จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 10-2 ฝนฤดูร้อน รอยจูบ และ…
“ขอบคุณนะคะ!”
“ขอบใจนะ”
การซ้อมที่ให้ความรู้สึกเนิ่นนานนับพันปีจบลงในที่สุด ฉันเดินไปหารุ่นพี่ฮยอนจุนด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้การซ้อมต้องยืดเยื้อออกไปอีกเพราะความผิดพลาดของตัวเอง
“รุ่นพี่ฮยอนจุนคะ คือว่า… วันนี้ขอโทษด้วยนะคะ”
รุ่นพี่ฮยอนจุนที่กำลังเช็ดหน้าอยู่พอดีหันกลับมามองฉัน ก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกผิดกับพี่หรอก แล้วข้อเท้า ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ…”
“โล่งอกไปที”
มือของรุ่นพี่ฮยอนจุนตบลงเบาๆ ที่หัวของฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณกับคำพูดของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่บอกว่า อย่าไปใส่ใจเลย ก่อนจะยิ้มให้อย่างสดใสที่สุด แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่อีกงที่ยังคงทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างหลังดังขึ้นมา
“ฮวีกยอม มาหาพี่ก่อนแล้วค่อยไปนะ”
“…ทำไมรุ่นพี่อีกงถึงได้โมโหขนาดนั้นนะ”
รุ่นพี่ฮยอนจุนทำท่าทางสงสัยเหมือนรู้สึกว่ามันแปลกๆ ก่อนจะตบไหล่ฉันเบาๆ พลางกระซิบบอกฉันว่า ระวังตัวดีๆ ล่ะ ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ พลางโค้งหัวเพื่อบอกลารุ่นพี่ฮยอนจุน ต่อจากนั้นจึงเดินเข้าไปหารุ่นพี่อีกงด้วยย่างก้าวที่ดูประหม่า
แม้จะเพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองชินกับคำดุด่าของรุ่นพี่ในเวลาฝึกซ้อมแล้วนะ ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่ทำไมในตอนนี้ บรรยากาศหนักหน่วงของรุ่นพี่ที่ต่างจากตอนนั้นมันถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดเอามากๆ เป็นท่าทางที่เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกหลังจากตอนที่ทะเลาะกับอีเซ ด้วยสาเหตุนั้น มันเลยทำให้ฉันที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับรุ่นพี่ตรงๆ
รุ่นพี่คนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว และห้องซ้อมเต้นที่เหลือเพียงแค่ฉันกับรุ่นพี่อีกงสองคน บรรยากาศช่างเงียบเสียเหลือเกิน ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวของรุ่นพี่ดังออกมา อากาศหนักๆ ที่บีบไหล่ของฉันให้หดเล็กลงไปอีก เหมือนจะทำให้ฉันหายใจไม่ออก
ฉันเลียริมฝีปากที่ถูกกัดจนแสบไปหมดด้วยปลายลิ้น พร้อมกันนั้น เสียงของรุ่นพี่ที่ดังขึ้นที่ด้านบนหัวของฉันก็ทำให้ฉันต้องกลืนความกังวลกลับเข้าไป
“นั่งสิ”
ฉันนั่งลงกับพื้นตามคำสั่งของรุ่นพี่อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นรุ่นพี่ก็นั่งลงข้างหน้าฉัน ก่อนจะรื้อกระเป๋าแล้วหยิบขวดน้ำที่มีน้ำแข็งซึ่งยังไม่ละลายออกมา ต่อจากนั้นเขาก็ประคองข้อเท้าของฉันที่เคล็ดมาตั้งแต่เมื่อกี้มาพันด้วยผ้าขนหนู หลังจากนั้นจึงเอาขวดน้ำทาบลงไป แล้วจึงเริ่มนวด
“รุ่นพี่…”
