เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 234 ชุดของข้าก็เป็นท่านที่เปลี่ยนให้หรือ
บนร่างเขามีกลิ่นอำพันทะเล กลิ่นไม่คุ้นเคยทำให้เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว
เงยหน้าขึ้นมอง ประจวบกับสบตาเขาพอดี นางหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่พูดไม่จาก็รีบลุกขึ้น ผละออกจากอ้อมอกเขา
เป่ยเฉินอี้ไม่รั้งนางไว้ หลังจากเยี่ยเม่ยนั่งลงตรงข้ามตนอย่างระแวดระวัง เขาเพียงยื่นมือออกไป จัดชุดสูงศักดิ์ของตนที่ถูกนางทับจนเป็นรอยยับย่นให้เรียบร้อย
ก่อนที่เยี่ยเม่ยเอ่ยซักไซ้เอาความ น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาชิงดังขึ้นก่อน “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นลมไป หากปล่อยเจ้าไว้ในรถ ระหว่างทางล้อรถไปกระแทกอะไรขึ้นมาจะทำให้หัวโขกรถม้าได้ ข้าจึงได้กอดแม่นางเอาไว้โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ขออภัยด้วย!”
“ท่านอ๋องสมควรรู้ว่าชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด!” เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา ทว่าสีหน้ายิ่งเย็นเยียบกว่า
สำหรับเป่ยเฉินอี้ผู้นี้ จากครั้งก่อนมีข้อพิพาทกับจิ่วหุน นางก็ไม่ชอบเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสทางร่างกาย
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับเหลียวมองนางทีหนึ่ง ถามเสียงขรึมว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยรู้ว่าชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด เช่นนั้นไฉนเจ้าถึงได้เป็นลมไปในวังเก่าหลังนั้น เชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคงคาดเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนอุ้มเจ้าออกมา ในเมื่อเคยอุ้มแล้ว เหตุใดต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้อีก ข้ายังไม่เคยพบเจอใครที่ไม่รู้จักน้ำใจคนอย่างแม่นางเยี่ยเม่ยมาก่อน!”
เยี่ยเม่ยหน้าคล้ำ ยามนี้ไม่อยากถกเถียงอีกแล้ว
ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตน ไม่ใช่ชุดที่เคยใส่อยู่แต่เดิม ก็ยังไม่เสียใจเท่ารับรู้ได้ว่าร่างกายของตนใส่ผ้าซับประจำเดือนไว้แล้ว
คราวนี้ เยี่ยเม่ยสีหน้าถมึงทึงจ้องมองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ท่านอ๋องอย่าบอกข้าเชียวว่า เสื้อผ้าบนร่างของข้าถูกท่านเปลี่ยนให้ รวมถึงผ้าซับประจำเดือนท่านก็ช่วยใส่ให้ข้าด้วย!”
นางถามออกมาเช่นนี้
เป่ยเฉินอี้ถึงกับสั่นสะท้าน หน้าแดงขึ้นมา สีแดงเรื่อแผ่ซ่านไปทั่วโฉมหน้าสูงสง่าของเขา ยิ่งขับให้ใบหน้าชวนมองดูหล่อเหลาขึ้นอีก
เป่ยเฉินอี้นิ่งไปเล็กน้อย พูดไม่ออก ทว่าเห็นเยี่ยเม่ยถลึงตาดุร้ายคล้ายกับจะลงไม้ลงมือกับตน เขาก็ถอนหายใจ ในที่สุดก็เอ่ยออกมา “เถ้าแก่เนี้ยร้านเสื้อผ้าเปลี่ยนชุดให้แม่นาง!”
