เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 345 แต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นแม่ทัพใหญ่
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองมาเพื่อให้ตัวละครครบเท่านั้นใช่หรือเปล่า
เขาพูดมาประโยคหนึ่ง ก็ถูกจงซานย้อนกลับ ไม่เปิดโอกาสให้เขาแทรกเลยสักนิด ฮ่องเต้กับจงซานพูดไป เรื่องราวก็ถูกกำหนดแล้ว
เขาพลันไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้เสด็จพ่อยังเรียกเขามาทำไมอีก
หรือเพราะเขายังเยาว์วัย ไม่โตพอในสายตาทุกคนจริงๆ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นอย่างนั้นหรือ
ไม่รู้เพราะความไม่พอใจในตัวพวกเยี่ยเม่ย หรือว่าความขุ่นเคืองของตนในยามนี้ เขาก็อดไม่ไหวเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เยี่ยเม่ยมีที่มาไม่ชัดเจน ฐานะของนางจะทำให้ขุนนางในราชสำนักไม่เชื่อถือ ลูกคิดว่าเรื่องนี้เสด็จพ่อสมควรใคร่ครวญก่อน!”
เมื่อเขาเอ่ย ฮ่องเต้ก็ลังเลอีกครั้ง
จงซานกลับรีบเอ่ยปาก “องค์ชายใหญ่คิดมากไปแล้ว นับตั้งแต่รายงานสถานการณ์ศึกมา แม่ทัพทั้งหลายในเมืองหลวง ในตอนแรกต่างก็สงสัยในความสามารถของเยี่ยเม่ย ภายหลังเปลี่ยนเป็นไม่อยากเชื่อถือ จนถึงยามนี้เป็นเลื่อมใส คนทั้งหมดต่างคิดว่าหากพวกเขาปกป้องอยู่ชายแดน ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีเท่าเยี่ยเม่ย ดังนั้นบรรดาแม่ทัพต้องไม่มีความเห็นเป็นอื่นแน่นอน!”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ จงซานก็กล่าวต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาขุนนางบุ๋นทั้งหลาย ท่านก็เข้าใจ พวกเขาขอแค่ชายแดนสงบ เสพสุขบนความร่ำรวยมั่งคั่งของตนก็พอแล้ว หากจะมีใครสักคนที่ออกมาคัดค้าน กระหม่อมคิดว่าสมควรเป็นท่านเสนาบดีเป็นผู้นำคนคัดค้านแล้ว ส่วนทำไมเขาถึงคัดค้าน เชื่อว่าฝ่าบาทน่าจะเข้าใจ!”
จงซานใช้ไหวพริบโยนความเป็นไปได้ที่เหล่าขุนนางจะคัดค้านทั้งหมดไปไว้ที่ซือถูจ้าว
อย่างไรเสียซือถูจ้าวเพิ่งสูญเสียบุตรชายและบุตรสาวไป อีกอย่างทั้งหมดยังเกี่ยวข้องกับเยี่ยเม่ย ในเวลานี้ซือถูจ้าวต้องออกมาทุ่มเทแรงทั้งหมดเพื่อขัดขวาง ส่วนที่ว่าทำไมถึงขัดขวางนั้น…
จงซานไม่เอ่ยชัดเจน ฮ่องเต้ก็ตระหนักได้
เพราะอะไรถึงขัดขวางหรือ
ย่อมไม่ใช่เพราะเรื่องชาติบ้านเมือง แต่เป็นเพราะเรื่องส่วนตัว
เป่ยเฉินเสียงยืนฟังคำพูดของจงซานอยู่ด้านข้าง ยามนี้รู้สึกว่าจงซานเป็นขุนนางเฒ่าเจ้าเล่ห์นัก คนในราชสำนักที่ไม่เห็นด้วยให้เยี่ยเม่ยเป็นขุนนาง ไม่มีทางมีแค่เสนาบดีคนเดียว เขาเชื่อว่าต้องมีคนจำนวนไม่น้อยไม่พอใจที่สตรีอย่างเยี่ยเม่ยเป็นขุนนางแน่
