เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 89
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทว่าจากสายตาเขา เยี่ยเม่ยสัมผัสถึงความหวาดกลัวไม่ได้สักน้อย
เห็นได้ชัดว่า เขามิได้กลัวจริงๆ
ก็ถูก ยอดฝีมือเช่นนี้ ถึงกระทั่งรู้ถึงชีวิตก่อนของคน จะหวาดกลัวง่ายๆ ได้อย่างไร
แทบจะเวลาเดียวกัน เยี่ยเม่ยสลัดความคิดลงมือทิ้ง
นางนั่งลงไป มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ถามว่า “ในเมื่อท่านรู้ ทำอย่างไรท่านถึงยินยอมบอกข้า”
“เรื่องนี้เจ้ารู้ไปในตอนนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดกับเจ้า” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตอบกลับอย่างเป็นนัยแอบแฝง
มองเขาเอ่ยคำพูดมีนัยยะแอบแฝงเช่นนี้ สีหน้าของเยี่ยเม่ย ไม่ได้เต็มไปด้วยความเลื่อมใสหรือเชื่อถือ แต่คล้ายหมดความอดทน คิดจะลงมือ
มุมปากผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระตุก รีบเอ่ยเอาใจว่า “ความหมายของข้าคือ ลิขิตฟ้าให้เจ้าหลงลืมไปชั่วคราว เช่นนี้ย่อมแฝงความหมายที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทุกสิ่งล้วนกำหนดไว้แล้ว ต่อให้ข้ารู้ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ มิเช่นนั้นเท่ากับข้าจะถูกสวรรค์ลงโทษ”
ยามที่เขาเอ่ย สีหน้ากลับดูจริงจังขึ้น
ทำให้เยี่ยเม่ยพิจารณาใบหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีข้ออ้างคำลวงแล้ว สีหน้าค่อยสงบลงมา
คำพูดที่ว่า เผยลิขิตฟ้า ถูกสวรรค์ลงโทษ เยี่ยเม่ยเคยได้ฟังมาก่อน
ส่วนนางที่เป็นคนย้อนเวลามา ย่อมเชื่อเรื่องพิสดารเช่นนี้ได้ง่าย
นางมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ถามว่า “อย่างนั้นข้าขอถามท่าน สหายของข้ายังมีชีวิตอยู่ไหม”
หลายวันนี้นางมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องเป่ยเฉินและต้ามั่ว ไม่ได้ไปหาลูกพี่ อย่างแรกก็เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหน อย่างที่สองเพราะ สัญชาตญาณที่ไม่อาจบอกได้ชัดเจนนั้นบอกว่าลูกพี่น่าจะไม่เกิดเรื่อง
“เรื่องนี้…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ลูบเคราตัวเอง พลันเผยสีหน้าลึกลับ
เยี่ยเม่ยล้วงมีดสั้นออกจากชายเสื้อ ลุกขึ้นอีกครั้ง ถามว่า “เรื่องนี้ก็พูดไม่ได้?”
