เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 30
“นี่…” ในใจพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเกินเปรียบ
หากพานางไปที่ว่าการอำเภอจริงๆ แล้ว คุณชายเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเขายังมีทางรอดอีกหรือ
จากนั้นหันมองสายตาเยี่ยเม่ย ตระหนักได้ว่าหากพวกเขาไม่พานางไปยิ่งหมดทางรอด ได้แต่ทำหน้าเศร้า หนุมตัวนำทางไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองพวกเขาจากที่ห่างไกล ทั้งไม่เข้าใกล้ แต่เก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ในสายตา
พวกเขาเดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอ เขาก็ติดตามไป
อวี้เหว่ยเตือนจากด้านหลัง “เตี้ยนเซี่ย ท่านออกมานานขนาดนี้แล้ว เรื่องของการทหาร…ศึกกับต้ามั่วนี้ ท่านคือแม่ทัพใหญ่ ท่าน…ติดตามแม่นางผู้นั้นมาตลอด ไม่ช้าจะถูกคนตำหนิว่าเห็นแก่หญิงงามละเลยการงาน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ตวัดสายตากลับมอง
เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ข้าไม่อยู่ในเมือง ฝูงมังกรผู้นำ พวกเขาก็ไม่กล้าเปิดศึกโดยพลการ เช่นนี้คือความสงบของประชาราษฎร ไม่ทำให้เกิดสงคราม ดูสิว่าข้าลำบากลำบนเพียงไหน หากพวกเขาบิดเบือน กล่าวหาว่าเยี่ยนเห็นแก่สตรี ละทิ้งหน้าที่ เยี่ยนก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ยอมรับความอยุติธรรมนี้ไว้แล้ว!”
อวี้เหว่ย “…” กล้ำกลืนฝืนทน?
ความอยุติธรรม?!
นี่มันคือเรื่องจริงเถิด?! ท่านเปลี่ยนไปรักความสงบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไฉนข้าน้อยถึงไม่รู้เลยสักนิดเดียว? แต่ไหนแต่ไรท่านกลัวแต่จะไม่วุ่นวายไม่ใช่หรือไง ชอบก่อเรื่องไปทั่วมิใช่หรือ
จากนั้นในใจเขายิ่งหมดคำพูดไปอีก ได้แต่มองเจ้านายตัวเอง ‘ไม่สนใจงานหลวง’ คอย‘ลุ่มหลงคนงาม’ติดตามหลังเยี่ยเม่ยไป
อวี้เหว่ยเหยียดมุมปาก ติดตามฝีเท้าเตี้ยนเซี่ยตนไป
……
เมื่อถึงหน้าประตูที่ว่าการอำเภอ
ปิดตูใหญ่ปิดสนิท หน้าประตูมีกลองใบหนึ่งไว้สำหรับคนร้องทุกข์
เยี่ยเม่ยปรายตามองกลองใบนั้น จากนั้นมองประตูปิดสนิทแน่นนั้นอีกครั้ง หัวเราะเสียงเย็น กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ประตูที่ว่าการอำเภอปิด เห็นได้ว่าขุนนางผู้นี้ละเลยหน้าที่เพียงใด อบรมบุตรชายเดียรัจฉานออกมาตัวหนึ่งได้ก็ไม่แปลก
นางยกเท้าขึ้น ถีบประตูอย่างแรง
“โครม!” เสียงดังขึ้น
ประตูแตกเป็นรูใหญ่ เพราะว่าถูกถีบ ไม้แตกเกิดเป็นรูใหญ่ขนาดมากพอให้คนลอดข้ามไปได้คนหนึ่ง
ชาวบ้านที่ผ่านมาบนถนนได้ยินเสียง หันมาชมดู ล้วนตกตะลึง!
ทุกคนเห็นเยี่ยเม่ยถีบประตูเปิดออกอย่างแรง มองแผ่นหลังที่เดินเข้ามุ่งเข้าไป ต่างก็กลืนน้ำลายเฮือก
พวกเขาพบเรื่องอะไรแล้ว
ประตูที่ว่าการอำเภอถูกเหยียบเละ มีคนมาหาเรื่องถึงที่?
