เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 22 ที่แท้เสินเซ่อเทียนไม่ใช่เจ้าตัวโง่งม
เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] – ตอนที่ 22 ที่แท้เสินเซ่อเทียนไม่ใช่เจ้าตัวโง่งม
เยี่ยเม่ย “…”
หลังจากนางนิ่งเงียบไปหลายวินาที ค่อยมองเสินเซ่อเทียน “จวินซ่าง ท่านชอบอาหารอร่อยถึงเพียงนี้หรือเป็นเพราะในวัยเด็กของท่านอดอยากอยู่เสมอหรือ”
ความจริงนางก็เอ่ยออกไปอย่างนั้น คนอย่างเสินเซ่อเทียนจะอดอยากได้อย่างไร คำพูดนี้เต็มไปด้วยการหยอกล้อ คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
เสินเซ่อเทียนกลับหันไปมองนาง น้ำเสียงแฝงด้วยกลิ่นอายเทพเจือไปด้วยวความขบขัน มองเยี่ยเม่ยโดยไม่บิดบัง ตอบกลับว่า “ถูกแล้ว!”
“หา…” หากมิใช่เห็นสีหน้าจริงจังของเสินเซ่อเทียน เยี่ยเม่ยสงสัยว่าเขากำลังล้อนางเล่น
เสินเซ่อเทียนยักไหล่มองเยี่ยเม่ย “ปีนั้นข้าถูกคนของสำนักเทียนจีอุ้มไป ต่อมาค่อยรู้ว่า ตามดวงชะตาข้าไม่สมควรไปที่สำนักเทียนจี แต่สมควรถูกประหารไปพร้อมกับคนในตระกูลทั้งหมด ทว่าเพราะข้ามีพรสวรรค์ยากพบพาน พวกเขาจึงไม่อยากปล่อยข้าไว้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพาตัวข้าไป หลีกหลบเคราะห์ภัยถูกฆ่าล้างตระกูล ภายหลังก็ยังเพราะชะตาชีวิตของข้า ดังนั้นพวกเขาเพียงแค่อบรมสั่งสอนวรยุทธ์ หาได้สอนให้ข้าทำนายชะตา”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เสินเซ่อเทียนมองเยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ยว่า “คนของสำนักเทียนจี กว่าครึ่งหนึ่งรู้จักการทำนายชะตา แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คนกลุ่มนั้นถึงมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด ส่วนคนอีกครึ่งหนึ่งถึงแม้ไม่รู้จักวิชาทำนาย แต่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ถึงขั้นสุดยอด ส่วนข้านั้นเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นยอดฝีมือแห่งยุคในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ แม้แต่สำนักเทียนจีก็ยังไม่อาจเอาชนะข้าได้”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว
เมื่อก่อนคล้ายเคยได้ฟังจากปากซือหม่าหรุ่ยว่า ความจริงอาจารย์ของนางกับเสินเซ่อเทียนกำเนิดจากสำนักเดียวกัน เสินเซ่อเทียนคือศิษย์น้องเล็กของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ แต่ว่าวรยุทธ์กลับอยู่เหนือท่านผู้เฒ่า ตอนนั้นเยี่ยเม่ยไม่เข้าใจว่าด้วยอายุขนาดนั้นของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ฝึกกำลังภายในมานานหลายปี ทำไมไม่อาจเอาชนะเสินเซ่อเทียนที่ยังอายุเยาว์ได้
ตอนนี้เมื่อคิดดู คงมีสาเหตุอื่นอีก
เสินเซ่อเทียนคล้ายกับคาดเดาความคิดนางออก จึงอธิบายว่า “คนที่เข้าสำนักเทียนจีทั้งหมดล้วนเป็นคนมีพรสวรรค์ ล้วนสามารถศึกษาวิชาที่แตกต่างออกไป แต่คนส่วนมากล้วนเลือกร่ำเรียนการทำนายชะตา แต่เจ้าต้องรู้ว่า หากต้องการมีคุณสมบัติที่จะล่วงรู้ความลับสวรรค์ต้องได้จ่ายค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ดังนั้นวรยุทธ์ของพวกเขาจึงหยุดได้แค่ขั้นสูงสุด ไม่มีสิทธิ์ก้าวไปสู่ยอดฝีมือแห่งยุค นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ถึงไม่ใช่คู่มือของข้า”
ครั้นเล่ามาถึงยามนี้ เสินเซ่อเทียนกลับยิ้มออกมองเยี่ยเม่ย “ความจริงหากนับตามศักดิ์ เจ้าสมควรเรียกข้าอาจารย์อา เพียงแต่เพราะข้าคิดแต่งงานกับเจ้า ดังนั้นคำว่าอาจารย์อาก็ช่างเถอะ กันไม่ให้เจ้าและข้าไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่!”
