เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 273 รวมกลุ่มชมศึกใหญ่!
เหล่าทหารทั้งหลายรีบถอยร่นไปอยู่ในบริเวณที่คิดว่าไม่เป็นอันตราย
ความจริงพวกเขาก็ยืนห่างออกมามากแล้ว ในใจหวังว่าตนจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย แต่ว่า…คิดถึงวรยุทธ์ของเตี้ยนเซี่ย รวมถึงชื่อเสียงของกูเยว่อู๋เหิน พวกเขาไม่รู้ชัดว่าสุดท้ายสถานที่ที่พวกเขาอยู่ จะปลอดภัยจริงหรือปลอดภัยหลอกกันแน่
อวี้เหว่ยและเหวยซื่อต่างถอยออกไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ
ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาทั้งสองคนนับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว แต่ว่าต่อหน้าองค์ชายสี่กับประมุขกูเยว่ผู้เป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุคก็ถือว่าไม่เพียงพอ อีกประเดี๋ยวหากถูกตีจนปลิวกระเด็นคงจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย!
หลังจากคนทั้งหมดร่นถอยหลังไป
ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างเหลือเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและกูเยว่อู๋เหิน
กูเยว่อู๋เหินพลิกกายลงจากม้า
เมื่อเขาลงจากม้า ในยามนี้ยอดอาชาก็วิ่งทิ้งระยะห่างจากไปไกลด้วยตนเองอย่างชาญฉลาด
ต่อมา
กระบวนท่ากระบี่ของกูเยว่อู๋เหินพุ่งเข้าโจมตีเป่ยเฉินเสียเยี่ยน!
คนที่ยิ่งเฉยชา หากให้ความใส่ใจคนใดคนหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วจะยิ่งดื้อดึง
กระบวนท่ากระบี่ในมือเขาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ไม่ยั้งมือไว้ไมตรีเลยสักนิด มิได้หมายจะประลองเพื่อหยั่งเชิง เป้าหมายชัดเจนคือต้องการฆ่าบุคคลเบื้องหน้า
เหวยซื่อชมอยู่ด้านข้างพลันรู้สึกแตกตื่น ดูท่านายท่านไม่เพียงแค่จริงจังกับแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว ซ้ำยังจริงจังเป็นอย่างยิ่งด้วย!
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นท่าทางเต็มไปด้วยจิตสังหารเข้มข้นของกูเยว่อู๋เหิน มุมปากยกยิ้มบางอย่างสง่างาม คล้ายกับเขายินดีเหลือเกินที่ได้เห็นภาพนี้
กระบี่ที่ก่อเกิดจากแสงมารในมือเปล่งประกายวาบในพริบตา แสงมารแรงกล้าทำเอาคนไม่อาจเปิดตาได้
อีกทั้งไอสังหารยังรุนแรงกว่ากูเยว่อู๋เหินอีกด้วย
ไม่ว่าอย่างไรเขาคือคู่หมั้นที่ถูกต้องตามประเพณีของเยี่ยเม่ย คนที่ต้องโกรธยิ่งกว่าสมควรเป็นเขา!
ลำแสงมารสีแดงจวนเจียนจะปะทะกับปราณกระบี่สีเขียว การต่อสู้ระหว่างสุดยอดฝีมือแห่งยุค ทำเอาคนทั้งหลายรู้สึกตาลาย พลังปราณเปล่งแสงแยงตา ทำให้พวกเขาลืมตาไม่ขึ้น
ครั้งก่อน เตี้ยนเซี่ยปะทะกับจิ่วหุนยังไม่มีสภาพเช่นนี้เลย
เมื่อกระบี่สองเล่มปะทะกัน
คนทั้งสองต่างล่วงรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ถัดมาพวกเขาต่างเห็นแววชื่นชมในดวงตาของอีกฝ่าย รวมถึงประกายความจริงจัง
ความชื่นชมคือ ความชื่นชมที่มีต่อยอดฝีมือ
แต่ว่าจริงจัง…
ย่อมเกิดความเข้าใจว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้ามีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าตนเลย ดังนั้นจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
หลังจากการโจมตีนี้ผ่านไป ฝุ่นทรายกระจายคลุ้งฟ้า ลำแสงกระบี่คุกคามคน
ถัดมา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มสง่างาม แสงมารในมือสว่างโรจน์ ชิงโจมตีกูเยว่อู๋เหินที่อยู่เบื้องหน้า!
กูเยว่อู๋เหินรีบรั้งกระบี่ยาวในมือกลับมารับมือคนที่อยู่ตรงหน้า
……
พวกเขาทั้งสองต่อสู้กันสร้างความสะท้านสะเทือนขนาดนี้ ข่าวย่อมแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
เป่ยเฉินอี้เห็นชิงเกอเข้าห้องมาอย่างลุกลี้ลุกลน สีหน้าไม่รู้เรียกว่าตื่นเต้นหรือว่าสับสน เมื่อเดินเข้ามาก็เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง กูเยว่อู๋เหินมาแล้ว บอกว่ามาตามหาคู่หมั้น ตอนนี้กำลังต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน!”
“อ้อ?” เป่ยเฉินอี้เลิกคิ้ว น้ำเสียงนิ่งดังเคย ในฐานะปราชญ์อันดับหนึ่งผู้เข้าใจจิตใจคนเป็นอย่างดี เขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด
คนที่นิสัยเฉยชาอย่างกูเยว่อู๋เหินมอบขลุ่ยหยกโลหิตให้เยี่ยเม่ย นั่นหมายความว่าเขาไม่มีทางรามือจากเยี่ยเม่ย ง่ายๆ แน่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีนิสัยอย่างไร เป่ยเฉินอี้ยิ่งเข้าใจดีไปกันใหญ่ พวกลัทธิทำลายล้าง ของที่เขาจ้องไว้ ยิ่งไม่มีทางปล่อยมือ
เมื่อสองคนพบหน้าหรือว่าปะทะกัน ความจริงก็เป็นเพียงเรื่องช้าเร็วเท่านั้น
เป่ยเฉินอี้นอนป่วยบนเตียงหลายวันเพราะต้องไอเย็น ยามนี้เขาลุกขึ้น มองชิงเกอด้านข้าง สั่งเสียงขรึมว่า “ตามข้าไปดูกัน!”