เยี่ยเม่ยรับรู้ถึงสายตาแตกตื่นด้านหลังตน อย่างไรก็มาหาเรื่องที่ว่าการอำเภอ ในสถานการณ์ปกติต่อให้คิดฆ่านายอำเภอ ก็สมควรปีนข้ามกำแพง ทว่านางดันไม่ทำ เดินเข้าประตูใหญ่มาหาเรื่อง!
นางต้องการก่อเรื่องใหญ่โต ให้ทุกคนได้เห็นว่าเดียรัจฉานมีจุดจบอย่างไร!
เหล่ามือปราบภายในเห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็ตกตะลึง
ไม่ช้าก็กำไม้กระบองในมือ วิ่งเข้าไปล้อมเยี่ยเม่ยไว้
หัวหน้ามองเยี่ยเม่ย “เจ้าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าบุกรุกที่ว่าการอำเภอ? เจ้าไม่มีอยากมีชีวิตอยู่แล้ว?”
ระหว่างที่เขาเอ่ยนั้น นายอำเภอก็วิ่งผ่านประตูออกมา เขาเป็นบุรุษวัยกลางคน ร่างกายสมบูรณ์พูนสุข ใบหน้ายังมีเนื้อแน่นเหมือนกินเนื้อดื่มสุรามากเกินไป สีหน้าหมองคล้ำเหมือนเสพสมจนเกินเหตุ แต่ไม่อาจบดบังความถือดีของขุนนางเอาไว้ได้
เขามองเยี่ยเม่ย “หญิงโฉด! เจ้า…”
ยังไม่ทันที่เขาเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยพลิ้วร่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้า นายอำเภอยังไม่ทันเอ่ยอะไร ก็ถูกนางถีบลงพื้น!
เหล่ามือปราบเห็นภาพนี้ รีบวิ่งเข้ามาช่วย
เยี่ยเม่ยเงยหน้า คลี่พัดในมือออก พัดหมุนควงอยู่กลางอากาศ เข้าจู่โจมเหล่ามือปราบอย่างแม่นยำ ล้มกองอยู่บนพื้น!
พัดหมุนกลับมาถึงมือ เยี่ยเม่ยคร้านมองพวกเขาสักน้อย
นางเหยียบลงไปที่แผ่นหลังของนายอำเภออีกครั้งอย่างแรงจนนายอำเภอสำรอกเลือดออกมาคำหนึ่ง เสียงเย็นชากล่าวว่า “ข้าเป็นคนมีเหตุผล สง่างามสงบเสงี่ยม รูปงามเป็นมิตร คำว่าหญิงโฉดนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับข้า เจ้าว่าอย่างไร”
เดิมทีนายอำเภอถูกนางเหยียบจนกระอักเลือดอกมาคำหนึ่งแล้ว ยิ่งได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้อีก โมโหจนกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง
สตรีผู้นี้มาถึงก็เหยียบตนติดพื้น ทำเอาตนเองกระอักเลือดออกมา นางยังมีหน้าบอกว่าตนเป็นมิตรสงบเสงี่ยมอีกหรือ
“พวกเจ้า…” นายอำเภอเงยหน้าจากพื้นอย่างยากลำบาก มองบรรดาคนใต้บัญชาของตน
พบว่าเหล่ามือปราบที่มีแรงต่อสู้ทั้งหลายล้มกองอยู่บนพื้น กุมส่วนที่บาดเจ็บของตน ส่งเสียงร้องโอดโอยครวญคราง
นี่ทำให้เขาใจเต้นตึกตัก หันมองประตูที่ว่าการอำเภอของตน
ถัดมามองเห็นเหล่าชาวบ้านยืนอยู่ด้านนอก มีทั้งอยู่ในความแปลกใจ ตื่นตระหนก หวาดกลัวและซุบซิบ ชมดูตนถูกเหยียบผ่านช่องที่ประตู
ดูท่าภาพลักษณ์สูงส่งในยามปกติของตนถูกกำราบลงเช่นนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้า แค่คืนนี้เขาคงกลายเป็นตัวตลกไปทั่วเมืองแล้ว จิตใจของนายอำเภอแตกสลาย “อึก!” กระอักเลือดออกมาอีกคำแล้ว!