เขาไม่เข้าใจเสียจริง เรื่องเช่นนี้ในเมื่อผ่านไปแล้ว ต่อให้เป็นเขาที่เปลี่ยนให้นาง ตามปกติแม่นางทั้งหลายไม่สมควรเอ่ยถามอีกเพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัด
คิดไม่ถึงว่านางไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยง ซ้ำยังมีท่าทีเหมือนกำลังทวงหนี้ คราวนี้ก็ดีเลย เดิมทีคนที่ควรเขินอายอย่างนางกลับไม่ขัดเขินสักนิด กลับกันทำให้บุรุษอย่างเขากระอักกระอ่วน
เยี่ยเม่ยฟังคำตอบเขา ความไม่พอใจก็หายไปหลายส่วน
ครั้นคิดถึงตอนที่ตนจะหมดสติไป พลันไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอุ้มหรือไม่อุ้มพวกนี้อีก นางพิงผนังรถม้า ถามเสียงนิ่งว่า “พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อ”
“ยามนี้ก็ค่ำแล้ว พรุ่งนี้เช้าจึงจะถึงสถานที่แห่งนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยหลับตาพักผ่อนก่อนเถอะ” เป่ยเฉินอี้ใช้น้ำเสียงขรึมตอบกลับมา
เมื่อเอ่ยจบ สายตาเขาก็กวาดมองผ้าคลุมขนเตียวที่อยู่ในรถ เขาหยิบขึ้นมายื่นให้เยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “อากาศหนาว แม่นางเยี่ยเม่ยใส่ไว้เถอะ”
เวลานี้เป็นฤดูเหมันต์ ช่วงเวลาค่ำคืนก็หนาวเหน็บจริงๆ
เยี่ยเม่ยจ้องผ้าคลุมขนเตียวในมือเขา นิ้วเรียวยาวประดุจหยกขาวถือผ้าคลุมเตียวไว้ เนื้อผ้าแวววาวดูออกอย่างง่ายดายว่าราคาไม่ใช่ธรรมดา มือของผู้สูงศักดิ์ถือผ้าคลุมขนเตียวราคาแพง ยื่นให้นางด้วยความห่วงใย
นางเพียงรู้สึกเหมือนสุนัขจิ้งจอกคารวะปีใหม่ไก่ แมวส่งของขวัญให้หนู[1] ไม่มีเจตนาดี!
นางตีหน้าเย็นชา มองเป่ยเฉินอี้ เป่ยเฉินอี้รู้อยู่ในใจว่าภาพลักษณ์ของตนในใจนางไม่ดีเลยสักน้อย เขาก็ไม่อยากแก้ตัว เพียงเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ถึงแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่พอใจข้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายร่างกายตัวเอง!”
ประโยคนี้คือความจริง
เยี่ยเม่ยยื่นมือรับผ้าคลุมขนเตียวมาจากเขา ไม่พูดมากก็คลุมผ้าแล้วจากนั้นก็พิงรถหลับตาลงพักผ่อน
ยามประจำเดือนมา ถึงนางจะไม่เจ็บปวดท้องเท่าพี่น้องคนอื่นๆ แต่ว่าสภาพจิตใจและร่างกายไม่อาจเทียบยามปกติ
ยิ่งช่วงนี้นางเหน็ดเหนื่อยตรากตรำจริงๆ เวลานี้ก็ขอพักผ่อนเสียหน่อย
ส่วนเป่ยเฉินอี้…ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับนางยามที่สลบไป ดังนั้นหลับสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรให้กังวลใจ
เห็นนางหลับไปอย่างไร้กังวลเบื้องหน้า ผ้าคลุมขนเตียวผืนใหญ่ปกใบหน้าเล็ก เมื่อประดับด้วยผ้าคลุมขนเตียว สีหน้าดูแดงเรื่อขึ้นมา ทอนความเย็นชาลงไปไม่น้อย เป่ยเฉินอี้จ้องมองนางเงียบๆ ถึงกับเหม่อลอย
สีหน้าอ่อนโยนและสงบของนาง เกรงว่าจะหาดูได้ยากมาก
เขาพลันหัวเราะเบาๆ ถอนสายตากลับมา จากนั้นหลับตาลงพิงอีกมุมของรถม้าเพื่อพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นนางที่อบอุ่นอ่อนโยนในยามนี้ นางที่เย็นชาในเวลาปกติ นอกจากใบหน้าของนางแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เหมือนอาซีเลยแม้แต่น้อย
บางทีเขาอาจเรียกร้องมากเกินไปเอง