สัมผัสจากมือของรุ่นพี่ช่างอ่อนโยนและระมัดระวังผิดกับใบหน้าที่เคร่งขรึม มันทำให้ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี ฉันนึกว่าจะโดนดุจนร้องไห้แล้วเสียอีก แต่รุ่นพี่กลับไม่พูดอะไร แล้วก็นวดข้อเท้าให้ฉัน ขณะเดียวกันก็เอาแต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฮวีกยอม เธอนี่”
เสียงของรุ่นพี่หลังจากที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักพักหนึ่งดูผ่อนคลายขึ้นมาระดับหนึ่ง
“รู้ไหมว่าทำไมเมื่อกี้พี่ถึงได้โกรธ”
“เพราะฉันทำผิดค่ะ…”
“แล้วเธอทำอะไรผิดล่ะ”
คราวนี้น้ำเสียงของรุ่นพี่กลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิมแล้ว เมื่อฉันรู้สึกสบายใจขึ้น ลมหายใจที่เคยติดขัดก็เข้าออกได้อย่างโล่งสบายอีกครั้ง พลางตอบออกมาเบาๆ
“เพราะฉันไม่เช็คสภาพรองเท้าให้ดี เลยทำให้รุ่นพี่คนอื่นๆ ลำบากค่ะ”
“ไม่ใช่เพราะทำให้ลำบาก แต่เพราะกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บต่างหากล่ะ”
รุ่นพี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉัน นาทีนั้น ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ สายตาของรุ่นพี่ที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกอย่างไม่รู้สาเหตุนั้นก้มลงไปมองข้อเท้าของฉันอีกครั้ง
“ถึงจะเป็นแค่บาดแผลเล็กๆ แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่สำหรับนักเต้น เธอเองก็รู้ดีนี่นา”
“ค่ะ…”
“และอีกอย่าง…”
รุ่นพี่เงียบไปสักพักหนึ่ง แล้วเอาแต่นวดคลึงข้อเท้าของฉัน ก่อนที่รุ่นพี่จะพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“พี่หึงนิดหน่อยน่ะ เพราะเห็นเธอกับฮยอนจุนตัวติดกันขนาดนั้น”
คำพูดที่คาดไม่ถึงของรุ่นพี่ทำให้หน้าของฉันแดงแจ๋ขึ้นมาในพริบตา ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ทำท่างอนๆ พลางมองตรงมาที่ฉัน จะว่าไงดี มันดูน่ารักเหมือนกับเด็กตัวน้อยๆ เลยล่ะ
นั่นเลยทำให้ฉันเผลอหัวเราะออกมาดังลั่นโดยไม่รู้ตัว แต่รุ่นพี่กลับทำหน้าบึ้ง พร้อมกับเอานิ้วมาจิ้มหน้าผากของฉัน
“หัวเราะทำไมเล่า”
“…ก็เพราะรุ่นพี่พูดคำที่น่าเหลือเชื่อออกมาน่ะสิคะ”
ฉันเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกไป หัวใจของฉันเต้นรัว แต่ขณะเดียวกันทั่วทั้งร่างกายก็รู้สึกหวิวไปหมด หึงงั้นเหรอ คำศัพท์ที่ไม่คุ้นชินซึ่งออกมาจากปากของรุ่นพี่ มันน่ารักจนทำให้ใจสั่น
“พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดยังไง แต่พี่น่ะ มักจะรู้สึกไม่สบายใจตลอดเพราะกลัวว่าจะมีใครมาแย่งเธอไป”
ในตอนที่ฉันได้ยินคำพูดพึมพำปนด้วยสีหน้าบึ้งตึงของรุ่นพี่ มันก็ทำให้ฉันหยุดหัวเราะแล้วมองจ้องไปที่ดวงตาของรุ่นพี่ หน้าม้าที่กำลังเปียกอยู่เล็กน้อยสร้างเงาปกคลุมครึ่งหนึ่งของรูปตายาวๆ ของรุ่นพี่ จนเมื่อฉันแสดงสีหน้าเอ๋อๆ ออกไปเพราะไม่รู้จะต้องตอบอย่างไรดี รุ่นพี่ก็หลุดหัวเราะออกมา พร้อมกับลูบหัวฉัน
“…ฉันไม่ได้ดังขนาดรุ่นพี่หรอกนะคะ”
คำตอบหลังจากที่คิดอยู่นาน เป็นอย่างที่คิด รุ่นพี่เริ่มหัวเราะเสียงดังออกมา ฉันที่รู้สึกอายจนคันยุบยิบที่หน้าไปหมดจึงเอามือทั้งสองข้างมากุมแก้มเอาไว้ ส่วนรุ่นพี่ จู่ๆ ก็หยุดหัวเราะไป ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน แล้วพูดเบาๆ
“เธอน่ะหัวช้าเกินไป”
“…คะ?”
