จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 1-3 ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน
อากาศในคืนกลางฤดูร้อนจะมีกลิ่นเฉพาะตัว มันเหมือนทั้งกลิ่นที่ลอยมาตามลมที่พัดผ่านมาจากที่ไหนสักที่ มันเหมือนกับกลิ่นที่ได้กลิ่นตอนที่ออกมาจากห้องอาบน้ำสาธารณะ แล้วกำลังเดินกินไอศกรีมอยู่ และเหมือนทั้งกลิ่นที่รู้สึกได้ในตอนไปออกค่ายที่สระว่ายน้ำกลางแจ้ง มีเสียงดนตรีประกอบเป็นเสียงของจิ้งหรีดเรไร ขณะที่จ้องมองระลอกคลื่นสีฟ้าในสระว่ายน้ำ
อ๊ะ ถ้าวางเปลือกแตงโมที่ปอกกินจนสะอาดแล้วไว้ที่สวนหน้าบ้านก็จะสามารถได้กลิ่นที่คล้ายๆ กันนั้นไปทั้งวัน
ถึงจะเป็นความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว กลิ่นยามค่ำคืนของฤดูร้อนสำหรับฉัน คือสัญลักษณ์ของความเหงา ไม่ใช่แค่เพราะว่าฉันมักจะต้องอยู่คนเดียวในฤดูร้อน แต่บางทีก็อาจเป็นเพราะว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นที่เปียกปอนไปด้วยความชื้นก็ได้
สวนสาธารณะที่อยู่แถวบ้านคือสถานที่ที่สามารถเพลิดเพลินกับกลิ่นของคืนกลางฤดูร้อนแบบนั้นได้ เพราะว่ามีลานน้ำพุเล็กๆ อยู่ เวลาที่วิ่งเล่นตอนพลบค่ำก็จะวิ่งมาถึงที่สวนสาธารณะแห่งนี้ กลิ่นของคืนกลางฤดูร้อนที่เข้มข้นขึ้นจนถึงขีดสุดก็มักจะห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างกาย
วันนี้ก็เช่นกัน ฉันวิ่งจ๊อกกิ้งไปตามทางเดินจนมาถึงสวนสาธารณะเล็กๆ แห่งนี้ ฉันปรับลมหายใจที่เหนื่อยหอบให้คงที่พร้อมกับนั่งลงบนลานน้ำพุ ขณะที่ผูกเชือกรองเท้าที่หลวมอยู่ให้แน่นขึ้น ฉันก็มองไกลออกไปยังแสงไฟถนนที่กะพริบอยู่รางๆ และจู่ๆ ก็รู้สึกอยากจะเต้นขึ้นมา คืนกลางฤดูร้อนมีเสน่ห์ที่แปลกประหลาดแบบนั้นแหละ
ณ สวนสาธารณะแห่งนี้มีความทรงจำลับๆ ที่มีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้ และไม่เคยได้บอกกับใครอยู่ ในอดีตที่เลือนรางเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ฉันกำลังกัดไอศกรีมรสแตงโมอยู่ในปาก พร้อมกับเล่นไฟเย็นที่ใครสักคนให้มาเป็นของขวัญ
ตอนนั้น ฉันเห็นภาพของเงาที่เต้นอยู่ท่ามกลางแสงไฟถนนที่กะพริบอยู่ แม้จะเป็นสายตาของเด็ก ภาพนั้นก็ยังเป็นภาพที่สวยงาม และยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ฉันเอาแต่จ้องมองไปที่ภาพเงานั้นอย่างเหม่อลอยโดยที่ไม่รู้เลยว่าประกายไฟที่กระจายออกมาจากไฟเย็นได้ตกลงมาโดนหลังเท้า
‘ชอบบัลเลต์งั้นเหรอ’
แน่นอนว่าเจ้าของเงาที่เดินเข้ามาหาฉันที่กำลัง ‘ทำหน้าเอ๋อ’ อยู่ ก็คือคนที่ถามคำถามนี้ขึ้นมาว่า ‘ชอบบัลเลต์งั้นเหรอ’ นั่นคือการพบกันครั้งแรกของฉันกับรุ่นพี่อีกง
ฉันในวัยเด็กที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบัลเลต์คืออะไร แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเต็มที่เหมือนกับโดนอะไรครอบงำอยู่ แล้วรุ่นพี่ก็เผยยิ้มละมุน พร้อมกับลูบหัวของฉัน อ้า สัมผัสมือนั้น แม้แต่ตอนนี้ มันก็ยังติดอยู่ภายในความทรงจำของฉันอย่างชัดเจน