“ขอรับ!” ชิงเกอพยักหน้า
ความจริงในใจรู้สึกว่า ศึกใหญ่นี้หากไม่ไปชมต้องน่าเสียดายมาก
หลังจากเป่ยเฉินอี้ลุกขึ้น ชิงเกอก็รีบห่อผ้าคลุมให้เขา ติดตามเป่ยเฉินอี้ออกไป
……
อีกด้านหนึ่ง
เยี่ยเม่ยออกจากชายแดนเป็นวันที่สอง จิ่วหุนก็ลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว ภายใต้การบำรุงอย่างตั้งใจของ ซือหม่าหรุ่ย ร่างกายที่บอบช้ำของเขาแทบหายดี
เพื่อทำให้พละกำลังของเขาฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว สองวันนี้เขาล้วนฝึกกระบี่ หวังว่าตัวเองจะหายโดยไว ไปช่วยเหลือเยี่ยเม่ยได้ทันที
ในเวลานี้เอง
เขามองเห็นแสงสว่างมาจากนอกเมือง เขารับรู้ได้ในทันทีว่ามีสุดยอดฝีมือแห่งยุคกำลังประลองกันในบริเวณใกล้ๆ
คนที่มีความสามารถระดับนี้ในใต้หล้า ใช้นิ้วก็นับจำนวนได้หมด
ไม่ใช่เขา เป่ยเฉินอี้ก็นอนป่วยบนเตียง ที่ชายแดนนี้เหลือเพียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วยังมีใครอีก
เขาหาใช่คนที่กระเ**้ยนกระหือรืออยากรู้ ทั้งไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น
เขารั้งสายตากลับมา เดิมตั้งใจฝึกกระบี่ต่อ
ทว่าไม่ช้า ในสมองพลันคิดถึงภาพวันที่เยี่ยเม่ยเดินออกจากห้องเขาไป ที่เอวนางคล้ายมีขลุ่ยหยกโลหิตเล่มหนึ่ง
ขลุ่ยหยกโลหิต…
สายตาจิ่วหุนเปลี่ยนไปลุ่มลึกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม เดิมออกไปทางกำแพงเมือง
หลังจากฝีเท้าของจิ่วหุนมุ่งไป ไม่ช้าก็พบซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนในระหว่างทาง ฝีเท้าคนทั้งคู่เร่งร้อนเช่นกัน
คนทั้งสองกำลังปรึกษากันอยู่ระหว่างทางคล้ายกับว่าพวกนางไม่ทันเห็นจิ่วหุนที่อยู่ด้านหลังตน
ผู้ที่เอ่ยปากก่อนคือซือหม่าหรุ่ย “ได้ยินว่าน้องบุญธรรมของเจ้ามาแล้ว ตอนนี้กำลังต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเรารีบไปดูกันเถอะ อย่าได้เกิดเรื่องเป็นอันขาดเชียว !”
“นี่! เจ้าเด็กนี่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องทนไม่ไหว แต่มาชายแดนด้วยตัวเอง ทั้งยังต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในอาณาเขตของอีกฝ่าย ทำให้ข้ากังวลจริงๆ!” ปากซินเยว่เยี่ยนบอกว่ากังวล ความจริงตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว
ไอ้หยา ดีเหลือเกิน ดียิ่งนัก
อู๋เหินใส่ใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องระหว่างเขากับเยี่ยเม่ยนับว่ามีหวังแล้วใช่หรือไม่
อย่างนั้น นางก็ไม่ต้องเอาแต่กังวลว่า หมู่ตึกกูเยว่จะขาดผู้สืบทอดแล้ว ใช่หรือเปล่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนก็ตื่นเต้น เอ่ยด้วยเสียงยินดี “แต่ว่านี่อาจเป็นเรื่องดี ข้ามีคำอธิบายกับท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกได้แล้ว!”
ซินเยว่เยี่ยนมองออกว่าสหายรักตื่นเต้นยินดี อดไม่ไหวกลอกตาใส่นาง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าในยามนี้ สมควรเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องบุญธรรมเจ้าเป็นอันดับแรก วรยุทธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ลำดับขั้นไหน พวกเราก็เห็นแล้ว!”
“ไม่เป็นไร!ไม่เป็นไร !” ซินเยว่เยี่ยนโบกมืออย่างขอไปที เอ่ยต่อด้วยความเบิกบาน “ข้ารู้ความสามารถของอู๋เหินดี ต่อให้ไม่ชนะก็ไม่ถึงตาย เพื่อภรรยา เสี่ยงเช่นนี้ถือว่าคุ้มค่า !”
ซือหม่าหรุ่ยกลอกตาใส่สหาย รู้สึกว่าสองคนนั้นเป็นพี่น้องจอมปลอม
ระหว่างพูดจา ทั้งสองก็เร่งรีบไปที่กำแพงเมือง
จิ่วหุนฟังบทสนทนาของพวกนาง สีหน้าหนักใจยิ่ง กูเยว่อู๋เหินจริงๆ! ฝีเท้าเขาก็เร่งความเร็วอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ช้าเขาก็ไปถึงกำแพงเมือง