เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 203 ความอัปยศในวันนี้ ข้าจะคืนให้เป็นทวีคูณแน่
เมื่อเป่ยเฉินอี้เอ่ยออกมา
ยามนี้เยี่ยเม่ยตะลึงงัน…
ซินเยว่เยี่ยนที่อยู่หน้าประตูก็หน้าตางุนงง นี่นางโง่แล้วหรือไม่ ทำไมนางถึงไม่เข้าใจแนวคิดของเป่ยเฉินอี้เลยสักน้อย
เขาต่อปากต่อคำเยี่ยเม่ยอยู่ตั้งนาน แล้วเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมา
หรือเพราะว่า… เยี่ยเม่ยหน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีไม่ผิดเพี้ยน
ในระหว่างที่นางสงสัย
เยี่ยเม่ยได้สติ จ้องมองใบหน้าสูงศักดิ์ไร้ที่ติ พ่นคำพูดออกมา“ท่านเสียสติแล้วหรือ”
นอกจากคำพูดนี้ นางยังคิดหาคำอธิบายอื่นไม่ได้อีก
นับตั้งแต่พวกนางพบหน้ากันครั้งแรก เป่ยเฉินอี้ก็สงสัยว่านางเป็นคนที่ใครบางคนส่งมาต่อกรกับเขาหรือเปล่า อีกเดี๋ยวเขาก็วางแผนให้ร้ายคนข้างกายนาง แล้วยังเผยออกมาตามตรงว่าเขาวางแผนเล่นงานนาง เยี่ยเม่ยก็รู้ว่าเขาส่งข่าวไปที่ต้ามั่ว เตรียมเอาชนะนางให้ได้
ไปๆ มาๆ เวลานี้เขากลับเสนอเงื่อนไขเช่นนี้
เขาเสียสติไปแล้วใช่ไหม
ต่อให้เป็นคนหลายบุคคลิก ก็ไม่น่าเป็นถึงขั้นนี้
“หากการเสียสติไปสามารถอธิบายการกระทำของเป่ยเฉินอี้ อย่างนั้นแม่นางคิดว่าเป่ยเฉินอี้บ้าไปแล้ว เป่ยเฉินอี้ก็ไม่ถือสา” เป่ยเฉินอี้กลับไม่ใส่ใจ ดวงตาเรียวยาวยังคงจับสังเกตสีหน้าของเยี่ยเม่ยอยู่ตลอด
จากนั้นเมื่อเห็นว่าหลังจากเขาเอ่ยจบ ใบหน้ามีเพียงความไม่อยากเชื่อและแปลกประหลาดใจ เขาก็รู้สึกเจ็บปวด
ปฏิกิริยาเช่นนี้…
หรือนางจะไม่ใช่อาซีจริงๆ
เยี่ยเม่ยเก็บมีดสั้น ออกแรงชักมือที่ถูกเขาจับออกกลับมา เป่ยเฉินอี้ไม่ดึงดัน เขาคลายมือปล่อยเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้นิ่งๆ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ว่าเป้าหมายของท่านคืออะไร ข้าตอบได้เพียงประโยคเดียวนั่นก็คือ ไม่มีทางแต่งกับท่าน”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินอี้คล้ายไม่ใส่ใจเลยสักน้อย ไม่โกรธเลยสักนิด
กลับหัวเราะเสียงต่ำมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “อย่างนั้น เป่ยเฉินอี้ก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเจ้าช่วยเหลือคนแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยเม่ยพลันชะงักไป จากนั้นก็ถามอย่างรวดเร็ว “คนที่จะฆ่าจิ่วหุนไม่ใช่ท่านหรือ”
ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงใช้คำว่าช่วย
แต่ไม่ใช้คำว่าปล่อยตัวล่ะ
เป่ยเฉินอี้ยิ้มทันที ดวงตาเรียวยาวกวาดมองเยี่ยเม่ย “เป่ยเฉินอี้เอ่ยตอนไหนว่า ข้าจะฆ่าเขา รูปการณ์ในตอนนี้เกี่ยวข้องกับข้าก็จริง แต่ว่าเป่ยเฉินอี้หาใช่ผู้บงการ ทั้งไม่ใช่คนลงมือ ข้าเพียงแค่ช่วยเสนอความเห็นให้กับคนลงมือ ช่วยพวกเขาเท่านั้นเอง ”
ดังนั้น สถานะของเป่ยเฉินอี้ก็แค่ช่วยชี้แนะคนลงมือตัวจริงว่า เวลาไหนสมควรจัดการจิ่วหุนถึงเหมาะสม
เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยมีสีหน้าไม่เชื่อ
สายตาเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ในท่าทางสูงศักดิ์ของเขา เผยความโอหังดูแคลนคนทั่วหล้าออกมา “เจ้าสงสัยข้า เพราะเจ้ารู้ว่าข้าคิดเล่นงานเจ้า จิ่วหุนเกิดเรื่องแล้ว เป็นความสูญเสียอย่างร้ายแรงให้กับเจ้า แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ อาศัยสติปัญญาของเป่ยเฉินอี้ ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรจำเป็นต้องทำด้วยตัวเองหรือ ขอเพียงเป่ยเฉินอี้เอ่ยไม่กี่ประโยค ก็มีพวกโง่งมด้านนอกพร้อมจะบุกแทนข้า”
“อย่างนั้น ผู้บงการตัวจริงกับคนลงมือก็ถูกท่านหลอกใช้แล้วอย่างนั้นหรือ” เยี่ยเม่ยเข้าใจคำพูดของเป่ยเฉินอี้อย่างรวดเร็ว เขาก็แค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าคำพูดไม่กี่คำ ก็ทำให้ผู้อื่นลงมือกับจิ่วหุนได้แล้ว
“ไฉนต้องพูดไม่น่าฟังเช่นนั้นด้วย” สายตาเป่ยเฉินอี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อธิบายว่า “ข้าช่วยพวกเขาสังหารศัตรูคู่แค้น ช่วยผู้บงการคำนวณเวลาที่เหมาะสมที่สุด พวกเขาช่วยข้ากำจัดผู้ช่วยของเจ้า นี่สมควรบอกว่าต่างฝ่ายต่างพึ่งพา ไฉนพอเจ้าพูดออกมาถึงได้เป็นการหลอกใช้ได้เล่า”
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง คร้านจะถกเถียงกับเป่ยเฉินอี้อีก
ฝ่ายเป่ยเฉินอี้ก็อธิบายต่อว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยลองเดาดูว่า เมื่อเจ้าปฏิเสธการขอแต่งงานของเป่ยเฉินอี้ ข้าที่เดือดดาลจะไม่เพียงไม่ช่วยเจ้าช่วยเหลือคน กลับยังจะช่วยสังหารคนทิ้งแทนเสีย”
เยี่ยเม่ยหัวใจกระตุก ตระหนักได้ทันที “ดังนั้น คืนนี้คนของท่านยังไม่ลงมือ ท่านรอจนข้ามาหาท่าน…ก็เพราะจะดูท่าทีของข้า เพื่อตัดสินว่าจะฆ่าคนหรือช่วยคนเพื่อข้าดีใช่หรือไม่”
ช่างเป็นหมากที่ยิ่งใหญ่นักเชียว
วางแผนให้คนอื่นฆ่าจิ่วหุน ตัวเองไม่ต้องลงมือ เมื่อเรื่องสำเร็จ มือไม่เปื้อนเลือดทั้งยังกำจัดศัตรูได้
ทั้งยังแอบวางแผนการจัดฉากอยู่ข้างหลัง เตรียมหาโอกาสที่เหมาะสมช่วยคน
“ไม่ผิด” เป่ยเฉินอี้นัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม ยอมรับคำพูดของเยี่ยเม่ย
สายตาของเยี่ยเม่ยพลันเป็นเย็นเยียบ “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากข้าตกลงแต่งงานกับท่าน ท่านช่วยจิ่วหุน คนที่ถูกท่านหลอกใช้กลุ่มนั้นจะหันมาจัดการท่านแทน ท่านร่วมมือกับพวกเขาทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นศัตรูของพวกเขา นี่คือวิธีร่วมมือกับผู้อื่นของท่านหรือ”
“ร่วมมือหรือ” เป่ยเฉินอี้รู้สึกว่าคำพูดนี้น่าสนใจมาก สายตาเขาเผยความเหยียดหยัน “โลกใบนี้มีใครคู่ควรร่วมมือกับข้าเป่ยเฉินอี้บ้าง พวกโง่เง่ากลุ่มนั้นน่ะหรือ ต่อให้เป่ยเฉินอี้ย้ายข้าง ฆ่าพวกเขาจนหมด พวกเขาจะทำอะไรได้”
ยามเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยเวลานี้ก็นิ่งไปแล้ว
