เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 105
สิ้นเสียงของเขา เยี่ยเม่ยเบือนสายตามองไป
แววตาเย็นเยือกของนางกวาดมองฝ่ายตรงข้าม เห็นเซียวเยว่ชิงสีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดเลยสักน้อย ดูท่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนคงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ไม่เช่นนั้นยามนี้พวกเขาสมควรใคร่ครวญว่าจะบอกนางอย่างไรดีถึงจะถูก
ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยค่อยรู้สึกวางใจ
เห็นเซียวเยว่ชิงเดินเข้ามา นางเอ่ยปากถามว่า “มีเรื่องอะไรมาปรึกษาข้า”
เซียวเยว่ชิงประสานมือ รีบเอ่ยปากอธิบายว่า “คือว่าอย่างนี้ คิดว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคงจำได้ วันนั้นท่านนำแม่ทัพหลูและข้าไปต้ามั่ว เอาข้าวสารแลกกับลู่หวานหว่าน ระหว่างทางกลับถูกคนขององค์ชายใหญ่ดักโจมตี”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า
วันนั้นหลูเซียงฮั่วอยู่กับนาง ส่วนแม่ทัพเซียวตรงหน้านี้ รั้งอยู่ด้านท้ายคอยรับศึก
เยี่ยเม่ยถามว่า “ดังนั้น? หรือว่าเขาเล่นตุกติกอะไรอีกแล้ว”
ในตอนนี้ภาพลักษณ์ของเป่ยเฉินเสียงที่มีต่อเยี่ยเม่ยไม่ดีเอามากๆ ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ นางจึงใช้คำว่าเล่นตุกติกมาเพื่ออธิบาย
สิ้นเสียงนาง
เซียวเยว่ชิงรีบเอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น เพียงแต่แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านยังจำได้หรือไม่ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว องค์ชายใหญ่ทำลายข้าวที่ท่านเตรียมเอาไว้ หากมิใช่เพราะท่านกับองค์ชายสี่คาดการณ์ได้ก่อนแล้ว นำข้าวสารสลับออกมา ไม่แน่ว่าครั้งนี้พวกเราไม่อาจชนะศึกได้อย่างงดงาม ทั้งยังพ่ายแพ้อีกด้วย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองอีกฝ่าย “ดังนั้น?”
“ดังนั้น ข้ากับแม่ทัพทั้งหลายปรึกษากันแล้ว พวกเราตั้งใจจะส่งสารกลับเมืองหลวงเพื่อฟ้องร้ององค์ชายใหญ่ แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านคิดว่าอย่างไร” เซียวเยว่ชิงรีบตอบกลับ
พวกเขาตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ยึดเอาเยี่ยเม่ยเป็นเสาหลักของพวกเขา
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาทำศึกสงครามมาหลายปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การตายน้อยมาก ทั้งยังเอาชนะได้อย่างหมดจด ความเลื่อมใสที่พวกเขามีต่อเยี่ยเม่ยยากเกินใช้คำพูดมาอธิบายได้ ดังนั้นเรื่องนี้ พวกเขาจึงคิดถามความเห็นของนางเสียก่อน
เยี่ยเม่ยได้ฟังก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง…
……
หน้าประตูวังหลวง
รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ ผ่านหน้าประตูวังไป
เป่ยเจี้ยนเกออยู่นอกรถม้า เป็นผู้นำขบวน รักษาความปลอดภัยให้กับเป่ยเฉินเสียง