“เธอคงไม่รู้สินะว่าตัวเองสวย แล้วก็น่ารักขนาดไหนน่ะ”
คำพูดของรุ่นพี่อีกงทำให้หน้าของฉันแดงหนักขึ้นไปอีก ฉันเอามือปิดใบหน้าที่เหมือนกับจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น รุ่นพี่เหลือบมองมาที่ดวงตาของฉันที่กำลังสับสน ก่อนจะส่งยิ้มที่ดูเหงาอย่างประหลาดมาให้
“ก็เธอหัวช้าจริงๆ นี่นา พี่ถึงได้ร้อนใจจนจะเป็นบ้าแบบนี้เนี่ย”
คำพร่ำบ่นของรุ่นพี่ที่ทำให้ใบหูรู้สึกจั๊กจี้ไปกับความหวานนั้น เหมือนกับกำลังกระชากสติของฉันให้ลอยพุ่งไปบนท้องฟ้า ตึกตัก ตึกตัก หัวใจเอาแต่วิ่งกระโจนไปมาไม่หยุด
“อ๊ะ ฝนตก”
รุ่นพี่หันขวับ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เม็ดฝนกลมๆ นั่นกำลังกระทบลงบนหน้าต่างอย่างแรง
รุ่นพี่เก็บขวดน้ำที่วางทาบข้อเท้าของฉันใส่เข้ากระเป๋า เขาส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา ก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วยื่นมือมาให้ฉัน ฉันจับมือที่แข็งแรงนั่นด้วยความระมัดระวัง แล้วพยุงตัวยืนขึ้น กว่าจะรู้ตัวกลิ่นฝนจางๆ ก็ลอยอยู่เต็มห้องไปหมดแล้ว
“คงจะเป็นฝนไล่ช้างน่ะ”
หยดฝนที่ตกลงมาเสียงดังรวมกลุ่มกันอยู่ตรงขอบหน้าต่าง แปะ แปะ เสียงของหยาดฝนที่ตกลงมาดังกระจายไปทั่วทั้งห้องซ้อมเต้นที่เงียบสงบ ฉันเอนตัวพิงขอบหน้าต่างที่เปิดอยู่ แล้วค่อยๆ เอานิ้วไปแตะฝนที่ตกลงมา
ฉันหัวเราะคิกคักให้กับความรู้สึกจั๊กจี้นั้น ขณะเดียวกันก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้าสีเหมือนผืนทรายอ่อนค่อยๆ มืดลงทีละนิด
คงเป็นเพราะฝนที่ตกลงมา เลยทำให้ความร้อนลดลงมานิดหน่อย และก็ยังมีลมเย็นๆ พัดผ่านด้วย ลูกผมที่ตกลงมาอยู่ตรงแก้มของฉันปลิวไสว รุ่นพี่ที่เขยิบมาอยู่ข้างๆ โดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัวก็มานั่งลงตรงปลายขอบหน้าต่าง แล้วเขาก็ยื่นมือออกไปทางฝนที่ตกลงมาตามฉัน เกิดเป็นเสียงเล็กๆ น่ารักขึ้น
“มีร่มไหม”
หลังจากที่อาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนเรียบร้อย ฉันก็เดินไปยังทางออก ส่วนรุ่นพี่ก็กำลังยืนรออยู่ในท่าล้วงกระเป๋า ฉันพยักหน้า แล้วจึงหยิบร่มพับคันเล็กออกมาจากกระเป๋า
“โชคดีจัง งั้นพี่ขอไปด้วยนะ”
รุ่นพี่ยิ้มร่าก่อนจะโอบไหล่ของฉันเอาไว้ นั่นเลยทำให้มือของฉันที่เตรียมจะกางร่มออกมา เอาแต่ลื่นแล้วก็กดพลาดไปหมด
ร่มคันเล็กๆ ของฉันที่ถูกกางออกด้วยมือสั่นเทาคงไม่สามารถบังฝนได้ทั้งตัวเองและรุ่นพี่ แต่ฉันไม่อาจเมินเฉยกับไหล่ที่เปียกชุ่มไปข้างหนึ่งของรุ่นพี่ได้ ฉันจึงเอียงร่มไปทางรุ่นพี่อย่างระวังมือ
