เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 132
“อะไรนะ”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
คนทั้งหมดอึ้งไปเล็กน้อย
เยี่ยเม่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ รู้สึกกลัดกลุ้มบ้าง เลิกคิ้วสูง “เจ้ากำลังพูดอะไร เจ้ามั่นใจหรือ”
จิ่วหุนเด็กคนนั้น…
มุมปากของบ่าวผู้นั้นก็กระตุกเล็กน้อย
รีบพยักหน้า “ขอรับ เป็นความจริง ตอนที่ข้าน้อยพบเรื่อง ก็ตกใจเช่นกัน”
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยน ไม่พูดมากความยกสองมือกุมหน้า
ไม่ต้องคิดเลย พวกนางต่างรู้ว่าเพราะอะไร
นี่ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเหรอ ตอนนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนร่วมหัวกับคนมากมาย เยี่ยเม่ยหลงคิดว่าคนที่บาดเจ็บคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ได้ฟังแล้วยังวิ่งไปดูแลเขาอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน
ส่วนจิ่วหุนคนที่พ่ายแพ้จริงๆ ย่อมน้อยใจแย่แล้ว หากบอกว่าหนีออกจากบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
เดี๋ยวก่อน ไฉนทำตัวเหมือนเด็กเช่นนั้น บอกว่าจะหนีออกจากบ้าน ก็หนีออกจากบ้านแล้ว
เยี่ยเม่ยมองคนผู้นั้นทีหนึ่ง ย่นคิ้ว “เจ้าเห็นแล้วหรือ เจ้าเห็นเขาออกไปอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่…” บ่าวส่ายหน้า มอบจดหมายในมือให้เยี่ยเม่ย “ข้าน้อยไม่เห็นตอนเขาจากไป เห็นแต่ในห้องเขาทิ้งของสิ่งนี้ไว้ จากนั้นไปที่ไหนก็ไม่เห็นเขาอีก ดังนั้นข้าน้อยถึงคิดว่า เขาหนีออกจากบ้าน”
เยี่ยเม่ยยื่นมือออกมาด้วยความสงสัย รับจดหมายจากบ่าวมา
เมื่อเปิดออก ขณะที่จะดู
ส่วนเวลานี้ในค่ายหทาร เหล่าแม่ทัพจำนวนไม่น้อยกำลังหลับอยู่ ได้ยินข่าวนี้ ก็ลุกขึ้นมา สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบวิ่งออกมา
คนแรกที่ออกมาเป็นคนแรกก็คือเซียวเยว่ชิง “อะไร อะไรนะ คุณชายเสี่ยวจิ่วหนีออกจากบ้านแล้ว”
ในฐานะที่เป็นคนบอกข่าวที่องค์ชายสี่บาดเจ็บกับแม่นางเยี่ยเม่ย ทันทีที่เซียวเยว่ชิงฟังเรื่องนี้ ก็นอนไม่หลับ รู้สึกว่าตนเองไม่ต้องแบกความรับผิดชอบที่ไม่อาจผลักไสไปได้
หลูเซียงฮั่วติดตามออกมาอย่างรีบร้อนเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น จากไปแล้วจริงๆ หรือ”
จดหมายในมือเยี่ยเม่ยยังไม่ทันเปิดออก คนก็โผล่ออกมามากขนาดนี้แล้ว ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน เสี่ยวจิ่วมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเจ้าอย่างนั้นเหรอ ไฉนพวกเจ้าต้องแตกตื่นถึงเพียงนี้ด้วย”
“เออ…เรื่องนี้…”
คราวนี้ แม่ทัพหลายคนชะงักงัน เสียงแหบแห้งไม่พูดอะไรออกมา
