เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 213 เยือนหมู่ตึกกูเยว่
ครั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกมา
เยี่ยเม่ย ซือหม่าหรุ่ย รวมถึงซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงก็หันหน้ามองเขาเป็นตาเดียว
ความหมายในคำพูดของเขาคล้ายกับว่าความรับผิดชอบของเขาก็คือเรื่องที่ตัวเองทำไว้ก็ต้องรับผิดชอบ
แต่คนที่รู้ความจริงทั้งหลาย โดยเฉพาะเยี่ยเม่ยย่อมเข้าใจ
เขาแบกความรับผิดชอบทั้งหมดก็เพื่อรับความยุ่งยากแทนสตรีของตัวเอง
อวี้เหว่ยพรูลมหายใจยาวเหยียด คราวนี้ก็ดีเลย เดิมทีเตี้ยนเซี่ยก็เป็นบุคคลที่คนในเป่ยเฉินหวาดกลัวอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ปลูกฝังความแค้นเอาไว้ในใจคนทั้งหลาย
สำหรับชาวเป่ยเฉินผู้รักแผ่นดินทั้งหลาย การตายของเสนาบดีหงกับแม่ทัพซ่างกวนเป็นการจู่โจมอย่างร้ายแรง วันนี้เตี้ยนเซี่ยแบกรับเรื่องเอาไว้
ทุกคนพลอยเกลียดแค้นเตี้ยนเซี่ยแล้ว
“เตี้ยนเซี่ยจะแบกรับความผิดนี้เอาไว้จริงๆ หรือ” เจ้าเมืองหลินมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนคำพูด
เพราะว่าความจริงเขาอยากกำจัดจิ่วหุนซะ ไม่แน่ว่าบุตรสาวของเขาจะได้เปลี่ยนไป อีกอย่าง…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา ถามเสียงสบายว่า “หรือว่ามีคนไม่พอใจคิดแก้แค้นแทนพวกเขา เป็นเจ้า หรือพวกเจ้า”
พูดไป มือของเขาก็ชี้ไปยังเจ้าเมืองหลิน และเหล่าทหาร
ยามนี้อวี้เหว่ยตื่นเต้นใจระส่ำ ถึงกำลังภายในของเตี้ยนเซี่ยจะยังไม่ฟื้นฟู หากจะทำร้ายคนขึ้นมาต้องกำจัดพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บภายในจากการฝืนโคจรสักระยะหนึ่ง
เพียงแต่เขาคาดเดาภาพลักษณ์เตี้ยนเซี่ยของตนในใจผู้อื่นผิดแล้ว…
เมื่อทุกคนได้ยินว่าจะแก้แค้นกับองค์ชายสี่พลันตกใจจนหน้าซีดเซียว โดยเฉพาะคนที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชี้ตกใจเสียจนแทบตาเหลือก รู้สึกว่าตนแทบจะเป็นลมล้มพับไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกวาดสายตามองคนทั้งหมด น้ำเสียงทุ้มเอ่ยว่า “ความจริงเยี่ยนก็บาดเจ็บแล้ว เมื่อวานให้กำลังภายในขั้นหนึ่งออกไป ยามนี้เป็นเวลาที่เยี่ยนอ่อนแอที่สุดในรอบหลายปี หากทุกท่านคิดจะลงมือ ก็ต้องรีบฉวยโอกาส ผ่านพ้นวันนี้ไป ภายหน้าจะหาได้ยากแล้ว”
คนทั้งหมดฟังจบแล้ว ใจล้วนร่ำร้องฮี่ๆ ใครไม่รู้ความสามารถของท่าน ต่อให้สลายกำลังพลังขั้นสองไป พวกเขาก็ไม่มีความกล้าเข้าไปหาที่ตาย
เจ้าเมืองหลินรีบเอ่ยปากว่า “ไม่…ไม่มีอะไร ในเมื่อองค์ชายสี่เป็นคนกระทำ อย่างพวกเราก็…ก็…ขอตัวก่อนแล้ว” เขาตกใจเสียจนพูดจาตะกุกตะกัก
เหล่าทหารทั้งหมดรีบลุกขึ้น วิ่งตัวสั่นหนีตามเจ้าเมืองหลินไป
ต่อให้เป็นเหล่าแม่ทัพที่ไม่พอใจอยู่บ้างก็สีหน้าหวาดกลัวเผ่นหนีจากไป
องค์ชายสี่เป็นคนอย่างไร