“พี่ไม่เป็นไรหรอก เธอเองก็เปียกเหมือนกันนี่นา”
“แต่รุ่นพี่เปียกไปหมดแล้วนี่คะ”
“งั้นก็ทำแบบนี้สิ”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองดูรุ่นพี่อย่างเป็นกังวล แต่จู่ๆ รุ่นพี่ก็ดึงเอวฉันไปจากทางด้านหลัง พลางขยับตัวเข้ามาชิด แก้มของรุ่นพี่ที่แนบชิดกับฉันนั้นเย็นไปหมด ฉันควรจะเริ่มชินได้แล้ว แต่การที่รุ่นพี่เข้ามาใกล้ขนาดนี้โดยที่ไม่บอกไม่กล่าว ก็ทำให้ฉันเคลิ้มจนตัวเบาหวิว
ฉันสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุดขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ฉันก็กลั้นลมหายใจที่เกือบจะหลุดออกมาให้กลับเข้าไป สัมผัสของรุ่นพี่ที่ส่งผ่านมาทางเสื้อนักเรียนบางๆ ทำให้ทั่วทั้งตัวร้อนผ่าว
เสียงของฝนที่ตกลงมาบนร่มเสียงดังจนหนวกหู ฉันค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเพื่อหลบขาของรุ่นพี่ที่ชนมาจากด้านหลัง แต่แล้วอยู่ดี ๆรุ่นพี่ก็เอาแก้มมาถูลงบนแก้มของฉัน
“…ดีจังเลยนะ”
เสียงพึมพำปนอารมณ์ดีของรุ่นพี่ราวกับจะทำให้ไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่างของฉัน แม้แต่ตอนที่ขึ้นรถเมล์ที่ไม่ได้ขึ้นมานาน เสียงจี๊ดๆ ก็ไม่ยอมสงบลงง่ายๆ ฝ่ามือของรุ่นพี่ที่จับไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกจั๊กจี้จังแฮะ
พอลงป้ายรถเมล์แถวบ้าน แสงไฟจากริมถนนก็กำลังกะพริบอย่างน่ากลัวภายใต้ท้องฟ้าที่มืดลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พวกเราที่ยืนจับมืออยู่ใต้ร่มซึ่งมีฝนตกลงมาปรอยๆ มือของพวกเรามือไปมา และค่อยๆ ก้าวอย่างเชื่องช้า ลมที่พัดมาแตะเข้าที่ต้นคอจนรู้สึกเย็นยะเยือก
“ฉันจะไปส่งรุ่นพี่ที่บ้านเองค่ะ”
กว่าจะรู้ตัว ฉันก็พาร่างที่ไร้สติเดินมาจนถึงหน้าบ้านตัวเองซะแล้ว ฉันหันหน้ากลับไปหารุ่นพี่ แล้วมองเขาด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก พลางพูดขึ้น แต่รุ่นพี่กลับหัวเราะแล้วลูบหัวฉัน
“ไม่ต้องหรอก พี่มาส่งเธอแล้ว แล้วเธอจะไปส่งพี่ที่บ้านอีกทำไมกันล่ะ”
“…แต่รุ่นพี่ไม่มีร่มนี่นา”
รุ่นพี่ทำสีหน้าแปลกๆ แล้วหยิบร่มสีดำออกมาจากกระเป๋า เอ๊ะ ฉันสะดุ้งตกใจพลางมองหน้ารุ่นพี่ สลับไปมากับร่ม
“…ได้ยังไงกันคะ”
ฉันทำหน้างอน เมื่อรู้ว่าโดนรุ่นพี่หลอกเข้าให้แล้ว แต่รุ่นพี่กลับหัวเราะคิกคัก พลางพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ก็เพราะว่าอยากจะใช้ร่มคันเดียวกันกับเธอน่ะสิ”
“…”
“เป้าหมายเสร็จสิ้น”