‘มันอันตรายนะ’
อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็ดึงแขนของฉันไป ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าเศษที่ร่วงจากไฟเย็นมันกระเด็นเข้าไปอยู่ในรองเท้าแตะ จนเกิดเป็นแผลที่หลังเท้าของฉัน
ตอนนี้ฉันนั้นแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยว่าความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนนั้นเกิดขึ้นตรงหลังเท้า หรือว่าข้อมือที่ถูกรุ่นพี่จับอยู่ หรือเกิดขึ้นจากส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปภายในจิตใจกันแน่
แต่พอมาลองคิดๆ ดูอีกที พวกเศษไฟเย็นเล็กๆ เมื่อตอนนั้นน่าจะเผาไหม้จิตใจของฉัน แล้วหลงเหลือรอยแผลเป็นเอาไว้อย่างแน่นอน เพราะงั้นเวลาที่ฉันนึกถึงรุ่นพี่อีกงขึ้นมา มุมหนึ่งของจิตใจถึงได้รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาแบบนี้
ฉันสูดกลิ่นอายของคืนกลางฤดูร้อนที่เหมือนกับคืนนั้นที่อากาศเหนียวหนึบเข้าไปจนเต็มปอด พร้อมกับเริ่มต้นวาดรูปรุ่นพี่อีกงที่อยู่ภายในความทรงจำด้วยท่าทางที่เหมือนกับกำลังนับดาวอยู่
‘บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวจะพาไปส่ง’
ตัวฉันในวันนั้นดูน่าอายชะมัด ฉันร้องไห้จนคอแทบแตก แถมยังร้องจนน้ำมูกไหลต่อหน้ารุ่นพี่อีกงอีก ฉันพูดแต่ว่า เจ็บจัง เจ็บจัง โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเจ็บตรงไหน ในสายตารุ่นพี่ตอนเด็ก ฉันที่นั่งร้องไห้งอแงจะดูเป็นเด็กน้อยขนาดไหนกันนะ แต่รุ่นพี่ก็ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งหันหลังเล็กๆ มาให้ฉัน
‘มา ขึ้นมาสิ’
ดูเหมือนว่าเสียงหวานๆ ของรุ่นพี่อีกงจะเปลี่ยนมาเป็นพลังให้แก่ฉันมากกว่าคำขู่ของแม่ที่บอกว่า ถ้าเอาแต่ร้องไห้ จะถูกเสือจับกินซะอีก เสียงของรุ่นพี่ทำให้ฉันในวัยเด็กที่นอกจากจะร้องไห้เก่งแล้ว พอได้เริ่มร้องครั้งหนึ่งก็จะร้องไม่หยุด กลับเงียบลงในครั้งเดียว หลังของรุ่นพี่ที่แบกฉันในวันนั้นมันทั้งอบอุ่น แล้วก็แข็งแรง
“อยากกินไอศกรีมจังเลย”
พอได้ขุดคุ้ยความทรงจำลึกลงไป ก็ทำให้รู้สึกอยากกินไอศกรีมรสแตงโมขึ้นมา ฉันกลืนน้ำลายพลางเหยียดขาออก ฉันก้มตัวแล้วยื่นมือลงไปแตะที่เท้าเพื่อทำการยืดเส้นยืดสาย จู่ๆ เงามืดก็ทาบทับเหนือศีรษะของฉัน
“ฮวีกยอมนี่”
ด้วยความตกใจ ฉันจึงรีบเงยหน้าขึ้น ตายแล้ว รุ่นพี่อีกงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน รุ่นพี่กำลังยืนพิงเสาไฟข้างถนนอยู่ รอยยิ้มของรุ่นพี่ที่เปล่งประกายสีขาวราวกับจันทร์เต็มดวง แขนสวยๆ ของรุ่นพี่ที่เผยออกมาจากเสื้อเชิ้ตหลวมๆ ฉันยืนเหม่อจ้องมองดูรุ่นพี่อยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนจะได้สติกลับมา แล้วรีบโค้งหัว
“สวัสดีค่ะ”
“วิ่งจ๊อกกิ้งเหรอ”
“ค่ะ”
“ขยันจังเลยนะ”
ดวงตาของรุ่นพี่อีกงโค้งเหมือนกับพระจันทร์ข้างขึ้น กลิ่นของรุ่นพี่เหมือนกลิ่นของดอกไม้อันหอมหวนราวกับฝัน เป็นกลิ่นของดอกอาคาเซียที่ถูกบดละเอียด นั่นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับสภาพที่เปียกปอนไปด้วยเหงื่อจนดูน่าขันของตัวเอง
