เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 353 เมื่อคืนท่านหญิงเหยาฉือค้างแรมที่เรือนองค์ชายสี่
มู่หรงเหยาฉือฟังแล้วเกิดความขุ่นเคือง
ในใจนางคิดว่าไม่ใช่อวี้เหว่ยไม่รู้เรื่องรู้ราว คำพูดของนางก็เปิดทางถึงขั้นนี้แล้ว คิดให้วิญญูชนช่วยส่งเสริมคน อีกฝ่ายก็สมควรไสหัวไปในทันที คิดไม่ถึงว่าอวี้เหว่ยไม่ยอมจากไป
นางชักสีหน้ามองอวี้เหว่ย น้ำเสียงไม่พอใจเอ่ยว่า “หรือเจ้ากังวลว่าข้าจะทำร้ายองค์ชายสี่”
“มิกล้า!”
อวี้เหว่ยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ยามนี้เสี่ยวกวนนำคนเข้าเรือนมา
อวี้เหว่ยมองเสี่ยวกวนทีหนึ่ง ถามว่า “เสร็จภารกิจแล้วหรือ”
ภารกิจที่เสี่ยวกวนไปทำครั้งนี้คือกำจัดซือถูเฟิง เห็นท่าทางสีหน้าภูมิอกภูมิใจของเจ้านี่ ดูท่าข่าวที่ได้รับก่อนหน้าคงเป็นความจริง ซือถูเฟิงตายแล้ว
เสี่ยวกวนพยักหน้า ยักคิ้วอย่างได้ใจ “มันแน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยวกวนออกโรง มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่สำเร็จ!”
“เจ้ากลับมาพอดีเลย!” อวี้เหว่ยยืนอยู่ห่างจากฝั่งขวาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกไปไม่ไกล เขาส่งสายตามองไปทางตำแหน่งด้านซ้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากว่า “เจ้ายืนอยู่ที่นี่คุ้มกันเตี้ยนเซี่ยกับข้าแล้วกัน กันไม่ให้มีคนคิดร้าย ต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของเตี้ยนเซี่ย”
มู่หรงเหยาฉือถูกเปิดโปงความคิด สีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวไปในทันใด
เสี่ยวกวนเห็นมู่หรงเหยาฉือด้านข้างก็แปลกใจ ที่งุนงงคือไฉนสตรีนางนี้ถึงมาที่นี่ได้ ทำไมเตี้ยนเซี่ยถึงอนุญาตให้นางปรากฏกายอยู่ที่นี่ อวี้เหว่ยไม่ไล่คนก็แสดงว่านี่คือความต้องการของเตี้ยนเซี่ยแล้ว
อย่างนั้น…
ไม่ไล่คนออกไปก็ช่างเถอะ ทำไมยังต้องคอยคุ้มกันด้วยเล่า
นี่มันขัดกันมากไม่ใช่หรือ
ในใจเสี่ยวกวนเต็มไปด้วยคำถามนับไม่ถ้วน แต่เขาก็คิดเงียบๆ ได้ว่าอวี้เหว่ยเป็นคนฉลาดกว่าตัวเอง ดังนั้นฟังอวี้เหว่ยต้องไม่ผิดแน่
ดังนั้นเขาไม่พูดอะไร ก็ไปยืนตำแหน่งที่อวี้เหว่ยส่งสัญญาณให้
สองคนยืนประกบซ้ายขวาราวกับเทพเจ้าเฝ้าประตู คุ้มกันความบริสุทธิ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มีความคิดร้ายใส่ความเตี้ยนเซี่ยสำเร็จ
มู่หรงเหยาฉือสีหน้าซีดเผือด ทว่ายังกล้ำกลืนฝืนทน หัวเราะเอ่ยว่า “สองท่านคิดมากไปแล้ว ข้ามู่หรงเหยาฉือ อย่างไรก็เป็นท่านหญิงตราตั้ง ไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายอย่างที่พวกท่านคาดเดาแน่!”
