เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 259 เจ้าคืออาซีจริงๆ!
ซือหม่าหรุ่ยฟังคำพูดเยี่ยเม่ย พลันชะงักไปเล็กน้อย
มีเรื่องจะถามนาง?
ความจริงช่วงที่นางอยู่ชายแดน นางรู้สึกถึงความเหินห่างที่เยี่ยเม่ยมีต่อนาง เหมือนเยี่ยเม่ยจงใจรักษาระยะห่างกับนาง และท่าทีเช่นนี้จึงทำให้ ซือหม่าหรุ่ยเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อาซีจริงๆ
เพราะว่าจากนิสัยของเยี่ยเม่ย นางมองออกว่า ความจริงที่เยี่ยเม่ยไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง สาเหตุมาจากที่นางดีกับเยี่ยเม่ยเพราะอาซี เยี่ยเม่ยจึงไม่ยอมเอาเปรียบนาง
แต่ว่าวันนี้เยี่ยเม่ยถึงกับออกปากว่ามีเรื่องถามนาง เรื่องนี้ทำให้ซือหม่าหรุ่ยตกใจเป็นอย่างมาก
เห็นซือหม่าหรุ่ยมองนางอึ้งๆ เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว “ทำไม มีปัญหาหรือเปล่า”
“ไม่มีปัญหา! ก็แค่ตกใจเท่านั้น ถึงอย่างไรช่วงนี้พวกเรานับว่าสนิทกันอยู่บ้าง ก็ยังไม่อาจเรียกว่าใกล้ชิดสนิทสนม เจ้าจงใจหลบหลีกข้ามาตลอด!” ในเมื่อเป็นสตรีซือหม่าหรุ่ยย่อมความรู้สึกไว รับรู้สิ่งเหล่านี้ได้
เยี่ยเม่ยมองนางรอบหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าคงเข้าใจว่าทำไมข้าถึงห่างเหินกับเจ้าใช่หรือไม่”
นางไม่หวังให้คนอื่นเห็นเงาของสหายสนิทบนตัวนางแล้วทำดีกับนาง
เช่นเดียวกับที่นางไม่หวังว่า เมื่อตนกับพวกลูกพี่แยกจากกันแล้ว วันหนึ่งมีคนหน้าตาเหมือนนางไม่มีผิดเข้าใกล้ชิดพวกลูกพี่ อาศัยหน้าตาเหมือนนางเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพวกลูกพี่
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมนางไม่ยอมสนิทกับซือหม่าหรุ่ย
เดิมทีนางคิดว่าหลังจากจัดการเรื่องของจิ่วหุนเสร็จ นางจะต้องชดใช้น้ำใจของซือหม่าหรุ่ย เมื่อชดใช้บุญคุณครั้งนี้ เช่นนั้นซือหม่าหรุ่ยก็จะได้จากไปได้ คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้กลับเปิดประตูความทรงจำของนางออกมา
ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า “ไม่ผิด! ข้าเข้าใจ!”
เพราะว่านางรู้ ถึงได้ยิ่งชอบเยี่ยเม่ย นางไม่แน่ใจว่าหากอาซียังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบเยี่ยเม่ยหรือไม่ ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นง่ายๆ ทว่านางรู้ตัวดี ท่าทีเหล่านี้คือสิ่งที่นางชื่นชม
“อย่างนั้นก็ไปเถอะ!”
เยี่ยเม่ยเดินออกไป
เมื่อเดินถึงประตู นางยังถลึงตาใส่จิ่วหุนทีหนึ่ง เพราะการกระทำของเจ้าเด็กนี่ ทำให้นางอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
จิ่วหุนเห็นสถานการณ์ก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นมา มุดลงไป เหลือเพียงดวงตาอยู่ด้านนอก มองเยี่ยเม่ยเดินออกไปด้วยแววตาน่าสงสาร
ในเวลานี้เยี่ยเม่ยร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก ในที่สุดก็ไม่ตำหนิเขาอีก เดินจากไป
ซือหม่าหรุ่ยติดตามเยี่ยเม่ยออกไปอย่างรวดเร็ว
เพิ่งจะถึงหน้าประตู สายตาเยี่ยเม่ยทอประกายวาบ สัมผัสได้ว่ามีคนแอบจับตามองนางอยู่ ไม่ต้องคิดมาก นางก็รู้ว่าแปดส่วนต้องเป็นคนของเป่ยเฉินอี้แน่ สรุปแล้ว เป่ยเฉินอี้ยังสงสัยในตัวนาง
เช่นนั้น…
ในเวลานางพูดคุยกับซือหม่าหรุ่ยเป็นการส่วนตัว หากเป่ยเฉินอี้รับรู้ต้องก่อให้เกิดความระแวงสงสัยมากขึ้นแน่
ไวเท่าความคิด
เยี่ยเม่ยจงใจเอ่ยปากเสียงดังทันทีว่า “หมอเทวดา ข้าเชิญท่านมาที่ห้องข้า พวกเราหารือกันว่าจะกำจัดพิษในกายจิ่วหุนให้หมดสิ้นได้อย่างไร!”
ซือหม่าหรุ่ยชะงักไปเล็กน้อย
คิดว่าปัญหานี้นางอธิบายให้เยี่ยเม่ยฟังไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังบอกเยี่ยเม่ยไปแต่แรกแล้วว่านางให้พวกพี่บุญธรรมไปช่วยหายาแก้พิษ?
แต่ว่าอย่างไร ซือหม่าหรุ่ยก็หาใช่โง่เขลาเบาปัญญา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ผิดเลย ชายแดนนี้มีหูตาคนมากมาย…
นางตอบรับอย่างชาญฉลาดว่า “ได้! เรื่องนี้ข้าก็อยากบอกเจ้าอย่างละเอียดเช่นกัน เรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน บางทีเจ้าอาจต้องใช้เวลารับฟังนานหน่อย!”
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเสียงดังเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนท่านหมอเทวดาแล้ว!” เยี่ยเม่ยตอบกลับเสียงดังอีกครั้ง
นางเชื่อว่า คนที่แอบอยู่ย่อมได้ยินบทสนทนาของนางสองคนอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งยังเอาไปรายงานเป่ยเฉินอี้ด้วย
เป็นจริงตามคาด
เมื่อคนที่หลบอยู่เห็นฉากนี้ นัยน์ตากลอกไปมา จากนั้นก็รีบไปรายงานเป่ยเฉินอี้ทันที
……
ท้องฟ้าสว่างไสว
เยี่ยเม่ยเดินเข้ามาในเรือนของตน ซือหม่าหรุ่ยก็ติดตามเข้ามาอย่างว่องไว
หลังจากเข้าห้องแล้ว เยี่ยเม่ยปิดประตู
ความระมัดระวังนี้ ทำให้ซือหม่าหรุ่ยมุ่นคิ้วแน่น
“นั่ง!” เยี่ยเม่ยชี้เก้าอี้ ขณะเดียวกันตัวนางก็หาที่นั่งลง รินชาให้ซือหม่าหรุ่ย
ซือหม่าหรุ่ยก็ไม่เกรงใจ หลังจากนั่งลงแล้ว ถามว่า “เจ้าจะถามอะไรข้า”
เยี่ยเม่ยจ้องตาซือหม่าหรุ่ย เอ่ยปากเสียงนิ่ง “ข้าอยากถามเจ้าว่าสหายสนิทเจ้าที่หน้าตาเหมือนข้าผู้นั้นชื่ออาซีใช่หรือไม่ นางมีความสัมพันธ์กับราชสำนักจงเจิ้งใช่หรือไม่!”
ซือหม่าหรุ่ยตะลึงงัน
ลุกพรวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จ้องมองเยี่ยเม่ย “เจ้า เจ้าพูดอะไรนะ”
เสี้ยวเวลานี้ ซือหม่าหรุ่ยตัวสั่นงกอย่างยากเกินควบคุมได้ ในใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยี่ยเม่ยคือคนที่ตนตามหา แต่นางก็หวาดกลัวที่จะเผชิญกับคำตอบที่น่าผิดหวัง นี่ทำให้นางตัวสั่น
เยี่ยเม่ยไม่ปิดบัง เอ่ยตามตรง “หลายวันนี้ เรื่องที่เป่ยเฉินอี้รั้งตัวข้าไว้ เจ้าคงรู้แล้วสินะ เขาพาข้าไปยังสถานที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง ไปชมดูของหลายอย่าง ทำให้ข้าได้ความทรงจำที่หายไปสิบกว่าปีกลับมา แต่…เพียงแต่เป็นแค่ภาพบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกอย่าง ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้อะไรบ้าง ข้าถึงได้มาถามเจ้า!”
ความจริงแล้ว หลังจากที่เยี่ยเม่ยกลับมาในยุคสมัยนี้ นางท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่หลอกลวงกันมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเป่ยเฉินอี้ปรากฏกาย ทำให้รอบกายนางมีแต่แผนการที่ถูกวางไว้
บางทีใครบางคนข้างกายนาง อาจเป็นคนที่เป่ยเฉินอี้วางไว้แต่แรกแล้ว ช่วยเหลือนางเพื่อได้รับความไว้วางใจจากนางก็อาจเป็นไปได้ อย่างไรเสียเป่ยเฉินอี้ก็ยอมรับเองว่าเขาวางแผนนำหน้าไปก่อนนางหลายก้าวแล้ว
ดังนั้น ในเวลานี้นางเชื่อใจซือหม่าหรุ่ย ตรงมาถามคำถามเหล่านี้จากอีกฝ่าย ความจริงแล้วเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย แต่สัญชาตญาณทำให้นางเชื่อมั่นซือหม่าหรุ่ย เชื่อใจคนที่อยู่เบื้องหน้านาง
ความมั่นใจมาอย่างไร้เหตุผล แต่นางมั่นใจ
เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ ซือหม่าหรุ่ยที่เดิมทีตัวสั่นเทิ้ม ยิ่งรู้สึกว่ายืนไม่มั่นแล้ว นางจ้องเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าบอกว่า…เจ้าบอกว่า เพราะว่าเจ้าไปสถานที่ตั้งของราชสำนักจงเจิ้ง เจ้าเลยคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อีกอย่าง…เมื่อก่อนเจ้าไม่รู้จักข้า เพราะเจ้าสูญเสียความทรงจำอย่างนั้นหรือ”
“ข้าสูญเสียความทรงจำเป็นความจริง แต่ว่าใช่เหตุผลที่ข้าไม่รู้จักเจ้าหรือเปล่าข้าไม่แน่ใจ!” เยี่ยเม่ยปรับคำพูดของอีกฝ่าย
ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจทันที ความทรงจำที่กลับคืนมาของเยี่ยเม่ย ต้องไม่มีนางแน่ ดังนั้นนางจึงจำไม่ได้
แต่ซือหม่าหรุ่ยไม่รีบร้อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มากพอให้นางดีใจจนกระบอกตาร้อนผ่าวแล้ว “เจ้าคืออาซีจริงๆ ข้าคิดไม่ถึงเลย เจ้าคือ…”
เห็นนางซาบซึ้งเสียขนาดนี้ เยี่ยเม่ยเองก็เริ่มหวั่นไหว
นางนิ่งไปสักพัก จ้องซือหม่าหรุ่ย “เจ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาซีให้ข้าฟังเถอะ!”