ระหว่างที่ฉันกำลังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะนั่งหรือจะยืนดี มือของรุ่นพี่อีกงก็ขยุกขยิกอยู่ข้างในกระเป๋ากางเกงเทรนนิ่งสีน้ำเงิน หลังจากนั้นเขาก็ยื่นอะไรบางอย่างมาให้ฉัน
“ยังชอบนี่อยู่หรือเปล่า”
ที่ปลายนิ้วของรุ่นพี่อีกง มีไอศกรีมเย็นๆ ที่ฝ้าบนกระดาษห่อยังไม่จางไปเลยด้วยซ้ำ แถมยังเป็นรสแตงโมอีก ฉันจ้องไอศกรีมและรุ่นพี่สลับกันไปมาด้วยหน้างงๆ รุ่นพี่จึงทำหน้าสงสัย
“ไม่ชอบแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ! …ยังชอบอยู่ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ฉันรีบรับไอศกรีมมาถือเอาไว้ แล้วโค้งหัวให้ รุ่นพี่ยิ้มจนตาแทบปิดอีกครั้ง
ยังจำได้อยู่งั้นสินะ เขายังจำตอนนั้นได้อยู่ รู้สึกอย่างกับว่าหัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้ว่าจะเป็นความทรงจำที่น่าอายหน่อยๆ แต่ความจริงที่ว่ารุ่นพี่อีกงจำฉันได้ ก็เล่นเอาฉันรู้สึกประทับใจและตื้นตันเป็นอย่างมาก
“รู้อะไรไหม”
“…คะ อะไรเหรอคะ”
รุ่นพี่อีกงที่จู่ๆ ก็เปิดหัวข้อคำถามขึ้นมา เดินมาอยู่ข้างๆ ฉัน แล้วนั่งลงตรงลานน้ำพุ พลางบิดขี้เกียจ แขนที่ยืดตรงหมุนไปมา สายตาของรุ่นพี่ที่เคยมองไกลออกไป อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนมาทางฉัน
ช่วงเวลานั้นฉันเหมือนกับจะหายใจไม่ออก ฉันจึงรีบแกะกระดาษห่อออกจากไอศกรีมที่ถืออยู่อย่างลนลาน แล้วรีบกัดเข้าปาก
ด้วยความกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงของหัวใจที่เต้นตึกตัก ฉันเลยถึงกับพยายามส่งเสียงออกมาอย่างเต็มที่ แต่เสียงของรุ่นพี่ก็อยู่ใกล้มาก ใกล้ขนาดที่ว่าเขากำลังกระซิบอยู่ที่ข้างๆ หูของฉัน
“ฉันได้กลิ่นแตงโมจากเธอน่ะ”
“คะ?”
“ทำไมล่ะ ก็นั่นไง กลิ่นที่แบบว่า ฉ่ำๆ หอมหวาน แล้วก็สดชื่นน่ะ”
‘มันเป็นกลิ่นที่ดีนะ’ รุ่นพี่กล่าวเสริมแล้วหัวเราะร่า ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ฉัน เสียงหัวเราะของรุ่นพี่ที่กระซิบอยู่ข้างหูจึงทำให้จั๊กจี้ และลมหายใจบางๆ ก็ได้ลอยผ่านแถวต้นคอของฉันไป
กล้ามเนื้อทั้งตัวของฉันเกร็งไปหมด อารมณ์ที่ตื่นขึ้นมาทำให้ตัวของฉันสั่นเล็กๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ไอศกรีมก็ค่อยๆ ละลายแล้วหยดลงพื้นกลายเป็นรอยด่างสีชมพูอ่อนๆ
“เอ่อ คือ รุ่นพี่คะ”
“หือ”
“…คือว่า”
“อือ”
ใบหน้าของฉันฉายอยู่ในดวงตาคู่โตที่นุ่มลึกของรุ่นพี่ ฉันกลืนน้ำลายแห้งๆ รสแตงโมที่ยังหลงเหลืออยู่ในปากไหลลงไปในคอ
“รุ่นพี่เต้นคลาสสิกต่อไปไม่ได้เหรอคะ”
“…”
“…ถ้าได้ก็คงจะดีแท้ๆ”
คำสุดท้ายถูกเปล่งออกมาแบบพึมพำ ฉันอยากที่จะเต้นพร้อมกับมองไปยังที่เดียวกัน บัลเลต์ของฉัน เริ่มต้นด้วยรุ่นพี่อีกง และฉันก็อยากจะให้จบลงที่รุ่นพี่อีกงด้วยเช่นกัน
ฉันเข้าใจดีว่าเพราะนี่คือเส้นทางของรุ่นพี่ ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่ถึงอย่างนั้น โลกของบัลเลต์ที่ไม่มีรุ่นพี่อีกงอยู่ด้วย ก็ยังโหดร้ายเกินไปสำหรับฉัน