อวี้เหว่ยตอบอย่างไม่ร้อนไม่หนาว “จิตใจมนุษย์ย่อมต้องระวัง ขอให้ท่านหญิงโปรดอภัยด้วย ดึกมากแล้ว เตี้ยนเซี่ยมีพวกเราสองคนคอยคุ้มครอง เชิญท่านหญิงกลับไปเถอะ อย่างไรเสียอากาศกลางคืนในฤดูหนาวก็เย็นมาก!”
ยามนี้มู่หรงเหยาฉือเข้าใจแล้ว หากคิดไล่พวกเขาสองคนไปคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…
นางก็ถอยไม่ได้เหมือนกัน
ถึงจะหนาวจริง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางต้องรอจนถึงเช้าให้ได้
ค่ำคืนนี้ไม่รู้ว่าสวรรค์จงใจกลั่นแกล้งมู่หรงเหยาฉือหรืออย่างไร ลมหนาวพัดมาระลอกแล้วระลอกเล่าทำเอานางตัวสั่นงก
ฝ่ายอวี้เหว่ยกลับเข้าไปเอาเสื้อคลุมขนเตียวออกมา คลุมให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพียงคนเดียว ไม่คิดจะดูแลมู่หรงเหยาฉือด้วยเลยสักนิด
เหตุผลนั้นง่ายมาก
เมื่อครู่สตรีนางนี้ต้องการให้เขาจากไป อวี้เหว่ยรู้ว่านางไม่มีเจตนาดี หากเขาจากไปจริงๆ นางจะทำอะไรกับเตี้ยนเซี่ยหรือใส่ความอะไรเตี้ยนเซี่ย พรุ่งนี้เช้าหัวของเขารับรองว่าได้ร่วงลงพื้นอย่างแน่นอน
มู่หรงเหยาฉือคิดทำร้ายอวี้เหว่ยผู้มีไหวพริบอันดับหนึ่งในใต้หล้าจนถึงตายชัดๆ! เขามีไหวพริบขนาดนี้ ไฉนจะตกหลุมพราง ดังนั้นจึงไม่มีเมตตาจิตต่อสตรีผู้นี้ทั้งนั้น ผู้อื่นคิดทำให้เจ้าตาย อวี้เหว่ยก็ไม่ว่างไปสนใจความเป็นตายของอีกฝ่ายเช่นกัน
มู่หรงเหยาฉือจดจำท่าทางไม่ใส่ใจความเป็นตายของอวี้เหว่ยเอาไว้ฝังใจราวให้พู่กันร่างหมึกประทับไว้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่นางจะคืนความเหน็บหนาวที่ได้รับในคืนนี้กลับไปให้เขา
คืนหนึ่งดำเนินผ่านไป
ฟ้าสางแล้ว
มู่หรงเหยาฉือหนาวแข็งจนไร้ความรู้สึก โดยเฉพาะขาของนางคล้ายกับไม่ใช่ขาตัวเองอีกต่อไป
ใบหน้านางขาวซีดขึ้นทุกที
มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ยังไม่เหมือนจะตื่นขึ้นมา นางคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็เลือกจากมา ถึงนางอยากรอจนเตี้ยนเซี่ยตื่นมากเท่าไหร่ ให้เขาเห็นว่านางเฝ้าอยู่ทั้งคืน บางทีอาจจะซึ้งใจบ้าง แต่ว่า…
มู่หรงเหยาฉือก็ตระหนักว่า หากนางยังไม่กลับไปทำตัวให้อุ่นอีก เกรงว่านางจะตายไปเสียก่อน
ตราบใดที่มีขุนเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไร้ฟืน ไม่ว่าตนเองทำอะไร ต้องมีชีวิตรอดก่อนถึงสำเร็จ
นางอ้าปากเรียกสาวใช้ “ไฉ่ซัง ประคองข้ากลับไป”
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนตลอดทั้งคืนหัวใจเบิกบานเช่นกัน คิดในใจว่าในที่สุดท่านหญิงก็คิดตกยอมกลับแล้ว ท่านไม่กลัวหนาว บ่าวเฝ้าอยู่นอกเรือนทั้งคืน จวนจะแข็งตายแล้ว
อย่างน้อยมู่หรงเหยาฉืออยู่ในเรือนยังมีประตูบังลม
สงสารตัวเองที่อยู่ด้านนอก ทนลมหนาวเย็นเยือกในเดือนเหมันต์ ความเหน็บหนาวในหัวใจนั้นมีเกินไปกว่าครึ่งแล้ว
คราวนี้ได้ยินคำสั่งของมู่หรงเหยาฉือ นางไม่พูดพร่ำทำเพลงจ้ำอ้าวเข้าเรือนมาประคองมู่หรงเหยาฉือ “ท่านหญิง ไปกันเถอะเจ้าค่ะ!”