รอยยิ้มไร้เดียงสาของรุ่นพี่ดูช่างงดงามเหลือเกิน สุดท้ายฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ได้แต่ปิดปากเงียบสนิท ต่อจากนั้นจู่ๆ รุ่นพี่ก็ก้มตัวลงมาจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับฉัน แล้วก็ประกบริมฝีปากลงมา ก่อนจะผละออกในทันที ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกเสียดาย
“เสียดายเหรอ”
มีแต่เวลาแบบนี้เท่านั้นแหละที่รุ่นพี่อ่านใจฉันได้อย่างกับเป็นผี ฉันสะดุ้งเฮือกพร้อมกับส่ายหัวอย่างแรง
“อะ อะไรล่ะคะ”
ฉันล่ะเกลียดเสียงที่สั่นแบบนี้เสียจริงๆ รุ่นพี่เป็นอย่างนี้เสมอ ทั้งที่รู้ว่าฉันได้แต่มองและวิ่งไล่ตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ ทั้งที่รู้ว่าฉันชอบรุ่นพี่มากมายขนาดนี้แท้ๆ รู้สึกไม่ยุติธรรมเอาซะเลยแฮะ ฉันรู้สึกชังหัวใจที่ไร้เดียงสาของตัวเองขึ้นมานิดๆ ที่มันยังคงกระโดดโลดเต้นซ้ำอยู่อย่างนั้นเพียงเพราะคำพูดเพียงคำเดียว หรือการกระทำเพียงอย่างเดียวของรุ่นพี่
ฉันก้มหน้าลง พร้อมกับกัดริมฝีปากที่ยังคงหลงเหลือสัมผัสนั้นอยู่ แต่จู่ๆ รุ่นพี่ก็พุ่งตัวเข้ามาในร่ม ร่มสีดำของรุ่นพี่ทับอยู่บนร่มของฉัน หยาดฝนที่หล่นลงมาจากร่มที่ทับซ้อนกันอยู่ ตกลงมาเหมือนกับเม็ดลูกปัดใสๆ
ใบหน้าของรุ่นพี่ที่มาอยู่ตรงปลายจมูก ลมหายใจมันช่างใกล้เหลือเกิน โชคดีจริงๆ ที่เสียงหัวใจที่เต้นโครมครามขึ้นมาอีกครั้งถูกกลบด้วยเสียงฝน มือที่หนาวเย็นเพราะเปียกฝนของรุ่นพี่จับลงบนใบหน้าของฉันที่คงจะบูดเบี้ยวจนดูน่าหัวเราะ
“ช่วยบอกว่า เสียดายทีซิ”
เสียงรุ่นพี่ที่กระซิบออกมาเบาๆ มันหวานเสียจนทำให้ฉันรู้สึกหมดแรง ฉันเผลอสะดุ้งถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว แต่แขนของรุ่นพี่ก็เข้ามากอดรัดเอวของฉันเอาไว้ ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่เฉียดผ่านไปมา ทำให้ฉันหลับตาปี๋
“เร็วสิ”
เสียงเร่งเร้าของรุ่นพี่ทำให้สติของฉันเริ่มกระเจิง กลิ่นเข้มๆ ของอาคาเซียที่ผสานเข้ากับกลิ่นของฝนลอยอยู่รอบๆ ตัวฉัน ฉันเคลิ้มอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนไม่รู้ว่าตัวเองตอบอะไรไป เสียดายงั้นเหรอ หรือว่าแค่พยักหน้ากันนะ
กว่าที่ฉันจะได้สติว่าริมฝีปากของรุ่นพี่จู่โจมเข้ามาจนรู้สึกเจ็บ กำลังนัวเนียอยู่ตรงปากของฉัน ก็เป็นหลังจากที่ฉันกับรุ่นพี่กำลังกอดกันอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา
ร่มสีแดงของฉันแล้วก็ร่มสีดำของรุ่นพี่ที่ตกลงไปบนพื้น ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ให้รสของฝนปนเลือดจางๆ และปลายลิ้นนุ่มๆ ที่แทรกผ่านเข้ามาในริมฝีปากอย่างดุดัน