แต่คำพูดไม่กี่ประโยคของจงซาน ทำให้การคัดค้านทั้งหมดไปตกอยู่ที่เสนาบดีคนเดียว ทำให้รู้สึกเหมือนว่าต่อให้มีคนคิดคัดค้าน ก็ต้องเป็นเสนาบดีที่ก่อเรื่อง
นี่ยังไม่ทำให้เสด็จพ่อหลงคิดว่าในใจทุกคนต่างก็เห็นด้วย เว้นแต่ขัดผลประโยชน์ส่วนตัวของเสนาบดีคนเดียวหรอกหรือ
เป็นดังคาด
ฮ่องเต้ฟังแล้วสีพระพักตร์ขรึมลง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ารู้ว่าเสนาบดีไม่มีทางเห็นด้วยแน่ ดังนั้นข้าจึงตามตัวพวกเจ้าสองคนมา! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ ข้าไม่มีทางเห็นแก่บุญคุณความแค้นส่วนตัวของเสนาบดีจนไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของบ้านเมืองได้! ถ่ายทอดคำสั่งไป แต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นแม่ทัพใหญ่”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จงซานและเป่ยเฉินเสียงออกจากห้องทรงพระอักษรพร้อมกัน
เป่ยเฉินเสียงมองจงซานด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร เอ่ยปากว่า “ใต้เท้าจงช่างมีวาทศิลป์เป็นเลิศ เอ่ยวาจาไม่กี่คำ เสด็จพ่อก็ทรงเชื่อท่านแล้ว อีกทั้งยังคงคิดว่าคนที่คัดค้านทั้งหมดล้วนเป็นเพราะบุญคุณความแค้นส่วนตัวของเสนาบดี หึหึ ราชสำนักเป่ยเฉินของเรามีคนเช่นท่าน ช่างเป็นเคราะห์ของบ้านเมืองแท้ๆ!”
จงซานหันมองเป่ยเฉินเสียงคราหนึ่ง ย้อนกลับว่า “เช่นนั้นองค์ชายใหญ่คิดว่า คำพูดของกระหม่อมเมื่อครู่มีปัญหา ไฉนไม่บอกกับฝ่าบาทตามตรง”
เป่ยเฉินเสียงพลันสะอึกไป
คิดว่าเขาไม่อยากบอกหรืออย่างไร
แต่เขาเข้าใจเสด็จพ่อเหลือเกิน ในเวลานี้เสด็จพ่อยังไม่มั่นใจในความสามารถของเขา ทั้งไม่เชื่อคำวิเคราะห์ของเขา หากเขาบอกกับเสด็จพ่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าเสด็จพ่อยังจะต่อว่าเขาเป็นคนใจคอคับแคบอีกด้วย
อีกทั้งอาศัยวาทศิลป์ของจงซานจะทำให้เสด็จพ่อเข้าใจว่า เพราะเขาถูกจงรั่วปิงยกเลิกการแต่งงาน ดังนั้นผูกใจเจ็บแค้น ด้วยเหตุนี้จงใจเอ่ยคำพูดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจงซาน
สุดท้ายเขาก็จะเป็นแบบซือถูจ้าวพ่อตาของตน ถูกเสด็จพ่อเห็นว่าเป็นคนไม่สนใจผลประโยชน์บ้านเมือง ทำไปเพราะความแค้นส่วนตัว
เห็นเป่ยเฉินเสียงไม่ตอบ
จงซานเอ่ยต่อ “ต่อให้คำพูดขององค์ชายใหญ่ถูกต้อง แต่เมื่อครู่กระหม่อมทูลฝ่าบาทว่าคนที่คัดค้านต้องเป็นคนของเสนาบดีอย่างแน่นอนหรือไม่ กระหม่อมเพียงเอ่ยว่า คนของเสนาบดีต้องคัดค้านอย่างแน่นอนเท่านั้นเอง!”
