เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 269 หากเป็นน้ำผึ้งไม่ได้ ก็สุราร้อนแรงแล้วกัน!
พูดไปแล้วเป่ยเฉินอี้ก็ชะงักเล็กน้อย จากนั่นเอ่ยต่อ “ไม่ว่าเพื่อตามหาความทรงจำที่สูญเสียไป หรือว่าไปทบทวนความแค้นฝังลึกถึงกระดูกเพื่อให้ตัดสินใจแก้แค้นอย่างแน่วแน่ ดูจากสถานการณ์ยามปกติของคน ขอเพียงอาซีมีชีวิตอยู่ มีโอกาสมากที่นางจะไปแม่น้ำหมิง…”
“ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่านส่งคนไปเฝ้าแม่น้ำหมิงไว้ตลอด” ชิงเกอรีบถาม
ความจริงเขาไม่ค่อยเข้าใจเลย เตี้ยนเซี่ยให้คนเฝ้าแม่น้ำหมิงและสถานที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้งเพื่ออะไร วันนี้เมื่อคิดแล้วก็ถูกต้อง…
หากองค์หญิงซียังมีชีวิตอยู่ วังหลวงและแม่น้ำหมิงเป็นสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์อันเลวร้าย ดูจากคนทั่วไป นางน่าจะไปที่นั่นเพื่อรำลึกถึงความเจ็บปวด เพื่อยืนหยัดที่จะแก้แค้น หากองค์หญิงซีสูญเสียความทรงจำ มีความเป็นไปได้ที่เยี่ยเม่ยจะฟื้นความทรงจำเมื่อไปสถานที่แห่งนี้
ดังนั้น หมากตานี้ของท่านอ๋อง เดินล่วงหน้ามาไกลมากแล้ว
ยามนี้สถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้ง ท่านอ๋องพาเยี่ยเม่ยไปแล้ว หากนางคือองค์หญิงซี อย่างนั้นสถานที่ที่นางอยากไป ก็เหลือเพียงแม่น้ำหมิงเท่านั้น โดยเฉพาะนางเพิ่งไปสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้งกลับมา เวลานี้ความเจ็บปวดในใจยังไม่สงบ จึงต้องไปแม่น้ำหมิง!
เมื่อคิดเช่นนี้ ชิงเกอจึงเอ่ยว่า “ดังนั้นขอเพียงเยี่ยเม่ยปรากฏกายที่แม่น้ำหมิง ก็เท่ากับพิสูจน์ได้ว่านางอาจเป็นองค์หญิงซี! มีเพียงองค์หญิงซีเท่านั้นที่มีเหตุผลไปปรากฏกายที่แม่น้ำหมิง หากนางคือเยี่ยเม่ย ยามนี้นางไม่มีเหตุผลที่จะไปยังแม่น้ำหมิง!”
“ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้พยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย
ฝ่ายชิงเกอเอ่ยต่ออีกว่า “หรือว่าท่านพาเยี่ยเม่ยไปสถานที่สามแห่งนั้นแต่ไม่พานางไปแม่น้ำหมิง เพราะจงใจเหลือสถานที่นี้ไว้ ให้นางเดินทางไปด้วยตนเองเพื่อเผยพิรุธออกมา!”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้าชื่นชม ไม่ช้าก็สั่งเสียงนิ่งว่า “ดังนั้น สองสามวันนี้ต้องเฝ้าให้ดี หากเยี่ยเม่ยปรากฏตัวที่แม่น้ำหมิงให้รีบมารายงานข้าทันที!”
“ขอรับ!” ชิงเกอพยักหน้า รีบเอ่ยต่อว่า “ท่านอ๋องวางใจ สายลับที่จัดวางไว้ที่แม่น้ำหมิงและสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้งต่างมีภาพวาดขององค์หญิงซี ขอเพียงองค์หญิงซีหรือเยี่ยเม่ยปรากฏกาย พวกเขาจะต้องจำได้ในทันที ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงซีและเยี่ยเม่ยก็มีหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด อีกอย่างสายที่เราวางไว้มีจำนวนมาก ต่อให้มีวรยุทธ์สูงล้ำแค่ไหน มีวิชาพรางกายสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ได้ ดังนั้น…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ชิงเกอเปลี่ยนเป็นเสียงดังขึ้น “หากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเยี่ยเม่ยไม่ได้ทำเพื่อหายาให้จิ่วหุน แต่เพราะต้องการไปแม่น้ำหมิง อย่างนั้น…ขอเพียงนางปรากฏตัวที่นั่น ย่อมไม่อาจหนีพ้นหูตาพวกเราที่จัดวางไว้ได้!”
