เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 220 ข้าหาได้ขายสหายเท่านั้น!
หลังจากชิงเกอใคร่ครวญอยู่สักพัก ก็มุ่นคิ้วถามว่า “แต่ท่านอ๋อง ท่านไม่คิดสังหารจิ่วหุน แต่กลับสร้างสถานการณ์เช่นนั้น หากจิ่วหุนตายไปแล้ว แผนการของท่านจะไม่…”
จะไม่เสียโอกาสออกมาหาเยี่ยเม่ยโดยลำพังอย่างนั้นหรือ
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว แววตาเกิดความไม่พอใจ เอ่ยเสียงขรึมว่า “หากตายแล้วก็เพราะเขาโชคร้าย โอกาสเช่นนี้ข้าหาใหม่ก็ได้”
“ขอรับ” ชิงเกอเข้าใจในบัดดล
ก็จริง ในแผนการของท่านอ๋อง คนอื่นๆ ก็แค่หมากไร้ความสำคัญทั้งนั้น ขอเพียงแผนการใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
“นางอยู่ที่ใดแล้ว” เป่ยเฉินอี้ถาม
ชิงเกอตอบทันทีว่า “ยังอยู่ที่หมู่ตึกกูเยว่ไม่ออกมา!”
“อืม!”
……
เมืองหลวง
เป่ยเฉินเสียงสีหน้าทะมึนนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง อารมณ์ขุ่นมัวถึงขีดสุด นับตั้งแต่เขาให้เสด็จแม่ถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ฉบับนั้นออกไป เสด็จพ่อก็กักบริเวณเขากับเสด็จแม่แล้ว
ได้ยินมาว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งให้คนกลับมาถ่ายทอดคำพูดกับเสด็จพ่อว่า หากเสด็จพ่อไม่อาจดูแลเขากับเสด็จแม่ได้ ก็จงระวังบัลลังก์มังกรของตนเอาไว้ให้ดี
ก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง เสด็จพ่อถึงได้ตามตัวเขากับเสด็จแม่ไปด่าทอแต่เช้าตรู่
คิดแล้ว เป่ยเฉินเสียงก็เกิดโทสะ!
ต่างก็เป็นบุตรชายของเสด็จพ่อเช่นกัน เพราะคำพูดเดียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสด็จพ่อถึงกับเรียกเขาไปด่าอยู่นานสองนาน!
ขณะที่เดือดดาลอยู่นั้น เป่ยเฉินเสียงกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โทสะ
ในเวลาเดียวกันนี้เอง บ่าวรายงานจากด้านนอกว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋องน้อยมาแล้ว!”
“เซี่ยโหวเฉินหรือ” เป่ยเฉินเสียงขมวดคิ้วแน่น เพลิงโทสะยิ่งโหมทวีขึ้นไปอีก “เขามาทำไม ตอนที่อยู่ชายแดนทิ้งข้าเอาไว้ หนีกลับมาคนเดียว เวลานี้ยังกล้ามาที่นี่อีกหรือ”
เซี่ยอวี้เป็นผู้ติดตามประจำกายของเป่ยเฉินเสียง เป็นองครักษ์ผู้มีสติปัญญาอย่างหาได้ยากนัก เกลี้ยกล่อมว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋องน้อยมากแล้ว ต้องเรื่องสำคัญแน่ อีกอย่างตอนที่อยู่ชายแดนก็เป็นเขาช่วยท่านไว้ เกรงว่าจะไม่มีเหตุผลพอที่จะไม่พบเขา!”
ครั้นเขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียงสูดลมหายใจลึก หันหน้ามองเซี่ยอวี้คราหนึ่ง “เจ้าบอกให้เขาเข้ามาเถอะ!”
“ขอรับ!” เซี่ยอวี้รีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ไม่ช้า เซี่ยโหวเฉินก็เดินเข้ามา
หลังจากเข้ามาด้านใน เซี่ยโหวเฉินมองเป่ยเฉินเสียงคารวะอีกฝ่ายตามพิธีรีตอง “คารวะองค์ชายใหญ่!”