เยี่ยเม่ยจนคำพูด ก็ดีเหมือนกัน ตามใจท่านเถิด นางก็ไม่หวังจะมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกคนอีกแล้ว โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่โตกว่านางไม่มากนัก
“ดังนั้นหากตามชะตาแล้ว ท่านไม่สมควรเข้าสำนักเทียนจี ด้วยเหตุนี้…ท่านถึงถูกทรมาน?” เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุกมองเสินเซ่อเทียน
เสินเซ่อเทียนส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “หาได้เป็นเช่นนั้น ความจริงสำนักเทียนจีแบ่งออกเป็นแปดสาขา ถึงแม้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่นับเป็นศิษย์พี่ข้า แต่ก็อยู่คนละสาขากับข้า หาได้มีอาจารย์คนเดียวกัน ในร้อยปีนี้อาจารย์รับข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น!”
“ดูท่าแล้ว ตัวท่านคงมีคุณสมบัติที่สุดยอดมาก ไม่เช่นนั้นหนึ่งร้อยปีอาจารย์ท่านคงไม่รับศิษย์เพียงคนเดียว!” เยี่ยเม่ยแสดงความเห็น
ไม่เช่นนั่นสุดท้ายในสำนักเทียนจีเสินเซ่อเทียนคงไม่กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานไม่มีคู่ต่อสู้ นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าสายตาของอาจารย์เขาไม่เลวจริงๆ
สำหรับคำพูดประโยคนี้ของเยี่ยเม่ยก็นับว่าเป็นการชื่นชม เสินเซ่อเทียนหาได้ตอบรับ ชั่วชีวิตนี้เขาได้รับคำชื่นชมมากแล้ว กลายเป็นความเคยชินมาเนิ่นนาน
เขามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้าหาใช่คนมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เรื่องนี้ข้าก็ไม่เข้าใจจริงๆ แต่สิ่งที่ข้าเข้าแจ่มแจ้งคือ อาจารย์ข้าเข้มงวดนัก หลังกจากที่ข้าหัดเดินได้ ทุกวันต้องทำภารกิจในการฝึกยุทธ์ไม่ซ้ำ หากไม่สำเร็จก็จะอดข้าว”
ครั้นเล่าถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มยกตัวอย่างให้เยี่ยเม่ยฟัง “อย่างตอนที่ข้าอายุเก้าขวบ มีวันหนึ่งอาจารย์พลันเกิดความคิดพิสดาร ให้ข้าใช้วิชาตัวเบาปีนหน้าผากสูงหมื่นจั้ง แต่ก่อนหน้านั้นอาจารย์ไม่เคยสอนวิชาตัวเบาข้ามาก่อน ข้าใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงทำสำเร็จ ตอนนั้นเป็นเดือนเหมันต์ หิมะปกคลุมทั่วเขา บนภูเขาแทบไม่หลงเหลือของกินได้ ข้ากินของทั้งหมดที่กินไปได้ ทั้งใบหญ้าเปลือกไม้ถึงได้สำเร็จภารกิจ”
ระหว่างเล่าไปเขาก็ถอนหายใจเบาๆ ยิ้มเล่าต่อว่า “ตอนนั้นข้าถึงรับรู้ว่า ที่แท้กินข้าวอิ่มท้องสักมื้อหาใช่เรื่องง่าย”
ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยถึงเข้าใจแล้ว
ความจริงบนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องราวที่ไร้เหตุไร้ผล หากคนผู้หนึ่งยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนัก ใช้เวลากับมันเสียส่วนใหญ่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การเติบโตของเขาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าไม่อาจตัดอาการพวกจอมตะกละตามมาตรฐาน บางทีพวกเขาก็อาจเป็นแค่พวกชอบกินเท่านั้น
เยี่ยเม่ยมองเสินเซ่อเทียน ถามว่า “ดังนั้นหลังจากท่านสำเร็จวิชา ก็เริ่มออกแสวงหาของกิน?”