ถูกแล้ว จากความสามารถที่บุรุษผู้นี้แสดงออก แม้คนพวกนั้นจะถูกหลอกใช้ ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเป่ยเฉินอี้ได้
ด้วยเหตุนี้ เป่ยเฉินอี้จึงสรุปว่า “ที่ว่าผู้ร่วมมือกันจำเป็นต้องมีความสามารถทัดเทียมกัน ไม่เช่นนั้นก็เป็นแค่หมากในมือคนเข้มแข็งเท่านั้น ดังนั้นแม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าคิดได้หรือยัง จะให้เป่ยเฉินอี้ช่วยชีวิตจิ่วหุน หรือว่าจะให้เป่ยเฉินอี้ช่วยคนพวกนั้นฆ่าจิ่วหุน”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ แววตาเยี่ยเม่ยเย็นยะเยือกมองหน้าเป่ยเฉินอี้
นางเอ่ยเสียงนิ่ง “ต้องบอกว่าทุกครั้งที่สนทนากับท่าน ข้าล้วนได้รับความรู้ ทั้งยังต้องขอบคุณคำพูดของท่าน ทำให้ข้าเข้าใจแล้วว่าจะช่วยจิ่วหุนอย่างไร ”
“อ้อ” เป่ยเฉินอี้กลับดูสนใจมากขึ้น
เยี่ยเม่ยจ้องอีกฝ่าย “จากวิชาพรางกายของจิ่วหุน หลังจากเอาตัวรอดได้จากน้ำ คิดจะหลบซ่อนตัวไม่ให้ถูกคนพบเห็น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ท่านมั่นใจถึงเพียงนี้ เอาชีวิตจิ่วหุนมาข่มขู่ข้า นอกเสียจากว่าท่านคาดเดาได้แล้วว่าจิ่วหุนจะหลบไปทิศทางใด อย่างนั้น…”
บรรยากาศรอบด้านนิ่งสงบ
เยี่ยเม่ยยกมุมปาก “ท่านเดาทิศทางที่เขาไปได้ ข้า…เดาไม่ได้หรือไง”
จริงด้วย ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน
จนกระทั่งเป่ยเฉินอี้เอ่ยออกมา เขาเดาได้ว่าจิ่วหุนหนีไปที่ไหน…ถึงเยี่ยเม่ยจะไม่เข้าใจจิ่วหุนมากเป็นพิเศษ แต่เป่ยเฉินอี้ก็ไม่เข้าใจไปมากกว่านาง แล้วทำไมเขาถึงเดาได้
แล้วนางจะเดาไม่ได้เล่า
หลังจากต่อคำกับเป่ยเฉินอี้สักพัก ความจริงนางก็ครุ่นคิดอยู่ตลอด ตอนนี้…ในสมองของนางปรากฎสถานที่หนึ่งขึ้นมาแล้ว
“ดีมาก” เป่ยเฉินอี้พยักหน้า โบกมือเบาๆ ชิงเกอก็เข้าใจทันที ส่งสัญญาณออกไป
เยี่ยเม่ยเห็นสัญญาณถูกส่งให้ข้างนอก ดวงตาก็เย็นเยียบ
เป่ยเฉินอี้เอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “แม่นางเยี่ยเม่ยต้องรีบไปช่วยเขาแล้ว คนของเป่ยเฉินอี้เริ่มลงมือแล้ว ในเมื่อเจ้าเดาสถานที่ได้ อย่างนั้นต่อไปนี้พวกเราแข่งขันกันด้วยเวลา”
เวลา หากนางไปทันก็ช่วยจิ่วหุนไว้ได้
หากไปไม่ทัน…
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง “ท่านไม่ขวางข้า”
หากเป่ยเฉินอี้ลงมือรบเร้าพัวพันนาง ช่วงเวลาที่ไม่อาจปลีกกายจากไปได้นั้นก็ยากที่นางจะช่วยจิ่วหุนได้
เป่ยเฉินอี้ยิ้มมองเยี่ยเม่ย เสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า “ข้าเคยบอกจะต่อให้เจ้าสามครั้ง นี่ถือว่าครั้งที่สองแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ย รีบไปเถอะ รักษาโอกาสที่ข้ามอบไว้ให้ให้ดี”
เยี่ยเม่ยเข้าใจ นี่คือการต่อให้ของเขา แต่ก็เป็นการดูแคลนสติปัญญาของนางด้วย
ความปลอดภัยของจิ่วหุนเป็นเรื่องสำคัญ เยี่ยเม่ยหมุนตัวก้าวเท้าจากไป เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เป่ยเฉินอี้ ความอัปยศในวันนี้ ข้าจำใส่ใจไว้แล้ว ภายหน้าจะชดใช้คืนเป็นทวีคูณแน่”