เขาเพิ่งกระอักเลือดออกมา เยี่ยเม่ยก้มหน้ามอง
เสียงเย็นชาถาม “กระอักเลือดออกมามากขนาดนี้คิดขอความเห็นใจอย่างนั้นหรือ”
นายอำเภอ “…” เขารู้สึกว่าตนกำลังจะกระอักเลือดออกมาอีก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ว่าเรียกร้องความเห็นใจ เขาฝืนกลั้นเอาไว้! หางตาเหลือบไปมองเหล่าสมุนที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู ไม่รู้จะทำอย่างไร หรี่ตามองมาทางประตู
เขาเข้าใจทันทีว่า ตวาดถามด้วยความโมโห “พวกเจ้าพานางมาหรือ”
พวกลูกสมุนเหล่านั้นเวลานี้ตกใจจนแทบร้องไห้ คิดโต้แย้งแต่ก็ไม่กล้า มองหน้ากันไม่ส่งเสียง สายตาไม่กล้ามองนายอำเภออีก…
นายอำเภอเมื่อเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่า ตนเดาถูกแล้ว สีหน้าเขียวคล้ำ
นางคร้านใส่ใจพวกเขา กวาดสายตาเย็น ถามเสียงนิ่งว่า “ลูกชายเจ้าเล่า”
นายอำเภอใจเต้นกระตุก มองนาง “เจ้าถามหาลูกชายข้า แค่ก ถามหาลูกชายข้าทำไม”
เวลานี้เขาไม่กล้าวางท่าขุนนางอีกแล้ว เพราะเขาตระหนักแล้วต่อหน้าสตรีผู้นี้ ตำแหน่งขุนนางของเขาช่วยอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่กล้าบุกเข้าประตูมา ทำร้ายมือปราบจนกลายเป็นเช่นนี้
เขาเอ่ยคำถามออกไป กลับถูกเยี่ยเม่ยมองตอบด้วยสายตาคาดเค้น
ถามด้วยเสียงเย็นชา “เรื่องที่ลูกชายเจ้าทำอยู่ข้างนอกพวกนั้น เจ้ารู้หรือไม่”
เมื่อนายอำเภอได้ฟังคำถาม รีบรั้งสายตากลับมาทันที ไม่กล้ามองตาเยี่ยเม่ยอีก … “ข้าไม่รู้เจ้ากำลังพูดอะไร ลูกชายข้าเป็นอะไร เขาทำอะไร”
เยี่ยเม่ยมองเขาสักพัก มองเสียนายอำเภอเสียวสันหลังวาบ สีหน้ายิ่งซีดเซียว
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงนิ่ง “ดูท่าทางเจ้าแล้วคงจะรู้เรื่องแล้วสิ! รู้ว่าลูกชายเจ้าอยู่ข้างนอกกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน รู้ว่าแม้แต่เด็กน้อยเขายังไม่ละเว้น รู้การกระทำเยี่ยงเดียรัจฉานของเขา ส่วนคนเป็นพ่ออย่างเจ้า นอกจากไม่ยับยั้ง แล้วยังอาศัยตำแหน่งขุนนางปกป้องเขา เป็นอย่างนี้ใช่ไหม”
เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา ชาวบ้านที่ชมความสนุกอยู่ข้างนอกอยู่นาน พลันใจสั่นกระตุก
แม่นางผู้นี้เอ่ยถูกแล้ว! ครอบครัวนายอำเภอเป็นเช่นนี้จริงๆ บุตรชายเขาทำร้ายบุรุษข่มเหงสตรีหาใช่เรื่องวันสองวันนี้ นายอำเภอปกป้องมาตลอด เมื่อคิดได้เช่นนี้สายตาชาวบ้านที่มองนายอำเภอเริ่มมีโทสะ
นายอำเภอหน้าแดงก่ำ กัดฟันเถียง “เหลวไหล! ข้าเป็นขุนนางมือสะอาด ข้า…”
เยี่ยเม่ยเหยียบบ่าเขา “กึก” เสียงดังขึ้น กระดูกบ่าของนายอำเภอหัก
เขาส่งเสียงร้องน่าอนาถคล้ายหมูถูกเชือด “อ๊าก…”
เยี่ยเม่ยมองเขานิ่งๆ เอ่ยเสียงเย็นชา “พูดความจริง! ข้าไม่อยากเหยียบเจ้าจนตาย นี่ออกจะหยาบช้าเกินไป ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของข้า!”