“ถูกต้อง!” เสินเซ่อเทียนไม่ปิดบังเลย เล่าต่อว่า “ในปีที่อายุสิบสอง ข้าสำเร็จวิชาที่อาจารย์สอนได้จนหมดสิ้น หลังจากนั้นขอเพียงเป็นของอร่อยข้าก็ไม่เคยหยุด น่าเสียดาย หลังจากผ่านความพยายามนับหลายปี ปากของข้ายังคงช่างเลือกกิน ส่วนฝีมือทำอาหารย่ำแย่มาก”
ครั้นตอบเช่นนี้ เสินเซ่อเทียนก็รู้สึกถอดถอนใจเช่นกัน
อย่างไรเขาก็เป็นจอมกิน รู้จักแต่กินทำอาหารไม่เป็นช่างไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ
ยามเอ่ยถึงจุดนี้เสินเซ่อเทียนพลันหัวเราะเสียงใสมองเยี่ยเม่ย เอ่ยเบาๆ “ความจริงข้ารู้ดี โลกนี้ไม่ใช่ทุกคนเป็นเหมือนข้า ชอบอาหาร อย่างเช่นเจ้า เจ้าอาจชอบกิน แต่ไม่แน่ว่าจะปักใจถึงขั้นยึดติดกับมัน แต่ว่าเพื่อการแสดง ข้าก็ยินยอมแบ่งปันของที่รักที่สุดกับเจ้า มีความหมายว่าจะแบ่งปันชั่วชีวิต”
เมื่อเขาอธิบาย เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักได้
ที่แท้ เสินเซ่อเทียนไม่ใช่ตัวโง่งม!
เดิมทีนางคิดว่า เสินเซ่อเทียนหอบของกินวิ่งมาโน้มน้าวนาง ใช้วิธีเอาความคิดตัวเองมาตัดสินคนอื่น มาหานางด้วยท่าทางราวกับทุกคนล้วนชอบกินของอร่อย หวังว่านางจะมองเขาต่างออกไปเพราะอาหารอร่อย
ยามนี้เมื่อคิดดูแล้ว….
เดิมทีเขาก็ใช้เรื่องนี้ในการแสดงออกว่าเขายินยอมแบ่งปันกับนาง เขาเอาสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุด รวมถึงอาหารรสเลิศที่เขาลุ่มหลงด้วย
น่าเสียดาย
สิ่งที่เขาไม่รู้คือ สิ่งที่เขาใส่ใจอีกอย่างหนึ่ง…ความมั่นคงของราชสำนักเป่ยเฉินและชีวิตของเป่ยเฉินเซี่ยว
สิ่งเหล่านี้คือของที่เยี่ยเม่ยต้องเอาไปให้ได้!
ดังนั้นพวกเขาสองคนไม่มีทางเป็นคนร่วมทางสายเดียวกัน อีกทั้งยังอยู่บนคนละเส้นทางมาแต่แรกแล้ว มีแต่การเข่นฆ่า นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
เยี่ยเม่ยสรุปอยู่ในใจแต่ว่าไม่เอ่ยอะไรออกไป นางพยักหน้าเอ่ยปากว่า “ความหมายของจวินซ่าง ข้าเข้าใจแล้ว !”