ส่วนในรถม้า เป่ยเฉินเสียงในสภาพน่าอนาถนั่งพิงรถม้า
หมอหลวงนั่งอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ เพิ่งป้อนยาเป่ยเฉินเสียงหมด เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านมิต้องกังวล อาการบาดเจ็บของท่าน ข้ามั่นใจจะรักษาให้หายได้ เพียงแต่พิษหนอนในกายท่าน ข้าอับจนหมดทางจริงๆ แต่เชื่อว่าในเมื่อจวินซ่างส่งใต้เท้าเป่ยมาช่วยท่าน จวินซ่างย่อมช่วยท่านแน่”
เมื่อเอ่ยถึงจวินซ่าง แววตาของหมอหลวงเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
ในสายตาของทุกคนในใต้หล้าคล้ายกับไม่มีเรื่องใดที่จวินซ่างทำไม่สำเร็จ
ส่วนความจริงแล้ว ในราชสำนักเป่ยเฉินองค์ชายสี่ของพวกเขาก็คล้ายจะไม่มีเรื่องอันใดที่ทำไม่สำเร็จ ยกเว้นแต่เรื่องที่องค์ชายสี่ไม่อยากทำ…
ดังนั้นจวินซ่างเสินเซ่อเทียน เป็นเหมือนเทพเจ้าในใจของทุกคน
ส่วนองค์ชายสี่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเหมือนปีศาจร้ายในใจของทุกคน
นี่คือสองยอดคน…
ทั้งเป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีความสามารถขั้นสูงสุดสองคน
ครั้นเป่ยเฉินเสียงฟังคำปลอบใจของอีกฝ่าย ก็โบกมือ เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ารู้แล้ว เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ” หมอหลวงรับคำสั่ง รีบถอนตัวออกไป
หลังจากหมอหลวงจากไป บ่าวรับใช้ประจำตัวเป่ยเฉินเสียงมองเจ้านายทีหนึ่ง เอ่ยปากว่า “องค์ชายใหญ่ องค์ชายสี่กับสตรีนางนั้นโหดเ**้ยมจริงๆ พวกเราไม่อาจปล่อยพวกเขาไป”
เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ นัยน์ตาของเป่ยเฉินเสียงฉายแววอำมหิต
เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ตัวข้าย่อมไม่มีทางปล่อยพวกเขาแน่ เยี่ยเม่ย…”
เป่ยเฉินเสียงชะงักไป พลันหัวเราะออกมา “ได้ยินว่านางชนะแล้ว”
“ขอรับ ข่าวเพิ่งส่งมา เอาชนะได้อย่างสวยงาม มีบารมีในค่ายทหารไม่น้อยเลย” บ่าวรับใช้เล่า ซ้ำยังเจือความโมโห
สิ้นเสียงเขา เป่ยเฉินเสียงพยักหน้า “ดีมาก เจ้าคิดดู คนผู้หนึ่งมีบารมีอยู่ในหมู่ทหาร ทั้งเพิ่งเอาชนะศึกได้ เป็นคนที่ทำคุณประโยชน์แก่ราชสำนักเป่ยเฉินเรา หากข้าขอให้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้นางเป็นพระชายาข้า เจ้าว่าเสด็จพ่อจะรับปากหรือไม่”
บ่าวรับใช้อึ้งไป จากนั้นตอบสนองได้โดยว่องไว “จากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทและฮองเฮามีต่อเตี้ยนเซี่ย สมควรรับปาก”
หลายปีที่ผ่านมา เตี้ยนเซี่ยเป็นเสมือนยอดดวงใจของฮ่องเต้และฮองเฮา สำหรับคำขอของเตี้ยนเซี่ยไม่ว่าเรื่องอะไรโดยพื้นฐานแล้วไม่ถูกปฏิเสธ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีเพียงนางเดียว
“แต่ ท่านทำเช่นนี้…” ขณะที่บ่าวรับใช้เอ่ย ก็พลันเข้าใจว่า “เตี้ยนเซี่ยช่างเลิศล้ำ หากท่านทำเช่นนี้ องค์ชายสี่ไม่มีวันได้ตัวนางไป อีกทั้งเมื่อนางเป็นพระชายาของท่าน ชีวิตก็อยู่ในกำมือท่าน ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว เพียงแต่ชาติกำเนิดของแม่นางเยี่ยเม่ย…”