“อือ!” เป่ยเฉินอี้ตอบรับคำหนึ่ง แสดงออกว่าวางใจ
เอ่ยถึงยามนี้ ชิงเกอพลันฉุกคิดอะไรได้ “แต่ท่านอ๋อง หากเยี่ยเม่ยคือองค์หญิงซี หากนางไม่ได้ความจำเสื่อม อีกทั้งไปถึงที่ตั้งเดิมของจงเจิ้งแล้วยังไม่อาจสงบโทสะในใจได้ แต่เพราะนางควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี เพื่อกันไม่ให้ถูกจับได้ จึงไม่ไปแม่น้ำหมิงแล้ว เช่นนั้นพวกเราไม่เท่ากับจับตาดูโดยเสียเปล่าหรอกหรือ”
ชิงเกอถามออกมา เป่ยเฉินอี้ก็ตอบเสียงนิ่ง “เจ้าพูดไม่ผิด หากนางไม่ได้ความจำเสื่อม อีกทั้งยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ไปแม่น้ำหมิงได้ หมากที่ข้าวางเอาไว้ตานี้ก็เสียเปล่า แต่…ข้าเดิมพันว่านางไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึก เดิมพันว่านางต้องความจำเสื่อม! ต่อให้มีโอกาสชนะเพียงหนึ่งในหมื่น ข้าก็ไม่ยอมทิ้งโอกาส!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” ชิงเกอตอบ
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถึงแม้เฝ้าไปก็ไม่ได้อะไร แต่มีความหวังเพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดไปได้
เห็นชิงเกอเข้าใจความคิดของตน เป่ยเฉินอี้ก็หลับตาลงเตรียมพักผ่อน กำชับขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เยี่ยเม่ยมีสติปัญญาและเจ้าแผนการ สั่งการลงไป ให้ทุกคนระวังเอาไว้”
“ขอรับ!” ชิงเกอตอบรับ จากนั้นถามต่อ “ท่านอ๋อง ครั้งนี้ท่านไม่คิดออกจากเมืองไปหาเยี่ยเม่ยหรือ”
ครั้งก่อนก็ออกไปแล้ว
เป่ยเฉินอี้ปรายตามองคนสนิท แค่นเสียงเบาๆ “เจ้าคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโง่หรือไง ครั้งก่อนไม่ถูกเขาพบ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่มีประสบการณ์ต่อกรกับพวกเรามาก่อน ทำให้คนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจึงละเลยไป หากข้ายังออกจากเมืองไปได้อีกครั้งโดยไม่ถูกพบ นี่เท่ากับว่าดูถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกินไปแล้ว !”
ชิงเกอสะอึกไปเล็กน้อย เมื่อคิดก็เป็นเรื่องจริง
ครั้งก่อนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พบก็นับว่าโชคดีแล้ว หากครั้งนี้ยังไม่ถูกจับได้อีก เป็นไปได้ยากมาก
ชิงเกอพยักหน้า “อย่างนั้นก็ทำได้เพียงแค่นี้แล้ว !”
“อืม!”
……
เมืองหลวง จวนซือถู
ซือถูเฉียงนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเทียบกับความโอหังของนางในกาลก่อนแล้ว สีหน้าของนางในวันนี้มีความทุกข์ระทมยากปกปิดเพิ่มขึ้น
หน้าประตูมีคนผ่านมา
คือเหล่าสาวใช้ที่เดินไปเดินมากำลังยืนนินทาเสียงเบา
“ได้ยินว่าครั้งก่อนฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ประทานอภิเษกให้ท่านหญิงกับองค์ชายสี่ องค์ชายสี่ปฏิเสธการแต่งงานแล้ว!”