“ในใจเจ้ายังเห็นข้าเป็นองค์ชายใหญ่อยู่หรือ ยามนั้นที่เมืองชายแดน เจ้าทิ้งข้าเอาไว้ วันนี้ยังมีหน้ากลับมาอีก!” ยามเป่ยเฉินเสียงพูดถึงเรื่องนี้ เพลิงโทสะก็ปะทุขึ้น
เซี่ยโหวเฉินกลับไม่ใส่ใจโทสะของเขาสักน้อย ค่อยๆ อธิบายว่า “องค์ชายใหญ่ ตอนที่อยู่ชายแดนข้าเตือนท่านมากเท่าไร ให้ท่านอย่าได้เป็นศัตรูกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโดยซึ่งๆ หน้า อย่ากระทำเรื่องที่ไม่อาจจัดการได้ ท่านบอกจะร่วมมือกับข้า ทว่าข้อเสนอของข้า ท่านเคยฟังหรือไม่”
“ข้า…” เป่ยเฉินเสียงตอบอึกอัก
ในฐานะที่เป็นโอรสสรรค์มีความกล้าไร้แผนการ พุ่งเข้าชนอย่างตรงๆ จนทำให้ตนตกอยู่ในสภาพถูกกักบริเวณ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
คำพูดของเซี่ยโหวเฉินในเวลานี้ เขาเถียงไม่ออกเลยสักคำเดียว
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง ท่านอย่าหลงคิดว่า วันนั้นข้าขายสหายเท่านั้น หากข้ารั้งอยู่ต่อไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะจัดการข้าอย่างไร เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าไม่มีทางมีความคิดโง่งมเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องเป็นการกระทำขององค์ชายใหญ่แต่เพียงผู้เดียว!”
“ข้า..” เป่ยเฉินเสียงทั้งโมโหทั้งจนปัญญา ไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
ทว่าไม่ช้า
เซี่ยโหวเฉินก็เอ่ยต่อว่า “ดังนั้น ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโมโหก็ไม่มีทางเอาชีวิตข้า แต่ที่ข้าหนีจากไปก่อนก็เพื่อขอกำลังเสริมให้องค์ชายใหญ่ นี่คือบุญคุณช่วยชีวิตแท้ๆ ไฉนองค์ชายใหญ่ถึงปรักปรำข้าถึงเพียงนี้”
เป่ยเฉินเสียงสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง กัดฟันเอ่ยว่า “ถือว่าเจ้าพูดมีเหตุผล! พูดมาเถอะ วันนี้เจ้ามาเพื่ออะไร มาเยาะเย้ยความโง่เขลาของข้า หรือว่ามาดูสภาพของข้าเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมกัน”
“เซี่ยโหวเฉินคล้ายคนน่าเบื่อเช่นนั้นหรือ” เซี่ยโหวเฉินย้อนถาม ไม่ช้าก็เอ่ยว่า “เยาะเย้ยองค์ชายใหญ่สำหรับข้าแล้วมีข้อดีอันใดเล่า”
เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ โทสะของเป่ยเฉินเสียงก็ค่อยๆ มอดลง “อย่างนั้นเจ้ามาเพื่ออะไร”
“องคชายใหญ่มีขุมกำลังไม่น้อยในราชสำนัก หนึ่งในนั้นยังรวมถึงบันทึกราชวงศ์ด้วย เซี่ยโหวเฉินต้องการทวงหนี้บุญคุณนี้กับองค์ชายใหญ่ เพื่อเข้าไปสืบหาข้อสงสัยในเรื่องราวของราชสำนักจงเจิ้งในตอนนั้น” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยจุดประสงค์ออกไป
เป่ยเฉินเสียงหันกลับมาด้วยความแปลกใจ มองเซี่ยโหวเฉิน “เจ้าน่าจะรู้ว่า ในบันทึกราชวงศ์ ถึงส่วนมากจะเขียนตามความจริง แต่ก็มีการปิดบังเรื่องที่ไม่อยากให้คนรับรู้ เจ้าต้องการสืบอะไรกันแน่”
เซี่ยโหวเฉินไม่ใส่ใจเลยสักน้อย “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็มากพอสำหรับข้าแล้ว! เป่ยเฉินอี้ไม่มีทางไร้จุดอ่อน!”