ฐานะของแม่นางผู้นี้ พวกเขายังไม่สืบชัดเจน
ชาติกำเนิดไม่ชัดเจน
สตรีที่มีฐานะไม่ชัดเจนเช่นนี้ ต่อให้ยามนี้ได้รับความชอบจากการศึก ก็ยากจะเป็นพระชายาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเตี้ยนเซี่ยเป็นถึงองค์ชายใหญ่ที่ประสูติจากฮองเฮา
เป่ยเฉินเสียงแค่นเสียงเย็น “เจ้าวางใจเถอะ องค์ชายอย่างข้ามีหนทางให้เสด็จพ่อเสด็จแม่รับปาก”
บ่าวรับใช้ประจำกายฟังถึงตรงนี้ มองสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเป่ยเฉินเสียงคราหนึ่ง ก็พยักหน้า “เตี้ยนเซี่ย พวกเขาจะต้องเสียใจในการกระทำของพวกเขาแน่”
…
ในวังหลวง
หลังจากฟังคำฟ้องร้องที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยของซือถูเฟิง ซือถูเฉียงรวมไปถึงตระกูลเสนาบดีจบ
ฮ่องเต้พลันรู้สึกว่าพระองค์ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
อีกทั้งก่อนคนพวกนี้จะเข้ามา พระองค์ได้รับสารจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าลูกอกตัญญูต้องการฟ้องร้องซือถูเฟิง ผู้มีฐานะเป็นหนึ่งในแม่ทัพรักษาชายแดน กลับหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล นับเป็นทหารหนีทัพ ให้พระองค์ตัดสินโทษตายให้กับซือถูเฟิง
น้ำเสียงแหลมสูงฟ้องร้องของซือถูเฉียงดังขึ้น “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับเฉียงเอ๋อนะเพคะ เฉียงเอ๋อเป็นท่านหญิงที่พระองค์พระราชทานตำแหน่ง สตรีนางนั้นกลับทำกับข้าเช่นนี้ พระองค์ต้องประหารนาง”
“ฝ่าบาท…” เสนาบดีกำลังจะเอ่ยบ้าง
ฮ่องเต้พลันตัดบท “พอแล้ว”
คนในห้องโถงพากันสงบลง
ฮ่องเต้หยิบสารลับที่โต๊ะ โยนลงไปด้านล่าง ปรายพระเนตรมองซือถูเฟิง “เจ้าดูเอาเอง นี่คือหนังสือที่องค์ชายสี่เขียนเอาผิดเจ้า มีข้อสงสัยหรือไม่ หากไม่มีข้าจะตัดสินแล้ว”
ไม่ว่าซือถูเฟิงจะปกป้องน้องสาวอย่างไร คำนึงถึงความสัมพันธ์พี่น้องอย่างไร แต่ตัวเขาก็เป็นถึงแม่ทัพรักษาเมือง หนีหน้าที่โดยพลการมีโทษประหารชีวิต
ซือถูเฟิงเปิดออกดู สีหน้าพลันซีดขาว “ฝ่าบาท ข้า…”
“ใครก็ได้” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ทำตัวแม่ทัพซือถูออกไป ลงโทษตามกฎทหาร”
อะไรกัน?
คนทั้งหมดต่างแตกตื่น คิดไม่ถึงว่าพวกเขามาฟ้องร้องผู้อื่น ผลปรากฏว่ากลับดึงตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย
ในเวลานี้ เสียงของฮองเฮาดังขึ้นมาจากทางหน้าประตู “ช้าก่อน”
…
ในเมืองชายแดน
เยี่ยเม่ยที่มองเซียวเยว่ชิง ในที่สุดก็พยักหน้า “ได้ ถวายฎีกาขึ้นไปหาเรื่องให้เขาก่อน ถึงจะลดเรื่องของพวกเราไปได้”
เซียวเยว่ชิงพยักหน้า “ข้ากลับไปจะรีบดำเนินการทันที”
เยี่ยเม่ยถามอย่างรวดเร็ว “องค์ชายสี่กับเสี่ยวจิ่วประมือกันเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“เอ๋” สีหน้าเซียวเยว่ชิงพลันกระอักกระอ่วน อ้ำอึ้งมองเยี่ยเม่ย คล้ายกับคนมีอาการท้องผูก