เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 51
เยี่ยเม่ยย่อมดูออกว่าพวกเขาไม่มั่นใจในตัวนาง
นางเองก็ไม่ค้านว่า เมื่ออยากได้รับความเชื่อใจจากผู้อื่น ก่อนอื่นต้องแสดงฝีมือออกไป จุดนี้นางรู้อยู่แก่ใจ
เยี่ยเม่ยทางหนึ่งมองแผนที่ อีกทางหนึ่งก็วิเคราะห์สถานการณ์ เงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพทั้งหลาย
ถามเสียงนิ่งว่า “เรื่องเสบียงอาหารของต้ามั่ว มีการแก้ไขอย่างไร”
นางเอ่ยเช่นนี้ แม่ทัพพากันมองมาที่นางอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นเอ่ยปากว่า “หลักสามทัพไม่เคลื่อนพล ต้องตระเตรียมเสบียงเสียก่อน พวกเราล้วนเข้าใจ เพียงแต่ต้ามั่วแตกต่างจากพวกเรา พวกเขาฆ่าชิงเสบียงมาตลอดทาง แย่งชิงเสบียงอาหารที่กองทัพต้องการ ดังนั้นคิดลงมือกับเสบียงอาหารของพวกเขา เป็นไปไม่ได้”
คนทั้งหลายต่างคิดว่าเยี่ยเม่ยต้องการชิงเสบียงของต้ามั่ว ถึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยฟังแล้ว มุมปากยิ้มยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “เป็นอย่างนี้ก็ดี”
“อะไรนะ” แม่ทัพหลายคนหันหน้ามองนางด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วมองเขา น้ำเสียงยังคงเย็นชาดั่งเดิม เอ่ยปากต่อว่า “เสบียงของพวกเขาล้วนแย่งชิงมา หากพวกเราใช้เสบียงเป็นเหยื่อ ก็ดึงให้พวกเขาติดเบ็ดได้ ไม่ใช่หรืออย่างไร”
นางพูดประโยคนี้ออกมา แม่ทัพทั้งหลายต่างมองหน้ากัน
ในใจรู้สึกว่าความคิดนี้พอใช้ได้ แต่ว่า…
หัวหน้าทหารผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา “ชาวต้ามั่วต่างก็เชี่ยวชาญการขี่ม้ากรำศึก หากพวกเราใช้เสบียงเป็นเหยื่อล่อ พวกเขาแย่งชิงไปจริงๆ อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าพวกเราเสียภรรยาแล้วยังเสียไพล่พล[1]อีกหรือ”
ความจริงพวกเขาไม่คิดจะเชิดชูความสามารถของผู้อื่น ทำลายความน่าเกรงขามของตนเอง แต่ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ทหารม้าต้ามั่วร้ายกาจมาก พวกเขาเติบโตขึ้นบนหลังม้าตั้งแต่เล็ก หากเปิดศึกเพื่อเสบียงขึ้นมา จำนวนไพร่พลของสองฝ่ายต่างมีไม่มาก แต่จุดเด่นของทหารม้าต้ามั่วสำแดงออกมา ดังนั้นพวกเขาไม่มีความมั่นใจ
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว เสียงเย็นกล่าว “อย่างนั้นก็ให้พวกเขาชิงไป”
เหล่าทหารสบตากัน ไม่เข้าใจความหมาย
นายทหารผู้หนึ่งมีความฉลาดอยู่บ้าง เขามองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากถามว่า “หรือแม่นางเยี่ยเม่ยคิดลงมือกับเสบียง เช่นวางยาพิษ? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ คนของต้ามั่วกินแล้ว…”
เขาเอ่ยเช่นนี้ ตนเองยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ มองสายตาเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปเป็นน่าหวาดกลัว
ในใจเขามีคำพูดหนึ่งเกิดขึ้น…ใจสตรีโหดเ**้ยมที่สุด
