไปหมดอย่างไม่มีสาเหตุ รุ่นพี่คงจะสังเกตเห็นท่าทางตกใจและประหม่าของฉัน เขาจึงหัวเราะพลางเอามือตบลงเบาๆ ตรงที่ว่างข้างๆ
“มานี่สิ”
“…ไม่ได้ค่ะ ถ้ารุ่นพี่คนอื่นตื่นมาเห็นเข้าจะทำยังไงล่ะคะ…”
“พี่สัญญาว่าจะกอดเฉยๆ”
“…แต่ว่า”
“งั้นแค่จับมือเฉยๆ ก็ได้”
รุ่นพี่ยังคงหัวเราะและตบลงตรงที่ว่างข้างๆ อีกครั้ง เสียงหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งดังเข้ามาจนถึงหูของฉันอย่างชัดเจน ฉันใช้ปลายลิ้นเลียลงบนริมฝีปากที่แห้งผาก ก่อนจะส่ายหน้าเล็กๆ
ฉันรู้สึกกังวลว่าถ้าพวกรุ่นพี่ตื่นขึ้นมาเห็นสภาพนั้นกันในตอนเช้า พวกเขาจะต้องล้ออะไรสักอย่างแน่ แต่นั่นยังไม่เท่ากับปฏิกิริยาของรุ่นพี่โซยอนที่น่ากลัวยิ่งกว่าใครๆ ต่อให้พยายามไม่คิดถึงอย่างไร มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของรุ่นพี่โซยอนอยู่ดี
“ไม่อยากอยู่กับพี่เหรอ”
“…จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะคะ”
หางตาเรียวบางตกลงอย่างน่าสงสาร พอฉันสบตารุ่นพี่ที่จ้องเขม็งมาที่ฉัน มันก็ทำให้ฉันใจอ่อนขึ้นมา ฉันลังเลอยู่สักพักขณะที่กำลังจับลูกบิดประตูอยู่ สุดท้ายฉันก็เดินไปตามหมากบนกระดานของรุ่นพี่อีกแล้วสินะ ยัยบ้าเอ๊ย คิมฮวีกยอม หมดคำจะบรรยายจริงๆ
“มาอยู่ข้างๆ ตรงนี้สิ”
รุ่นพี่บอกฉันด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พลางจูงข้อมือฉันไป ฉันถูกพามานอนอยู่ข้างๆ ตามแรงมือของรุ่นพี่อย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วหัวใจก็เต้นรัวหนักขึ้นไปอีก
เสียงหัวใจเต้นราวกับเสียงฟ้าผ่า มันเหมือนกับจะระเบิดออกมาในทันที แต่พอฉันเริ่มกลัวว่าเสียงนี้จะได้ยินไปจนถึงหูของรุ่นพี่ ฉันก็อยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นซะเดี๋ยวนี้
ฉันรีบห่มผ้าห่มขึ้นไปจนถึงคาง แล้วจ้องมองไปที่เพดานเหมือนอยากจะให้มันทะลุเป็นรู พลางแอบหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้รุ่นพี่สังเกตเห็น
แต่รุ่นพี่คงจะรู้สึกได้ อยู่ๆ เขาก็พลิกตัวมาทางฉัน แล้วแย่งมือที่กำลังจับผ้าห่มอยู่ไป
เฮือก พอฉันยกมือขึ้นมากั้นลมหายใจที่ระเบิดออกมาขณะที่ร่างกายสะดุ้งและเริ่มสั่น ฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของรุ่นพี่ดังขึ้น
“…ขำทำไมคะ”
“เพราะเธอน่ารักน่ะสิ”
“…รีบนอนเร็วสิคะ”
“พอเห็นหน้าเธอแล้ว ก็นอนไม่หลับน่ะ”
หัวใจมันจะระเบิดออกมาแล้วเนี่ย รุ่นพี่กระซิบบอกคำนั้น พลางเอามือของฉันมาวางทาบไว้บนหน้าอกของตัวเอง ฉันสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจรุ่นพี่ผ่านทางเสื้อยืดตัวบาง ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของรุ่นพี่ที่เต้นเร็วพอๆ กับหัวใจของฉันทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้ารุ่นพี่
รุ่นพี่นอนตะแคงข้างพลางเท้าคาง ก้มหน้ามองลงมาที่ฉัน แก้มของฉันที่สายตาของรุ่นพี่มองลงมามันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด
ฉันกระแอมออกมาเล็กๆ พร้อมกับเอาหน้าซุกเข้าไปใต้ผ้าห่มให้ลึกยิ่งขึ้น ใบหูร้อนผ่าวอย่างกับโดนไฟเผา
“รู้สึกดีจริงๆ”
รุ่นพี่เขยิบเข้ามานอนอยู่ข้างฉันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนที่จะจับมือของฉันไว้แน่นแล้วพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อลมหายใจของรุ่นพี่รดลงแถวคอของฉัน ฉันก็กัดริมฝีปากอย่างแรงด้วยความรู้สึกกังวล ทำไงดี รู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจเลยแฮะ
ฉันใช้มืออีกข้างกุมชายผ้าห่มไว้แน่น พร้อมกับรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว เวลาแบบนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือการรีบนอนหลับซะ ฉันพยายามนอนนับแกะตัวที่หนึ่ง แกะตัวที่สอง อยู่ภายในหัวไปเรื่อยๆ เพื่อให้หลับโดยเร็ว
ต้องนับแกะไปอีกกี่ตัวกันนะ ยิ่งเวลาผ่านไป สติของฉันก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เหมือนกับการอาบน้ำด้วยน้ำที่เย็นจัด แต่รุ่นพี่อีกงผู้น่าชังกลับหลับไปอย่างเหนื่อยล้าโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเนี่ยสิ
เสียงหายใจฟืดฟาดของรุ่นพี่เล่นเอาหูของฉันรู้สึกจั๊กจี้อยู่ตลอดเวลา หัวใจของฉันคงจะไม่สามารถเต้นเร็วไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว และริมฝีปากมันก็แห้งผากไปหมด
“แกะตัวที่หนึ่งร้อยสอง แกะตัวที่หนึ่งร้อยสาม…”
ฉันยังคงนับแกะตัวแล้วตัวเล่า เหมือนกับกำลังสวดมนต์ พร้อมกับความหวังอย่างแรงกล้าที่จะหลับไปโดยไว ในตอนนั้น จู่ๆ แขนกำยำของรุ่นพี่ก็ล้วงเข้ามาในผ้าห่ม แล้วกอดเอวของฉันเอาไว้ ฮึก ฉันกลืนเสียงที่เกือบจะเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจกลับเข้าไป และสะดุ้งเฮือกจนตัวแข็งอย่างกับรูปปั้น
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าแขนของรุ่นพี่ที่โอบเอวของฉันเอาไว้ดูจะรัดแน่นมากยิ่งขึ้น พอฉันค่อยๆ จับแขนของรุ่นพี่ขึ้นมาอย่างเลิ่กลั่ก ฉันก็รู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อแน่นๆ กำลังเกร็งอยู่
ฉันโดนกอดจากทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว รู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาตรงหลังคอที่รุ่นพี่หายใจรดใส่จนเหมือนกับว่าร่างกายถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“…แกะตัวที่หนึ่งร้อยสี่ แกะตัวที่หนึ่งร้อยห้า…”
หน้าอกของรุ่นพี่ที่แนบชิดกับหลังของฉันกำลังเต้นอย่างเป็นจังหวะ ฉันขดตัวเป็นก้อนกลมๆ แล้วคู้ตัวในขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประสานกันเหมือนการสวดภาวนา และเริ่มนับแกะอย่างเงียบๆ อีกครั้ง แสงสีฟ้าอ่อนในตอนเช้าลอดผ่านหน้าต่างระเบียงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดูท่าค่ำคืนนี้ ฉันคงจะไม่สามารถหลับได้ลงแม้แต่ลมหายใจเดียว