เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 140 เจ้าแพ้แล้ว ก็จบชีวิตตัวเองเถอะ
จิวมั่วเหอหัวเราะเบาๆ สายตามองเยี่ยเม่ย “ไฉนต้องร้อนรนเช่นนี้ ไม่สู้พวกมาพนันกันเป็นอย่างไร”
เยี่ยเม่ยจ้องเขา ไม่พูด
จิวมั่วเหอลูบจมูก เอ่ยปากอย่างจนปัญญาว่า “เจ้าไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดนัก”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ข้าไม่ชอบพนัน นอกจากของพนันจะทำให้ข้าหวั่นไหวได้”
จิวมั่วเหอกะพริบตาใส่เยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ย “ข้าเชื่อว่า การพนันครั้งนี้ต้องดึงความสนใจของเจ้าได้แน่”
เยี่ยเม่ยจ้องเขา รอฟังคำพูดต่อไป
จิวมั่วเหอไม่ลีลาอีก รีบเอ่ยว่า “ง่ายมาก พวกเรานัดการประลอง ภายในสามวัน ข้าจะนำทัพบุกโจมตีเมือง สิ่งที่พวกเราพนันกันก็คือผลแพ้ชนะของศึกนี้”
เห็นเยี่ยเม่ยมองเขา ไม่พูดจา
จิวมั่วเหอเอ่ยต่อทันที “หากข้าชนะแล้ว อีกสามศึกครั้งหน้า เจ้าต้องแพ้ให้ข้าอย่างหมดจดไม่ให้มีพิรุธ”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยว่า “ไม่ต้องคาดการณ์เรื่องเป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าไม่แพ้แน่ เจ้าบอกมาเถอะว่า หากเจ้าแพ้ สมควรทำอย่างไร”
มุมปากจิวมั่วเหอกระตุก จ้องใบหน้าเยี่ยเม่ยตรงๆ เอ่ยปากด้วยความแปลกใจปนเจ็บใจ “คนงาม เจ้ามีความมั่นใจขนาดนี้เชียวหรือ”
“เจ้าพูดมากอีกหน่อยก็ได้ ลองดูว่าข้ามีความมั่นใจจริงหรือเปล่า” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา สายตาไม่เป็นมิตร
จิวมั่วเหอก็เข้าใจ นิสัยของเยี่ยเม่ยไม่ใช่จะดีมากนัก
เขากะพริบตาปริบใส่เยี่ยเม่ย “หากข้าแพ้แล้ว ข้ายอมให้เจ้าจัดการ ไม่ว่าเจ้าจะฆ่าข้า หรือว่าเอาตัวข้าไว้ หรือว่า…”
เขายังไม่ทันสาธยายจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบท
หญิงสาวเอ่ยว่า “หากเจ้าแพ้แล้ว ก็จบชีวิตตัวเองซะ”
“แค่ก…” จิวมั่วเหอสำลักอีกครั้ง เขาชี้จมูกตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “เจ้าให้ข้าจบชีวิตตัวเอง เจ้าดูใบหน้าหล่อเหลาของข้าสิ ทั้งยังมีนิสัยชวนให้คนหลงรัก เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือ”
เยี่ยเม่ยปรายตามอง “ข้ามั่นใจ”
จิวมั่วเหอเบิกดวงตาสีฟ้ากว้างขึ้น คล้ายถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง มองเยี่ยเม่ยเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นกุมอกตัวเอง “ชั่วชีวิตนี้ข้าถูกโจมตีทั้งหมด ยังไม่มากเท่าวันนี้วันเดียว”
หรือเพราะหลังจากไปอยู่วัดหลายปี รสนิยมต่อความงดงามของโลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่เป็นคนน่าดึงดูด ไม่ใช่จิวมั่วเหอที่ทำให้สตรีทั่วหล้าเคลิบเคลิ้มอีกต่อไป
เยี่ยเม่ย คร้านจะฟังวาจาเหลวไหลของเขาอีก เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พนันหรือไม่”
จิวมั่วเหอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
มองเยี่ยเม่ยหลายที คลี่ยิ้ม รีบส่ายหน้า เอ่ยปากบอกว่า “ข้าไม่เอา พนันกันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากข้าชนะแล้ว เจ้าก็แค่แพ้ให้ข้าสามครั้ง แต่หากข้าแพ้แล้ว ข้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่คุ้มค่าเลยสักน้อย”
จิวมั่วเหอเอ่ยจบ มองสีหน้าไม่พอใจของเยี่ยเม่ย
สีหน้าของเขาพลันสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีทะลึ่งตึงตังแบบเมื่อครู่อีก กลับเอ่ยปากอย่างจริงจังว่า “หากข้าแพ้แล้ว เจ้าจะมีพันธมิตรเพิ่มอีกคนหนึ่ง เพื่อรับรองว่าการศึกครั้งนี้ ราชสำนักเป่ยเฉินจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน สุดท้ายต้ามั่วจะส่งหนังสือยอมจำนนมาให้”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็ฟังความนัยออก
หญิงสาวมองเขา ถาม “เจ้ากล้าพนันถึงขั้นนี้”
ไฉนต้องพนันเช่นนี้
จิวมั่วเหอเป็นผู้นำทัพของต้ามั่ว กลับเป็นพันธมิตรกับตนเอง ทั้งยังรับประกันว่าการศึกครั้งนี้ ตัวเองจะต้องชนะ นี่เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว
แต่จั่วอี้อ๋องพ่ายแพ้ไปแค่ครั้งเดียว ตำแหน่งผู้นำทัพก็เปลี่ยนคนแล้ว จิวมั่วเหอมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร รับรองว่าจะมอบหนังสือยอมจำนน เขาจะไม่ถูกจัดการหรอกหรือ
จิวมั่วเหอมองความสงสัยของเยี่ยเม่ยออก มองนางตาปริบๆ ก็เริ่มเรียกร้องออกมาอีก “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองจะไม่แพ้ ถึงได้มีความกล้าหาญขนาดนี้”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียง เปิดโปงว่า “หากเจ้ามีความมั่นใจจริงๆ เหตุใดไม่กล้าตกลงเรื่องจบชีวิตตัวเอง”
รอยยิ้มที่มุมปากจิวมั่วเหอพลันแข็งค้าง
เขาค้นพบว่า ต่อหน้าสตรีเบื้องหน้าผู้นี้ ทางที่ดีเขาไม่ควรเอ่ยคำโกหก นางมองปราดเดียวก็เปิดโปงได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยรับว่า “ลองสมมติว่าข้าแพ้ อย่างนั้นข้าก็จะร่วมมือกับเจ้าขจัดกองกำลังของราชาต้ามั่ว เชื่อว่าในเมื่อเจ้าฉลาดถึงขั้นนี้ ดูออกว่าข้าไปศึกษาพระธรรมคือเรื่องหลอกลวง อย่างนั้นเจ้าก็ต้องดูออกว่า ข้าสนใจในตำแหน่งราชาต้ามั่ว เดิมข้าก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับเป่ยเฉิน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะส่งหนังสือยอมจำนนก็หาใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “นี่ถึงจะมีเหตุผล”
แต่เจ้าหนุ่มเริ่มแรกก็พูดจาโกหก มาถึงตอนนี้พลันเอ่ยด้วยความจริงใจ นางยังมีความสงสัยอยู่บ้าง
โดยเฉพาะ เปลี่ยนไปไวขนาดนี้
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามว่า “อย่างนั้น ไฉนเจ้าไม่เลือกร่วมมือกับข้า แต่ต้องพนันกันก่อนเล่า”
จิวมั่วเหอพลันยิ้มออก จ้องเยี่ยเม่ยอย่างลุ่มลึก คล้ายมองความคิดของนางออก เอ่ยปากว่า “ง่ายมาก เพราะว่าข้าต้องรู้ความสามารถของเจ้า หากความสามารถของเจ้าไม่พอ ร่วมมือกับเจ้าอันตรายเกินไป อย่างนั้นไม่สู้กำจัดเจ้าไปเลย ทำให้เป่ยเฉินพ่ายแพ้ จากนั้นค่อยคิดแผนการภายหลัง”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ย “คำพูดนี้ข้าเชื่อ”
จิวมั่วเหอทำท่าคล้ายได้รับบาดเจ็บ เอามือกุมหน้าอก มองเยี่ยเม่ย “หรือคำพูดของข้าเมื่อครู่ เจ้าล้วนไม่เชื่อ”
เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยจากใจว่า “นับแต่เจ้าเข้าประตูมา มีเพียงสามประโยคเท่านั้นที่เป็นความจริง อันดับแรกชื่อของเจ้า อันดับที่สองเป้าหมายในการร่วมมือ อันดับที่สามก็คือคำพูดประโยคเมื่อครู่”
จิวมั่วเหออึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นมองเยี่ยเม่ยสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ยิ้มกว้าง “ข้าแปลกใจเหลือเกิน โลกนี้ไฉนถึงมีสตรีเช่นเจ้า”
เย็นชาเช่นนี้ ถึงกระทั่งสันโดด เอ่ยวาจาง่ายดายและตรงไปตรงมาชัดเจน ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ราวกับหน้าตาของผู้อื่น สำหรับนางแล้วไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
อยากเอ่ยอะไรก็เอ่ย…
ที่สำคัญคือ นางฉลาดมากพอ ทั้งยังมีไหวพริบ
หลังจากเขาคลี่ยิ้มอยู่นาน กะพริบตาใส่เยี่ยเม่ย แววตาเต็มไปด้วยความหลงใหล เอ่ยว่า “เป็นอย่างไร เจ้าจะพนันหรือไม่”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงออกมา เอ่ยปากโดยไม่ลังเลว่า “พนัน”
คราวนี้กลับเป็นจิวมั่วเหอที่ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ เขาสำรวจสีหน้าเยี่ยเม่ย ค่อยกล่าวว่า “เจ้าไม่ใคร่ครวญสักนิด ก็รับพนันแล้วหรือ”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “ทำไมต้องใคร่ครวญด้วย”
“หากเจ้าแพ้แล้ว เจ้าต้องยอมแพ้ให้ข้าสามครั้ง บางทีเพราะเหตุนี้เจ้าอาจต้องเสียตราคุมทัพไป แม้กระทั่งเสียชีวิตเจ้าด้วยก็ได้” จิวมั่วเหอเอ่ยตรงประเด็น
เยี่ยเม่ยกลับไม่ใส่ใจ ปรายตามองเขา “ข้าบอกแล้วว่า ไม่ต้องสมมติ ข้าไม่มีทางแพ้”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ จิวมั่วเหอก็นิ่งไปชั่วครู่
สักพักหนึ่ง สีหน้าเขามีความสนุกสนาน ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ว่ายินดีหรือโมโห “ดีดี”