จากนั้นแม่ทัพอีกคนกลับมองเยี่ยเม่ย ขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย เอ่ยปากว่า “ข้าคิดว่าแผนนี้ไม่เหมาะ ได้ยินมาว่าจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วลึกลับมาก ทุกครั้งที่ออกรบมักสวมหน้ากาก ฝีมือทางการแพทย์ของเขาสูงล้ำ ผู้นำทหารของต้ามั่วครั้งนี้คือเขา หากวางยาลงในเสบียงจริง เขาย่อมต้องจับได้”
เยี่ยเม่ยยกมุมปากเย็นชา ปรายตามองพวกเขาทีหนึ่ง “ข้าบอกตอนไหนว่าจะวางยาในเสบียง”
คนทั้งหมดในที่นี้ต่างก็ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกแปลกใจ
ไม่ใช่วางยาพิษ แล้วเพื่อ…
แววตาเยี่ยเม่ยฉายแววน่าสนุกสนาน กวักมือเรียกแม่ทัพผู้หนึ่ง ถึงแม้แม่ทัพผู้นั้นจะไม่ค่อยยินยอม แต่อย่างไรเยี่ยเม่ยในยามนี้ก็เป็นผู้นำทหาร ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น เดินไปหาเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว เยี่ยเม่ยกระซิบข้างหูเขาอยู่หลายคำ
สีหน้าของแม่ทัพผู้นั้นเริ่มจากไม่ยินดี จนถึงขมวดคิ้ว แล้วยิ้มยกมุมปาก จากนั้น…
เขาส่งสายตามองเยี่ยเม่ย ถามว่า “นี่…นี่จะได้ผลหรือ”
“ลองดูก็รู้แล้ว ถือว่าได้สืบความเป็นไปของศัตรูไปด้วย พวกเราไม่เสียหาย ไม่ใช่หรือ” นัยน์ตาเยี่ยเม่ยมีรอยยิ้ม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เต็มไปแววเล่ห์ร้าย
แม่ทัพผู้นั้นครุ่นคิด…ก็ถูก
อย่างไรเสียทำเช่นนี้ต่อให้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่ขาดทุน อีกอย่างสามารถคิดถึงวิธีเช่นนี้ได้ สตรีนางนี้เป็นคนเจ้าความคิดอย่างแท้จริง รอดูว่านางมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนแล้วกัน
ดังนั้นเขาพยักหน้า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เขาไม่ทันตระหนักว่าคำที่เขาใช้เรียกเยี่ยเม่ยล้วนเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มตั้งแต่ความไม่ยินดีในคราแรก เปลี่ยนไปเป็นเกรงใจ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเน้นย้ำคำหนึ่งว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าหวังว่าท่านจะแสดงให้ดี ละครบทนี้ต้องแสดงให้สมบทบาท พวกเราถึงจะมีโอกาสได้เปรียบ”
แม่ทัพผู้นั้นมุ่นคิ้ว ดูเคร่งขรึมขึ้นมา กำหมัดประสานมือเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ ข้าจะจัดการให้เหมาะสม”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เป็นสัญญาณให้เขาไป
แม่ทัพผู้นั้นรีบหมุนตัว สาวเท้ากว้างจากไป
แม่ทัพทั้งหลายในที่นี้ มองหน้ากัน แม่ทัพผู้หนึ่งอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “แม่นาง เมื่อครู่ท่านกับแม่ทัพหลูพูดอะไรกัน”
เยี่ยเม่ยมองพวกเขาแล้วถอนสายตากลับไปมองแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ มือเคาะที่โต๊ะเบาๆ
ค่อยๆ เอ่ยว่า “พูดอะไร อีกไม่กี่วันพวกเจ้าก็รู้แล้ว”
“นี่…”
เหล่าแม่ทัพทั้งหลายมองหน้ากันอีกครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เดิมระแวงว่านางจงใจหลอกลวง แต่แม่ทัพหลูหาใช่คนไม่รู้ความ สีหน้าแม่ทัพหลูนั้น ดูไปแล้วคล้ายจะมีวิธีที่ดีจริงๆ
เยี่ยเม่ยหันมองพวกเขาอีกครั้ง ชี้คนผู้หนึ่งอย่างขอไปที เอ่ยปากว่า “เจ้า ไปเลือกทหารฝีมือดีมาห้าร้อยนาย อีกสองวันเตรียมตัวส่งเสบียงออกนอกเมือง”
คนผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น ในใจไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยคิดทำอะไร ทว่าคำสั่งทหารเช่นนี้ เพียงแต่พยักหน้าด้วยความสงสัย
ลุกขึ้น ประสานหมัดเอ่ยว่า “ขอรับ”
เขาหมุนตัวออกจากประตูไป
เยี่ยเม่ยมองเหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ อีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาสั่งว่า “ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว กลับกันไปเถอะ เลิกประชุมได้”
แม่ทัพที่ไม่ได้รับภารกิจทั้งหกคน ยามนี้รู้สึกว่าตนถูกละเลย ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือความสามารถ
หนึ่งในแม่ทัพลุกขึ้น เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ภารกิจของพวกเราเล่า”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ภายในสามวันนี้พวกเจ้ายังไม่มีภารกิจ อีกสามวันข้าจะบอกพวกเจ้าเอง พวกเจ้าคอยเตรียมตัวไว้”
แม่ทัพผู้นั้นขมวดคิ้ว กล่าวต่อว่า “แต่ว่ายามนี้คนของต้ามั่ว กำลังปลุกระดมอยู่หน้าประตู พวกเราสมควรรับมืออย่างไร”
เยี่ยเม่ยก้มหน้า ไม่ปรายตามอง เอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเขาไม่มีความกล้าบุกโจมตี ฝืนบุกเข้ามาก่อให้เกิดความเสียหายมากเกินไป นอกจากว่ารอพวกเราออกไปรับศึก ดังนั้นขอเพียงไม่ใส่ใจ รอจนฟ้ามืด ท้องร้องแล้ว เสียงแหบแล้ว เหน็ดเหนื่อยแล้ว ย่อมกลับไปด้วยตนเอง”
คนทั้งหมดกระตุกมุมปาก
ท้องร้องแล้ว เสียงแหบแล้ว ยังมีเหน็ดเหนื่อยแล้วอีก…
“แต่พวกเขาด่าแบบนี้ต่อไป พวกเราไม่ออกไปรับศึก ไม่เท่ากับว่าพวกเราไม่แน่จริงหรอกหรือ” แม่ทัพผู้นั้นเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา ถามจริงจังว่า “เจ้าแน่จริงหรือไม่ ตัวเจ้าเองไม่รู้ ต้องให้ศัตรูมายืนยันให้หรือ”
แม่ทัพผู้นั้นมุมปากกระตุก ชะงักไปชั่วครู่
เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “คนที่แน่จริงก็คือทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ลงใต้คมดาบเจ้า หาใช่ใช้อารมณ์เพียงชั่วครู่ทำตัวเป็นวีรบุรุษ ทำลายสถานการณ์โดยรวม เจ้าคิดว่าอย่างไร”
นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ เหล่าแม่ทัพทั้งหลายไม่มีใครไม่ยอมสยบ
นางยังไม่มีผลงานการศึก อาศัยแค่คำพูดอย่างเดียวก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจและสติปัญญา พวกเขาในยามนี้รู้สึกมั่นใจกับการศึกขึ้นมาบ้าง
แม่ทัพผู้นั้นประสานมือ เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นอีกสามวันข้ารอคำสั่งของแม่นางเยี่ยเม่ย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “เชิญทุกท่าน”
“เชิญ” แม่ทัพทั้งหลายประสานมือ ท่าทีของคนทั้งหมดเปลี่ยนไปมาก ต่อให้คนที่ยังไม่เชื่อนางอย่างสนิทใจ อย่างน้อยใบหน้าก็ไม่เหลือแววประชดประชันอีก
คนทั้งหมดจากไป เยี่ยเม่ยดูแผนที่เสร็จแล้ว กำลังลุกขึ้น
พลันมีคนผู้หนึ่ง เดินเข้าประตูมา…
[1] เสียภรรยาแล้วยังเสียไพล่พล หมายถึง คิดเอาเปรียบ แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายเสียเป็นทวีคูณ