อย่าว่าแต่อีกฝ่ายกระดิกนิ้วเพียงนิ้วเดียว พวกเขาก็เคราะห์ร้ายแล้ว หากอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดี พวกเขาทั้งครอบครัวต้องประสบเคราะห์กรรมแน่ องค์ชายสี่ในความรู้สึกของทุกคนคือปีศาจ ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง
มีใครบ้างที่เบื่อชีวิตทวงความยุติธรรมกับปีศาจ
เยี่ยเม่ยตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ดูท่าภาพลักษณ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในใจคนคงบรรลุถึงขั้นหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ ถึงได้ทำให้คนเหล่านี้ขวัญผวาถึงเพียงนี้
แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี
อย่างน้อยปัญหาในยามนี้ก็คลี่คลายหมดสิ้น แต่เยี่ยเม่ยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ คนทั้งหมดจากไปสิ้น พวกเขาที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคุณธรรมเล่า หนีหายไปไหนกันหมดแล้ว ไฉนไม่ยืนหยัดต่อไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับเข้าใจความแปลกใจของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยด้วยความอ่อนโยน “หลายๆ ครั้ง ความสามารถอยู่เหนือคุณธรรม”
ยามที่บรรลุพลังฝีมือถึงขั้นหนึ่ง คนทั้งหลายจะรู้สึกว่ารักษาคุณธรรมคือการสิ้นเปลืองชีวิตไปเปล่าๆ ครั้นพวกเขาพุ่งเข้ามาหาที่ตาย คุณธรรมไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ เพียงแต่ตายโดยสูญเปล่า เวลานี้พวกเขาก็จะรีบหมุนตัวถอยหนี ไม่เสียสละโดยไร้ประโยชน์
ในโลกนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือพลังฝีมือ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หญิงสาวมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ข้าจะไปขอยาที่หมู่ตึกกูเยว่สักครั้ง และจะกลับมาภายในสิบวัน ช่วงนี้รบกวนท่านช่วยข้าดูแลจิ่วหุนด้วย ไม่แน่ว่าช่วงนี้เป่ยเฉินอี้อาจจะทำอะไรอีก เรื่องทั้งหมดของชายแดนฝากไว้ที่ท่านแล้ว นอกจากท่านแล้ว เกรงว่าคนอื่นจะแบกรับไม่ไหว”
“ไปขอยาที่หมู่ตึกกูเยว่อย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งสายตามองเยี่ยเม่ย ไม่เอ่ยถึงเรื่องปกป้องจิ่วหุน เพียงถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่หมู่ตึกกูเยว่มีคุณชายกูเยว่ผู้หนึ่ง”
อวี้เหว่ยลอบแหงนหน้ามองฟ้าเงียบๆ รู้อยู่ในใจว่าโรคขี้หึงของเตี้ยนเซี่ยจะกำเริบขึ้นอีกแล้ว
เยี่ยเม่ยส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
“อืม ในเมื่อไม่รู้ก็ไปเถอะ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ในเมื่อไม่รู้เช่นนั้นนางก็ไม่ได้ต้องการไปชื่นชมบารมีของกูเยว่ เมื่อไปเพื่อขอยาจริงๆ เขาก็วางใจ
เยี่ยเม่ย “…”
อะไรนะ
ทำไมนางถึงไม่เข้าใจเลยสักนิด
ซินเยว่เยี่ยนที่หลบอยู่ด้านข้างแอบอมยิ้ม ไม่ให้ผู้อื่นจับสังเกตได้ ก้าวแรกของการแย่งชิงน้องสะใภ้สำเร็จแล้ว…
ถึงการแบกรับความผิดแทนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้จะทำให้ซินเยว่เยี่ยนรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าเขาสมกับเป็นบุรุษ ทว่ามนุษย์มักมีความเห็นแก่ตัว ไม่ลองให้เยี่ยเม่ยพบน้องชายของตนดู ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไรกันแน่
จริงด้วย
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย “หลายวันนี้ต้องฝากให้เจ้าดูแลจิ่วหุนด้วยแล้ว”
“เจ้าวางใจเถอะ”
ซือหม่าหรุ่ยรับคำทันที
“ข้ากลับหมู่ตึกกลับเจ้าด้วย เจ้าจะได้เข้าไปได้” ซินเยว่เยี่ยนรีบเสนอ
จงรั่วปิงก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเช่นกัน “ข้าก็ไปด้วย”
“อืม” เยี่ยเม่ยไม่ปฏิเสธ ยามนี้จุดประสงค์ของเป่ยเฉินอี้ยังไม่แน่ชัด การเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลง มีคนมากขึ้นหนึ่งคนก็มีคนช่วยกันมากขึ้นหนึ่งคน
หลังจากสั่งการเรื่องทุกอย่างหมด เยี่ยเม่ยยังไม่วางใจอยู่บ้าง มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง “ท่านอย่าได้ไม่ช่วยจิ่วหุนอีก ยังมีอีกเรื่องก่อนข้ากลับมา คุ้มกันเมืองชายแดนให้ดี อย่ายั่วโมโหข้าเชียว”
“น้อมรับคำสั่งสอนจากฮูหยิน” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทางสูงสง่าตอบรับด้วยความไม่พอใจ ทั้งเตือนด้วยเสียงนิ่งว่า “รีบกลับมา ความอดทนของเยี่ยนมีจำกัด”
“ดี”
……
ผ่านไปสองวัน
เรื่องราวของจิ่วหุนแพร่ไปถึงเมืองหลวง
ในจวนต้าซือคง จงซานกำลังดื่มน้ำชาฟังองครักษ์ลับด้านข้างรายงานเรื่องนี้ พลันพ่นน้ำชาออกมาคำหนึ่ง “อะไรนะ องค์ชายสี่บอกว่า ตาแก่หงกับเจ้าซ่างกวนสารเลวนั่นถูกพระองค์สังหารอย่างนั้นหรือ”
องครักษ์ลับเตือนทันที “ใต้เท้า โปรดรักษากิริยาด้วย อย่าได้ด่าว่าคน”
เพราะว่าใต้เท้าชอบพูดวาจาหยาบคาย พลอยทำให้คุณหนูติดนิสัยชอบพูดคำหยาบไปด้วย ชวนให้ปวดหัวเหลือเกิน
จงซานโบกมือ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ เพียงแต่ปัญหาก็คือ…เจ้าสองคนนี้ ในปีนั้นไม่ใช่ข้าจ่ายเงินก้อนโตให้กับองค์กรนักฆ่าส่งจิ่วหุนไปสังหารหรือไง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสมองกลับไปแล้วหรือ ถึงได้ช่วยข้าแบกรับความผิด”
“ใต้เท้า เกรงว่าจะไม่ใช่แบกรับผิดแทนท่าน แต่ช่วยผู้อื่นต่างหาก” จากนั้นองครักษ์ลับก็เล่าเรื่องราวในวันนั้นกับจงซานอย่างรวดเร็ว
จงซานพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ก็ดี พวกเจ้าไปสืบดูอีก ต้องหาทางยืนยันฐานะที่แท้จริงของเยี่ยเม่ยให้ได้”
“ขอรับ” องครักษ์ล่าถอยออกไป
จงซานวางถ้วยชาในมือลง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “หวังว่าองค์หญิงซีจะยังไม่ตายจริงๆ”
……
วันที่สาม
ซินเยว่เยี่ยนพาพวกเยี่ยเม่ยมาถึงหน้าประตูหมู่ตึกกูเยว่