“นี่ไม่ปกติหรือไง เจ้าไม่ลองคิดดู ท่านหญิงของพวกเรามีสารรูปแบบไหน ใครจะยอมแต่งงานกับสตรีพิการ ต่อให้เป็นหลานสาวที่ฮองเฮาโปรดปรานแล้วจะทำไม พิการก็คือพิการ คนอื่นยังไม่ยินยอมแต่งเลย อย่าว่าแต่องค์ชายสี่ที่เป็นมังกรในฝูงชน!”
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องขาของท่านหญิงเลย ได้ยินว่าองค์ชายสี่เป็นคนลงมือหักด้วยตัวเอง!” สาวใช้เอ่ยไป ยังตั้งใจมองลอดผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง จงใจเอ่ยให้ซือถูเฉียงฟัง
สีหน้าขาวซีดอยู่แต่เดิมของซือถูเฉียงยิ่งซีดเซียวเข้าไปใหญ่ มือนางกำหมัดแน่นอย่างทนไม่ไหว
ในเวลานี้เอง สาวใช้ข้างกายซือถูเฉียงหมดความอดทน เดินจ้ำพรวดไปถึงหน้าต่าง ตำหนิพวกนางว่า “พวกคนชั้นต่ำอย่างพวกเจ้า วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหล ต่อให้ขาของท่านหญิงเดินเหินไม่สะดวก แต่ก็ยังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ พวกเจ้าสามารถวิจารณ์ได้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ สาวใช้ด้านนอกก็หัวเราะเสียงเย็นชามองซือถูเฉียงที่นั่งอยู่บนเตียงในห้อง “หึ คุณหนูสูงศักดิ์? ยามนี้ในจวนยังมีใครเห็นท่านหญิงเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์อยู่บ้าง นับตั้งแต่ท่านหญิงถูกถอนหมั้น แม้แต่ท่านเสนาบดียังคร้านจะเหลียวแล พูดไม่น่าฟังหน่อย ต่อให้ท่านหญิงตาย เกรงว่าคนในจวนยังคร้านจะส่งศพเลย!”
“นั่นสิ ใครใช้ให้ท่านหญิงเกิดเรื่องแล้วยังไม่พอ คุณชายใหญ่ยังพลอยถูเนรเทศไปด้วย ฮูหยินปวดใจจนล้มป่วย ในจวนนี้ฟ้าเปลี่ยนไปนานแล้ว! ไม่รู้เลยว่าฮูหยินยังมีชีวิตได้อีกกี่วัน!” สาวใช้อีกคนเอ่ยเย้ยหยัน
ยามนี้ซือถูเฉียงบันดาลโทสะ กัดฟันเอ่ยว่า “พวกเจ้ามันบ่าวสารเลว ใครอนุญาตให้แช่งมารดาข้า”
“เหอะ! ยังคิดว่าตัวเองเป็นท่านหญิงผู้สูงส่งอยู่อีก” สาวใช้สองคนประชดประชัน แล้วหมุนตัวจากไป
สาวใช้ของซือถูเฉียงโมโหจนหน้าซีด “พวกสารเลว พวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”
ซือถูเฉียงหน้าตาซีดเซียวอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาด กวักมือให้สาวใช้ของตน “เจ้ามานี่!”
สาวใช้เดินเข้าไป
ซือถูเฉียงกระซิบกระซาบ สาวใช้หน้าซีดลง “ท่านหญิง ท่านจะเอาอย่างนี้…”
“ข้าเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ถูกคนเหยียบย่ำ พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทน!” ซือถูเฉียงสีหน้าอำมหิต
ถัดมา นางกัดฟันเอ่ย “หากไม่อาจเป็นน้ำผึ้งหวานล้ำสู่ดวงใจ อย่างนั้นข้าก็จะเปลี่ยนเป็นสุราฤทธิ์ร้อนแรงในกระเพาะ จะเป็นหรือตาย ข้าก็ต้องการให้เขาจดจำข้าเอาไว้!”