ในตอนที่ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่แนบชิดและผละออกอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ กลับวกมาลิ้มรสริมฝีปากของฉันอีกครั้ง ฉันจึงยกแขนที่เปียกโชกคล้องคอของรุ่นพี่ ให้ตายสิ ไม่มีอะไรที่จะหวานไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
* * *
ท้องฟ้าหลังจากที่ฝนหยุดตกนั้น ดูปลอดโปร่งราวกับเป็นเรื่องโกหก สีปรัสเซียนบลูที่ฉันชอบและก้อนเมฆบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ลอยอยู่อย่างหนาแน่น กลิ่นของธูปไล่ยุงที่คุณป้าจุดเอาไว้ที่ชั้นล่างค่อยๆ ลอยขึ้นมาข้างบน จนเริ่มฉุนจมูก วิวทิวทัศน์ของคืนกลางฤดูร้อนที่สมบูรณ์แบบ
ฉันเพิ่งจะอาบน้ำอุ่นๆ เสร็จ ห่อผมที่ยังไม่ทันแห้งดีด้วยผ้าขนหนูแล้วพันขึ้นไป จากนั้นจึงเปิดกระป๋องเครื่องดื่มเย็นๆ ที่หยิบออกมาจากตู้เย็น พลางนั่งพาดลงตรงขอบหน้าต่าง เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ไหลลงไปในลำคอออกรสหวานหน่อยๆ ฉันซบหน้าลงบนหัวเข่า แล้วเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน
“คิดถึงจัง”
คำนั้นที่จู่ๆ ฉันรำพึงรำพันออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมา เพียงแค่เพราะฝนที่ตกลงมาโดนฉันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ พร้อมกับสัมผัสของรุ่นพี่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้นผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน เป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าที่ริมฝีปากสีแดงก่ำนั่นจะผละออกจากฉัน พลางพูดอะไรสักอย่างออกมา
‘พี่ชอบเธอนะ คิมฮวีกยอม’
‘ชอบ ชอบ ชอบ’
‘ชอบจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว’
คำเหล่านั้นที่เหมือนกับรุ่นพี่จะเคยพูดกับฉันในความฝันอันเร่าร้อนเมื่อตอนนั้น มันกลายเป็นความจริงที่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป และทำให้หูของฉันรู้สึกจั๊กจี้ไปพร้อมกับเสียงของฝน พอผุดขึ้นมาแล้ว ก็ทำให้ฉันนึกถึงซ้ำไปซ้ำมา แล้วหัวใจก็เริ่มเต้นรัว
ฉันรีบลงมาจากขอบหน้าต่างแล้วเปิดดีวีดี Le Corsaire อย่างที่ทำเป็นประจำ
‘พี่ชอบเธอ’
เสียงนั้นของรุ่นพี่ ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ หู ฉันพยายามฝืนที่จะไม่ยิ้มออกมา พร้อมกับที่ค่อยๆ เริ่มนึกถึงท่าทางการเคลื่อนไหวของกัลแนร์
แต่ก็เอาแต่เผลอยิ้มออกมา จนสุดท้ายฉันจึงทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ก่อนจะเอาหน้ามุดลงบนผ้าห่ม แล้วถอนหายใจอย่างหมดแรง ต่อจากนั้นฉันจึงลองพยายามพูดออกมา แม้จะเสียงเบาหวิวแต่ชัดถ้อยชัดคำ
“ชอบนะคะ”
ชอบนะคะ ฮีโร่ของฉัน