สักพัก เซียวเยว่ชิงเอ่ยปาก “ก็คือว่า ผลงานในการทำศึกกับต้ามั่วครั้งก่อนของคุณชายเสี่ยวจิ่ว ท่านก็เห็นแล้ว เขาอาจเป็นเสาหลักของแผ่นดิน หากได้ฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารอีกหลายปี ภายหน้าจะต้องมีคุณงามความชอบ ดังนั้นพวกเราต่างก็เห็นค่าของเขา”
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้
ความคิดแรกของพวกเขาก็คิด แย่แล้ว ต้องเป็นเพราะพวกเขาร่วมมือกัน หลอกลวงแม่นางเยี่ยเม่ย ทำให้เสี่ยวจิ่วโมโห
ความคิดที่สองคือ ทหารกล้าแข็งแกร่งผู้หนึ่งจากไป สำหรับราชสำนักเป่ยเฉินแล้ว ช่างเป็นความเสียหายอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงหมกตัวอยู่ในกระโจมไม่ได้อีก
เมื่อฟังเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็มองคนอื่น ๆ อีกครั้ง
คนอื่นรีบพยักหน้า “จริงด้วย เป็นเช่นนี้”
เหล่าทหารพากันพยักหน้า
ความจริงเหล่าทหารที่ติดตามเยี่ยเม่ยออกรบ เห็นพลังอานุภาพของจิ่วหุน ยกดาบฟาดลงสังหารศัตรูในคราเดียว เรียกได้ว่าเป็นเทพแห่งสงครามก็ไม่เกินไป ความจริงพวกเขาเลื่อมใสจิ่วหุนมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายประมือกับ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแพ้เพียงแค่ครึ่งกระบวนท่าเท่านั้น
เยี่ยเม่ยฟังพวกเขาแต่ละคนเอ่ยเป็นเสียงเดียว นางเก็บความสงสัยในใจชั่วคราว ก้มหน้ามองจดหมายในมือ ที่มีตัวอักษรแน่นกระดาษ
เยี่ยเม่ยผงะเล็กน้อย จิ่วหุนเป็นพวกมีนิสัยไม่ชอบพูดจา จะเขียนตัวอักษรมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ หลังจากอ่านข้อความด้านใน เยี่ยเม่ยก็มุมปากกระตุกเบา ๆ หางตาก็พลอยกระตุกไปด้วยเช่นกัน
ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนด้านข้าง ก้าวเข้ามาดูว่าบทความยาวเหยียดของจิ่วหุนเขียนว่าอะไร
จากนั้น…
หลังจากเห็นเนื้อความด้านใน มุมปากของพวกนางก็กระตุกเช่นกัน
บนหน้ากระดาษไม่ใช่อะไร ก็แค่ตัวอักษรเบียดเสียดกันว่า “ข้าโมโหแล้ว ข้าไปล่ะ” หนึ่งร้อยจบเท่านั้นเอง
ถูกแล้ว ตัวอักษรเจ็ดคำนั่นเขาคัดเป็นร้อยจบ
เป็นการเน้นย้ำอย่างหนักแน่น ทำให้คนรู้ว่า จิ่วหุนโมโหแล้วจริงๆ อีกทั้งยังโมโหมากอีกด้วย
เยี่ยเม่ยชะงักงัน ไม่เข้าใจอยู่บ้าง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “มีอะไรน่าโมโหกัน”
ไม่มีใครในที่นี้กล้าพูดความจริง
ซือหม่าหรุ่ยเป็นคนจำพวกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ได้แต่ฝืนวิเคราะห์ว่า “ข้าว่า พวกเขาสองคนประมือกัน เดิมก็เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายแพ้ชนะ ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยุติธรรม แต่วันนี้เจ้าไปดูแลองค์ชายสี่ตลอดทั้งบ่าย เสี่ยวจิ่วไม่พอใจก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
นางฝืนวิเคราะห์โดยจงใจข้าม‘อาการบาดเจ็บ’ ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เกิดขึ้นเพราะคำพูดประโยคนั้นของเยี่ยเม่ย