“นี่นี่นี่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบเอ่ยปากหยุดยั้ง นางอาจจะใช้กำลังกับตน จึงรีบกล่าวว่า “เด็กหญิงอย่างเจ้า มีอะไรค่อยๆพูดค่อยจา ไฉนถึงได้ป่าเถื่อนนัก ข้าแค่ลังเลเล็กน้อย คิดเล่นตัวสักหน่อย เจ้าโกรธขึงขนาดนี้ไปทำไม”
เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยเสียงเย็นว่า “เช่นนั้นพูดมา”
ยามนี้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกว่าวันนี้เขากับเยี่ยเม่ยสนทนากัน ก็ชี้นำอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่แน่ว่าในอนาคตเขาจะปกป้องตัวเองได้ ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์น่าเคารพของเขาที่อยู่ในใจคนทั่วหล้า
เขาก็เริ่มไม่ยินดีขึ้นมาแล้ว เอ่ยปากอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ “สหายของเจ้าไม่เป็นไร เพียงแต่นางตกไปอยู่ที่แผ่นดินอีกผืน เจ้าก็รู้ว่า โลกใบนี้มีแผ่นดินทั้งหมดห้าผืน เจ้าก็ไม่ต้องคิดไปตามหานางอีกแล้ว แผ่นดินที่นางอาศัยอยู่ หากคิดเดินทางไปหานาง เกรงว่าต้องล่องลอยทะเลไปสิบปี”
สีหน้าเยี่ยเม่ยเคร่งขรึมขึ้น
นางรู้ว่ายุคสมัยนี้มีแผ่นดินห้าผืน แผ่นดินแต่ละแห่งกินเนื้อที่เท่าๆกับ เอเชียนในยุคปัจจุบัน ด้วยพื้นที่เท่านี้ยังใหญ่เสียกว่าทวีปเอเชียอีก ดังนั้นบรรดาเจ้าดินแดนทั้งหลายถึงไม่คิดรวบรวมแผ่นดินอื่น ครั้นจะเดินทางไปต้องใช้เวลาถึงสิบปี คิดรวมแผ่นดินหาใช่เรื่องที่เป็นจริงได้
ส่วนแผ่นดินใหญ่ผืนอย่าง หวงเยว่ เซวียนอวี้ เผิ่นรั่ว ห่างจากดินแดนที่ฉ่างฉีนางอยู่ค่อนข้างใกล้ แผ่นดินเซวียนอวี้ที่ไกลที่สุด ใช้เวลาเดินเรือราวครึ่งปีเท่านั้นก็สามารถไปถึงได้ แต่แผ่นดินตี้เย่าที่ไกลที่สุด กลับต้องใช้เวลาเดินทางถึงสิบปี
ลูกพี่ตกอยู่แผ่นดินนั้นแล้วหรือ
สีหน้าเยี่ยเม่ยยิ่งสงสัย ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบเสริมขึ้นว่า “ข้าสาบานว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยเป็นเรื่องจริง การหลอกลวงเจ้า สำหรับข้าไม่มีประโยชน์ใดๆ”
เยี่ยเม่ยมองเขา เน้นเสียงแข็งอีกครั้งว่า “ท่านมั่นใจว่าสหายข้าไม่เกิดเรื่องจริงๆ ?”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้ายืนยัน “ข้ามั่นใจ อีกอย่างพวกเจ้าทั้งสองมาที่นี่ ต่างก็มีชะตาชีวิตของตนเอง…อืม ความจริงสมควรมาบอกว่าคนที่กลับมาคือเจ้า ส่วนนางถูกดึงมาเกี่ยวข้องอย่างไม่คาดฝัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือเป็นลิขิตสวรรค์ นางมีหน้าที่ของตัวเอง เจ้าก็มีหน้าที่ของตัวเอง รอพวกเจ้าเดินอยู่ในเส้นชะตาของตัวเองแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสได้พบหน้า”
“หน้าที่? ภาระหน้าที่ของข้าคืออะไร” เยี่ยเม่ยสายตาวาวโรจน์ “อีกอย่าง เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้ากลับมา ไม่ใช่เดินทางมา”
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
หรือว่าเดิมทีนางก็เป็นคนในยุคสมัยนี้อยู่แล้ว