เป่ยเฉินเสียงพลันชะงักไปอีกครั้ง
ก็ถูก จงซานไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ออกมาตรงๆ เพียงแต่ในคำพูดของจงซานชี้นำให้เสด็จพ่อคิดไปทางนั้น
หลังจากเอ่ยมาถึงตรงนี้
จงซานเปลี่ยนมาใช้ท่าทีอ่อนลง เอ่ยกับเป่ยเฉินเสียง “องค์ชายใหญ่ เชื่อว่าท่านสมควรมองออก ฝ่าบาททรงเชื่อกระหม่อม ฝ่าบาทหวังว่ากระหม่อมจะสนับสนุนท่าน กระหม่อมก็รับปากไปแล้ว ดังนั้นหวังว่าภายหน้า องค์ชายใหญ่จะพยายามเดินร่วมทางกับกระหม่อม อย่าทำให้กระหม่อมลำบากก็พอแล้ว!”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียงก็อึ้งไป “เสด็จพ่อต้องการให้ท่านช่วยเหลือข้า”
“ถูกแล้ว!” จงซานพยักหน้า
จากนั้นจงซานยังรีบเสริมต่ออีกว่า “เชื่อว่า องค์ชายใหญ่สมควรเข้าใจ คำพูดเมื่อครู่ของกระหม่อมอาจจะเกินไปเสียหน่อย แต่ว่าการไม่ใช้งานเยี่ยเม่ย ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างแน่นอน การวิเคราะห์ของกระหม่อมทุกคำล้วนเป็นความจริง ฝ่าบาทก็มิใช่กษัตริย์เลอะเลือน มิฉะนั้นพระองค์ก็คงไม่เชื่อคำพูดของกระหม่อม องค์ชายใหญ่ท่านคิดว่าอย่างไร”
“นี่…” เป่ยเฉินเสียงอึ้งไป
เขาหวนคิดถึงการวิเคราะห์ของจงซานเมื่อครู่ ถึงเขาคิดว่าจงซานพูดเกินเหตุไปบ้าง แต่ต้องบอกว่า หากไม่ใช้งานเยี่ยเม่ย แล้วอีกฝ่ายหันไปพึ่งพาต้ามั่ว เรื่องราวจะยุ่งยากขึ้นมากจริงๆ
ในที่สุดเขาก็อดเอ่ยปากออกมาไม่ได้ว่า “ที่ท่านพูดก็ถูก!”
จงซานเอ่ยต่ออีกว่า “อีกอย่าง ความแค้นระหว่างท่านกับเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ ฝ่าบาททรงรับรู้ชัดเจน หากกระหม่อมเป็นท่าน ในเวลานี้กระหม่อมจะยิ่งไม่ขัดขวาง ซ้ำยังสนับสนุนให้ฝ่าบาทพระราชทานรางวัลให้นางด้วย หากทำเช่นนี้เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าฝ่าบาท ทำให้พระองค์เข้าใจว่าท่านเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ ต่อให้มีความแค้นส่วนตัวกับผู้อื่นก็ไม่มีทางดึงมาเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง ฝ่าบาทถึงจะยิ่งเห็นความสำคัญของท่าน ท่านว่ากระหม่อมพูดถูกหรือไม่”
“นี่…” เป่ยเฉินเสียงฟังแล้ว ชั่วขณะนี้ยังคิดว่าคำพูดของจงซานนับว่ามีเหตุผล
จงซานกล่าวมาถึงยามนี้ ก็ฉวยโอกาสตีเหล็กยามร้อนลงไปอีก “อีกอย่าง กระหม่อมมิใช่มิตรและศัตรูกับเยี่ยเม่ย แม้ว่านางมีความสัมพันธ์กับบุตรสาวอยู่บ้าง แต่ว่ากระหม่อมย่อมไม่เลอะเลือนถึงขั้นสนับสนุนสตรีที่ไม่เคยแม้แต่พบหน้าและไม่รู้จักมากก่อน อย่างไรเสียคนที่รู้จักกับบุตรสาวข้ามีตั้งมาก กระหม่อมคงมิอาจสนับสนุนพวกเขาได้ทุกคน ดังนั้นกระหม่อมมีเหตุอันใดที่ต้องช่วยเหลือนางด้วย”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ จงซานก็สรุปว่า “กระหม่อมทำเพื่อผลประโยชน์ของเป่ยเฉิน องค์ชายใหญ่เข้าใจหรือไม่”