“ถูกแล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วดูไปแล้วยังอายุเยาว์ คนอายุเยาว์ยากที่ไม่ชอบการเอาชนะคะคาน โมโหก็เป็นเรื่องปกติ” เซียวเยว่ชิงด้านข้างเสริมขึ้นมา
ความเซียวเยว่ชิงไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว กลัวการพูดจาช่วยเสี่ยวจิ่วต่อหน้าทุกคน แล้วคำพูดถ่ายทอดถึงหู องค์ชายสี่ ที่สำคัญเรื่องนี้เขาต้องรับผิดชอบ จิตใจอันดีงามของเขาเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว จึงได้แต่ช่วยอธิบายอีกประโยค
พวกเขาสองคนคนหนึ่งเอ่ยประโยค อีกคนช่วยเอ่ยวิเคราะห์อีกประโยคหนึ่งทำให้เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าก็สมควรโมโหจริงๆ
แต่ ไม่ช้าเยี่ยเม่ยมองทุกคน “หรือว่า พวกเจ้าไม่มีใครคิดว่า เขาไร้เหตุผลจงใจก่อเรื่อง”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมให้เขาถึงได้บาดเจ็บ เด็กคนนี้ไม่รู้ความเอาเสียเลย ยังจะโมโหอีก
ทุกคนกระตุกมุมปาก
หากเรื่องเป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยรับรู้ พวกเขาย่อมรู้สึกว่าเสี่ยวจิ่วไม่รู้ความอยู่บ้าง จงใจก่อเรื่องไร้เหตุผล แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น นี่คือบทละครที่องค์ชายสี่เขียนขึ้นน่ะสิ
ดังนั้น เพื่อให้จิตใจดีงามของพวกเขาไม่ต้องเจ็บปวดเพื่อเสี่ยวจิ่วเทพสงครามที่ร้ายกาจ กลับมาอยู่ข้างกายของพวกเขาได้ไวหน่อย ทั้งไม่อาจเปิดโปงองค์ชายสี่ พวกเขาสมควรทำอย่างไรเล่า
พวกเขาทำได้เพียง…
ถัดมา พวกเขาทั้งหมดคล้ายสูญเสียความสามารถในการแยกแยะ เอ่ยปากกับเยี่ยเม่ย “ไม่มีใช่หรอก ก่อเรื่องโดยไร้เหตุผลที่ไหนกัน หากข้าเป็นคุณชายเสี่ยวจิ่ว ข้าก็คงโมโหมาก คำวิเคราะห์ของแม่นางซือหม่าหรุ่ยเมื่อครู่มีเหตุผลมากจริงๆ”
“นั่นสิ นั่นสิ” ทหารทั้งหลายพยักหน้า
สีหน้าของทุกคนจริงใจเป็นอย่างมาก
พลันทำให้เยี่ยเม่ยเกิดความสงสัยว่า ความสามารถในการวิเคราะห์ของตัวเองกับความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นมีปัญหาหรือเปล่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมให้จิ่วหุนถึงได้รับบาดเจ็บ เจ้าหนุ่มเสี่ยวจิ่วสมควรไปเยี่ยมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงจะถูกต้อง
ต่อให้เขามีนิสัยรักสันโดษ ไม่ยินยอมไป ก็ไม่ถึงขั้นหนีออกจากบ้านเลยนิน่า
เยี่ยเม่ยมองทุกคนอีกครั้ง “พวกเจ้าคิดว่าเขาทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นเหรอ”
ซินเยว่เยี่ยนทำเพื่อน้องสะใภ้ในอนาคต จึงไม่ช่วยเสี่ยวจิ่วพูด ทว่าจิตใจอันดีงามของนางก็รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่ขัดขวาง
ซือหม่าหรุ่ยเงียบไปหลายวินาที แต่งเรื่องต่อไม่ได้อีก ดังนั้นเพียงเอ่ยประโยคสำคัญประโยคหนึ่ง “ปกติหรือไม่ปกติไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเจ้าคิดจะตามเขากลับมาหรือเปล่า”