……
สองนายบ่าวประคับประคองกันจากไป
มู่หรงเหยาฉือกลับยกยิ้มมุมปาก ถึงนางไม่ทันรอให้เตี้ยนเซี่ยตื่นนอน แต่ว่าเป้าหมายที่อยู่ในเรือนมาตลอดทั้งคืนก็บรรลุผลแล้ว ขอเพียงเป้าหมายของนางแพร่ออกไป…
คิดถึงตรงนี้ นางอารมณ์ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เห็นพวกนางเดินจากไปไกล
เสี่ยวกวนอดไม่ไหวถามอวี้เหว่ย ว่า “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อวี้เหว่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เสี่ยวกวนฟัง สุดท้ายก็สรุปให้ประโยคหนึ่งว่า “ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย เตี้ยนเซี่ยเป็นคนที่นางเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ได้หรือ ยังคิดทำร้ายผู้มีไหวพริบเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้าอย่างข้าอีก ฝันไปเถอะ!”
อวี้เหว่ยเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น แสดงออกว่าตัวเองจดบัญชีที่มู่หรงเหยาฉือคิดทำร้ายเขาเพราะความเห็นแก่ตัวของนางเอาไว้ในใจแล้ว
เสี่ยวกวนกลับขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “แต่ว่าเจ้าก็บอกแล้วนิว่า เตี้ยนเซี่ยเป็นอย่างนี้เพราะแม่นางเยี่ยเม่ย พวกเขาคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ทำไมเจ้าไม่ให้โอกาสมู่หรงเหยาฉือบ้าง ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร นางก็เป็นอัจฉริยะหญิงแห่งเป่ยเฉิน!”
อวี้เหว่ยปรายตามองเสี่ยวกวน “อย่างนั้นก็ได้ เจ้าไปตามนางกลับมา ให้นางปรนนิบัติ เตี้ยนเซี่ยอย่างใกล้ชิด รอเตี้ยนเซี่ยตื่นขึ้นมาเช้านี้ ข้าจะบอกว่าทุกอย่างเป็นความคิดของเจ้า!”
เสี่ยวกวนรีบกระเด้งขึ้นมาทันที “ข้าไม่ได้เสนออะไรทั้งนั้นนะ ขอตัวก่อน!”
……
ในห้องเยี่ยเม่ย
นางเพิ่งตื่นนอน ในขณะที่กำลังแต่งตัว หูก็ได้ยินสาวใช้ด้านนอกกำลังซุบซิบกัน
สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าได้ยินหรือยัง เมื่อคืนนี้ท่านหญิงเหยาฉือค้างแรมในเรือนองค์ชายสี่!”
เยี่ยเม่ยมือสั่น พลันรู้สึกเหมือนว่าหัวใจถูกอะไรบางอย่างกดทับ
“คนอย่างท่านหญิงเหยาฉือ แม้แต่สตรีอย่างข้ายังหวั่นไหวเลย นับประสาอะไรกับองค์ชายสี่ที่เป็นบุรุษเลือดลมร้อนแรง!”