คนที่ตายไปเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาตั้งนานแล้ว จะมีชีวิตกลับมาอีกได้อย่างไรกัน
บางทีหลายปีที่ผ่านมาเขาทุกข์ตรมมากเกินไป โทษตัวเองจนเกินไป ดังนั้นจึงหวังว่าอาซียังไม่ตาย เช่นนั้นความเจ็บปวดในหัวใจ ความผิดในใจก็จะได้ลดลงบ้าง แต่…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
ตอนนั้น เขาเป็นคนฝังศพของอาซีเองกับมือ
ภายในรถม้าสงบลง…
ด้านนอกรถม้า ชิงเกอหันกลับไปมองด้วยความเป็นห่วง เพราะม่านบดบังอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นสภาพด้านใน ทว่าเขากังวลใจมาก หากท่านอ๋องเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่
ความจริงแล้ว นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยปรากฏตัว หมากที่วางไว้ในกระดานของท่านอ๋องจำนวนมากล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น
……
ค่ายทหารต้ามั่ว
ราชาต้ามั่วนั่งหารือกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ในกระโจม ราชาต้ามั่วกวาดตามองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ “หลายวันมานี้ข้าใคร่ครวญดีแล้ว การร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้นั้นทำได้! หลายวันก่อน เป่ยเฉินอี้ส่งจดหมายลับมาให้ข้าฉบับหนึ่ง บอกว่าหลายวันนี้จะบีบให้เยี่ยเม่ยออกจากชายแดน จากข่าวที่สายลับส่งมา เขาก็ทำได้จริงๆ อีกทั้งยังได้ยินว่า…”
“ได้ยินว่าจิ่วหุนผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดข้างกายเยี่ยเม่ยตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งคนของเป่ยเฉินจำนวนมากคิดสังหารเขา สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ คงไม่ใช่ละครตบตา ดังนั้นท่านข่านคิดว่า เป่ยเฉินอี้คู่ควรเชื่อถือใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เอ่ยต่อ
ราชาต้ามั่วพยักหน้ามองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ “ไม่ผิด ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ! ขุนนางรักเห็นว่าอย่างไร”
“ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่พยักหน้า จากนั้นเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินอี้กับฮ่องเต้เป่ยเฉินไม่ดีอย่างมาก เขาไม่จำเป็นต้องจงรักภักดีทำเพื่อฮ่องเต้ ดังนั้นข้าจึงเชื่อเขาตั้งแต่แรก เพียงแต่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยคิดว่าควรจะเผื่อใจไว้บ้าง!”
ราชาต้ามั่วพยักหน้าติดต่อกัน “เจ้าพูดถูก! ข้าให้คนไปตามตัวจิวมั่วเหอมาร่วมกันหารือ”
“ข้าน้อยไม่เห็นด้วย!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่รีบลุกขึ้น โค้งคารวะ “ท่านข่าน ข้าน้อยรู้ว่าท่านเชื่อใจท่านแม่ทัพจิวมั่ว แต่ท่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ แม่ทัพจิวมั่วเคยออกบวช สมควรมีจิตใจเมตตา ไม่ยินยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เพราะอะไรในสงครามครั้งนี้เขาถึงยอมเป็นผู้นำทัพ”
“เรื่องนี้…” ราชาต้ามั่วนิ่งชะงักไปเล็กน้อย ถูกต้อง ตามหลักแล้วจิวมั่วเหอไม่สมควรรับปากทำสงครามต่อไป
[1] สุภาษิต หมายถึง มีเจตนาไม่ดี