ชั่วชีวิตนี้ของเซี่ยโหวเฉินมีเพียงสองเรื่องเท่านั้น
มุ่งสู่อำนาจอันสูงส่ง ส่วนอีกเรื่องคือเอาชนะศัตรูแต่กำเนิดของตนเอง นั่นก็คืออาจารย์ของเขา เป่ยเฉินอี้!
ในสองเรื่องนี้สมควรเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน วันใดที่เขายังไม่อาจเอาชนะเป่ยเฉินอี้ได้ เขาก็ไม่มีวันก้าวสู่ตำแหน่งอ๋องที่ทรงอำนาจมากที่สุด
ถึงเป่ยเฉินเสียงจะไม่เข้าใจความทะเยอทะยานของเซี่ยโหวเฉิน แต่ว่าความดื้อดึงที่จะเอาชนะเป่ยเฉินอี้ เขารู้อย่างชัดเจน “แต่เจ้าก็รู้ว่าบันทึกราชวงศ์มีการป้องกันไม่ให้ถูกเปิดได้โดยพลการ หลังจากเขียนจบแล้ว ต้องปิดผนึกเอาไว้ ไม่อาจเปิดได้!”
“นี่คือสาเหตุที่เซี่ยโหวเฉินมาขอร้องเตี้ยนเซี่ย!” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยกลับมาทันที ยามนี้เป่ยเฉินเสียงเป็นคนดูแลบันทึกราชวงศ์เอาไว้ หากอีกฝ่ายยินยอมให้เขาดู ก็ไม่ต้องเสียเวลามาก
ครั้นเอ่ยถึงยามนี้ เซี่ยโหวเฉินเสริมขึ้นว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เชื่อว่าท่านเองก็เข้าใจ สำหรับฝ่าบาทแล้ว เป่ยเฉินอี้เป็นภัยร้าย สำหรับท่านที่จะสืบทอดบัลลังก์ในอนาคตก็เป็นเภทภัยเช่นเดียวกัน หากพวกเราหาจุดอ่อนของเป่ยเฉินอี้ สำหรับข้าและท่านล้วนเป็นเรื่องดี!”
“ตามคำเล่าลือ จุดอ่อนของเป่ยเฉินอี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น! นั่นก็คือจงเจิ้งซี แต่ท่านอ๋องสมควรทราบว่าจงเจิ้งซีตายไปนานแล้ว!” เป่ยเฉินเสียงรู้สึกว่าการกระทำของเซี่ยโหวเฉินนั้นเปล่าประโยชน์
เซี่ยโหวเฉินแค่นหัวเราะคำหนึ่ง “ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตามนอกจากวิธีนี้แล้วพวกเราก็ไร้หนทางอื่นอีก อีกอย่างต่อให้เป่ยเฉินอี้ไร้จุดอ่อนไปแล้ว เมื่อข้าเข้าใจตัวเขามากขึ้น ก็สามารถสร้างจุดอ่อนให้เขาได้!”
“เรื่องนี้…” เป่ยเฉินเสียงมุ่นคิ้ว
จากนั้นเซี่ยโหวเฉินก็อธิบายต่อ “เป่ยเฉินอี้ผู้นี้ช่างวางแผนได้ล้ำลึก ต่อให้เป็นเสินเซ่อเทียนก็ยังไม่กล้าต่อกรกับเขาในด้านการวางแผน หากพวกเราไม่รีบหาจุดอ่อนของเขาให้พบ เกรงว่าวันหนึ่งวันใดจะถูกเขาจัดการเอาได้!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้าลองดูก็แล้วกัน!” เป่ยเฉินเสียงพยักหน้า แล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ทำอย่างลับๆ อย่าให้คนรู้ได้ อ่านบันทึกราชวงศ์โดยพลการเป็นโทษสถานหนัก! อีกอย่างเป่ยเฉินอี้เป็นคนเช่นไร เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี อย่าได้จุดไฟเผาตัวเอง!”
เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”