“ฮวีกยอม”
“…คะ”
“ลองดูฉันเต้นสักครั้งไหม”
อยู่ดีๆ ก็จะให้ดูการเต้นงั้นเหรอ ฉันกรอกตาไปมาด้วยความสับสน รุ่นพี่หันมายิ้มบางๆ ให้ฉันที่ทำท่าทางแบบนั้น แล้วจึงลุกพรวดขึ้นมา เขาเดินอย่างช้าๆ ไปที่ใต้เสาไฟข้างถนนที่กระพริบอยู่
ฉันกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่กับไอศกรีมที่ละลายจนน้ำสีชมพูค่อยๆ หยดลงไป แล้วก็ทำเพียงเฝ้ามองดูท่าทางของรุ่นพี่จากที่ไกลๆ
“งั้นจะเริ่มแล้วนะครับ”
แขนของรุ่นพี่อีกงวาดเส้นโค้งที่หนักแน่นราวกับจะบินขึ้นไปในทันที พร้อมกับเริ่มสะบัดพลิ้ว ไหล่อันแข็งแรงขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระโดดลอยขึ้นไปบนอากาศชั่วครู่
“ว้าว…!”
เป็นความสูงที่ยอดเยี่ยมราวกับติดปีกบิน ลำแสงสีเหลืองจากไฟถนนถูกบดบังอยู่ข้างหลังของรุ่นพี่อีกงที่ทะยานขึ้นไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะนุ่มนวลเหมือนกับธงที่ปลิวไสว แต่ก็เป็นการกระโดดที่ทรงพลัง ก่อนจะลงพื้นด้วยไหล่ที่ตั้งตรงอย่างสง่าผ่าเผย การเต้นของรุ่นพี่อีกงคือความงดงามที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ
พอได้เห็นท่าทางนั้นแล้ว ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็เหมือนน้ำตาจะไหลออกมา ฉันกลั้นหายใจเอาไว้พลางปิดปากสนิท แม้จะไม่มีเสียงดนตรี แต่ร่างกายของรุ่นพี่ที่หมุนเบาๆ อย่างรวดเร็ว ก็เคลื่อนไหวอย่างมีท่วงทำนองราวกับได้สร้างท่วงทำนองของตัวเองขึ้นมา
“สวยจัง…”
ฉันยืนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับกำมือเอาไว้แน่น พลางมองดูท่วงท่าการเต้นของรุ่นพี่ เสียงอุทานด้วยความชื่นชมที่พึมพำขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัวได้สลายหายไปกลางอากาศในฉับพลัน รุ่นพี่อีกงกำลังส่องสว่างเป็นประกายกว่าครั้งไหนๆ จนถึงขั้นที่ฉันเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาว่า เขาจะหายตัวไปพร้อมกับแสงสว่างนี้
รุ่นพี่อีกงที่ไม่รู้ว่าเต้นเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังยืนหายใจอย่างเหนื่อยหอบเล็กน้อยอยู่ข้างหน้าฉัน มือของรุ่นพี่ที่จับไหล่ฉันไว้แน่นนั้นร้อนพอๆ กับลมหายใจที่พ่นออกมา
“ฮวีกยอม เธอสนุกกับการเต้นบัลเลต์ไหม”
“…ค่ะ”
“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
“…”
“ถึงจะไม่มีฉัน เธอก็ทำได้อยู่แล้ว”
เสียงของรุ่นพี่อีกงอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ แต่ก็แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ทรงพลังจนไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป และได้แต่พยักหน้ารับเพียงเท่านั้น
“งั้นไปกันเถอะ”
มือของรุ่นพี่อีกงที่ผายอยู่ข้างหน้าทั้งใหญ่และแข็งแรง ฉันจับมือนั้นอย่างระมัดระวัง เรื่องในคืนนี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นความลับของฉันเพียงคนเดียวอีกเช่นเคย