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จ้องนาง จากนั้นลูบเคราอย่างยากคาดเดา คล้ายกำลังใช้ความคิดอยู่สักพัก ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ไม่ผิด เจ้ากลับมา เดิมเจ้าก็เป็นคนของที่นี่ ภาระของเจ้าคือการตามหาความทรงจำที่สูญเสีย ทำภารกิจหนักอึ้งบนบ่าของเจ้าให้สำเร็จ แน่นอนว่าหลังจากเจ้าฟื้นความทรงจำแล้ว เจ้าจะแบกรับภาระหน้าที่นี้ต่อไปหรือไม่ ก็ล้วนอยู่ที่เจ้าเลือกเอง”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว สายตาที่ใช้มองเขายิ่งทวีความล้ำลึก
เดิมทีนางเป็นคนของที่นี่? อย่างนั้นความทรงจำที่นางสูญเสียไป คือความทรงจำก่อนที่ลูกพี่ช่วยนางไว้อย่างนั้นหรือ หน้าที่ของนาง? ทั้งยังมี…
ยามนี้นางพลันคิดขึ้นมาได้ว่า ตลอดสี่ปีที่ผ่านมามีความฝันที่เกี่ยวพันตามติดอยู่มาตลอด
“เทพแห่งสงครามคุ้มครอง แม่น้ำหมิงไม่เหือดแห้ง เถ้ากระดูกกองสูงตระหง่านยาวพันลี้ “
คล้ายกับเป็นคำสาปแช่งเลือนรางอยู่ในความทรงจำ แต่ก็คล้ายเสียงจากก้นบึ้งของหัวใจนาง คิดมาถึงตรงนี้ นางพลันรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกหนาวเหน็บ
แต่อย่างไรนางก็ไม่หวาดกลัว มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ถามขึ้นว่า “หากที่ท่านพูดเป็นความจริง ข้าจะทำอย่างไรเพื่อได้ความทรงจำคืนมา แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ลูกพี่ไม่เกิดเรื่องจริงๆ”
“นางเกิดเรื่องหรือไม่ ข้าหลอกเจ้าไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่ใช่หรือ” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ย้อนถามอย่างจนปัญญา “อีกอย่างข้ารับประกันได้ว่า นางมีชีวิตที่ดีกว่าเจ้ามากนัก”
เวลานี้เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก ตอนนี้นางก็อยู่อย่างไม่เลวแล้ว แต่เมื่อคิดว่าลูกพี่เป็นสตรีที่ช่างวางแผนการ ก็จริง…ลูกพี่มีชีวิตที่ดีกว่าทุกคน ถึงเหมาะสมกับสมองอันชาญฉลาดของลูกพี่ เมื่อคิดเช่นนี้ นางค่อยเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ก็ดี อย่างนั้นข้าจะลองเชื่อท่านดู”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยต่อไปว่า “ส่วนที่ว่าความจำของเจ้าจะกลับมาอย่างไร เจ้าเลิกคิดก่อนชั่วคราว เพราะคนที่เป็นกุญแจสำคัญในการคืนความทรงจำของเจ้านั้นยังไม่ปรากฎตัว แต่อีกไม่ช้าเจ้าก็จะได้พบเขาแล้ว ส่วนที่ว่าเจ้าจะจำได้หรือไม่ จำได้ตอนไหน ทุกอย่างอยู่ที่ชะตา”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ใส่ใจที่เขาเล่นตัว เพียงกล่าวว่า “อย่างนั้น ท่านต้องพูดอะไรสักหน่อย เพื่อเป็นหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ว่าเดิมทีข้าเป็นคนของที่นี่”
“ก็อาศัยแค่ยามเจ้าฝึกเคล็ดวิชาของข้า ส่งผลให้กำลังภายในร่างกายไหลเวียน เจ้าค้นพบแล้วว่าตัวเองคล้ายจะมีกำลังภายในอยู่แล้วมิใช่หรือ” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยิ้มอย่างมีลับลมคมนัย
เยี่ยเม่ยใจสั่นสะท้าน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้นางเชื่ออย่างน่าแปลกว่าตนเองเป็นคนของที่แห่งนี้ไม่ยาก
ส่วนเมื่อครู่ ตอนที่นางทดสอบกำลังภายในแล้วค้นพบว่าภายในร่างของนางคล้ายมีพลังสายหนึ่งที่ถูกผิดผนึกไว้นาน ก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความทรงจำของนาง