เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 263 นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะเอาอย่างไรดี
ครั้นเดินออกมาจากห้อง เยี่ยเม่ยก็สัมผัสได้ว่ายังคงมีคนเฝ้าสังเกตนางมาจากรอบทิศ
เยี่ยเม่ยแววตาวาวโรจน์ กวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยปากว่า “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าเป็นคนของใคร รีบไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ไปบอกเจ้านายพวกเจ้าว่า อาศัยความสามารถเท่าแมวสามขาของพวกเจ้า ไม่มากพอมาลอบสังเกตการณ์ข้า ข้าจะนับถึงสาม หลังจากนับแล้วหากยังไม่ไป อย่าโทษที่ข้าลงมือสังหารคน!”
ยังไงเสียตอนนี้นางก็อารมณ์ไม่ดี คิดสังหารคนจริงๆ
คนที่หลบอยู่พลันมองหน้ากัน…
“หนึ่ง!” เยี่ยเม่ยเพิ่งนับได้คำเดียว
คนชุดดำที่หลบซ่อนอยู่สองคนก็ตระหนักได้ ขยับกายหลบออกไปทันที
ซือหม่าหรุ่ยที่ติดตามออกมา มุ่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าให้พวกเขาจากไปเช่นนี้ ไม่ดีเลย! จะถูกจับพิรุธเอาได้ง่ายๆ”
“ไม่เป็นไร!” เยี่ยเม่ยไม่ใส่ใจ กล่าวต่อทันทีว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ชอบให้คนแอบตามข้าอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าคนพวกนี้ต่างก็รู้ เป่ยเฉินอี้ไม่รู้สึกแปลกใจนักหรอก!”
เมื่อเยี่ยเม่ยอธิบาย ซือหม่าหรุ่ยในยามนี้ก็ไม่ท้วงอีก
ไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่อ “แต่ว่าต่อให้ดึงดูดความสงสัยของเขา ข้าในตอนนี้ก็ไม่ใส่ใจมากมายอีกแล้ว มีสถานที่หนึ่ง ข้าจำเป็นต้องไปให้ได้!”
ซือหม่าหรุ่ยขมวดคิ้ว ถามว่า “ที่ใด”
“แม่น้ำหมิง!”
เยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็สาวเท้าออกไป
ครั้นนางได้ฟังเรื่องเล่าทั้งหมดจากซือหม่าหรุ่ยก็มากพอที่ทำให้นางรู้สึกร่วมด้วย แต่ว่ายังมีความทรงจำบางส่วน ที่ยังกลับมาไม่ครบ
ดังนั้นนางจำเป็นต้องไปแม่น้ำหมิง
การไปแม่น้ำหมิง อาจทำให้นางพบความทรงจำทั้งหมด เมื่อรวมกับคำบอกเล่าของซือหม่าหรุ่ย การไปจะทำให้รับรู้เรื่องเหล่านั้นที่ซือหม่าหรุ่ยไม่รู้ได้อย่างสมบูรณ์
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยทันทีว่า “แต่แม่น้ำหมิงห่างไกลจากที่นี่มาก ต่อให้เจ้าเดินทางไวแค่ไหน ไปกลับเที่ยวหนึ่งก็ต้องใช้เวลาสามสี่วัน!”
“ข้ารู้” เยี่ยเม่ยก้าวเดินออกไปโดยไม่ลังเล พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หันกลับไปมองซือหม่าหรุ่ย “หากคนอื่นถาม เจ้าก็บอกว่า เพื่อกำจัดพิษในร่างกายจิ่วหุนให้ราบคาบ จำเป็นต้องใช้ตัวยาหลายชนิด ข้ารู้เบาะแสของยาชนิดหนึ่ง จึงออกไปหาแล้ว!”
“ได้!”
เมื่อเห็นนางยืนหยัดขนาดนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็เข้าใจ เยี่ยเม่ยจำเป็นต้องไปแม่น้ำหมิงในยามนี้ ดังนั้นในฐานะสหายสนิท สิ่งที่นางทำได้ นอกจากช่วยเยี่ยเม่ยปิดบังแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
“ระหว่างทางระวังด้วย บางทีเป่ยเฉินอี้อาจยังส่งคนไปจับตาดูเจ้าไว้!” ซือหม่าหรุ่ยเตือน
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
ครั้นเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีอารมณ์ร่ำลาใครทั้งนั้น หนึ่งในนั้น…ยังรวมถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย
เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยออกไป
อารมณ์ของซือหม่าหรุ่ยก็เคร่งเครียดลง ในสมองนางพลันคิดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เริ่มกังวลถึงเยี่ยเม่ยอยู่บ้าง
เหมือนกับเยี่ยเม่ยจะตกหลุมรักเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรดี
ระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยคือความแค้นล้มล้างบ้านเมือง โดยเฉพาะ…หนี้เลือดของพ่อแมเยี่ยเม่ย
ต่อให้ทุกอย่างล้วนเกิดมาจากฮ่องเต้เป่ยเฉินและเป่ยเฉินอี้ แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เป่ยเฉินจริงๆ
ดูจากแววตาแน่วแน่ของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ ซือหม่าหรุ่ยอดกังวลใจไม่ได้
นางเดินออกจากเรือนเยี่ยเม่ยด้วยความในใจที่หนักอึ้ง
ซินเยว่เยี่ยนเดินเข้ามาด้วยความสงสัย มองทิศทางที่เยี่ยเม่ยจากไป “นางไปทำอะไร”
“ยังไม่ใช่เพราะต้องหายาถอนพิษจิ่วหุนอีกหรือ ออกไปไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว!” ซือหม่าหรุ่ยตอบคำถามตามความต้องการของเยี่ยเม่ย จากนั้นซือหม่าหรุ่ยถามว่า “เจ้ามาหาข้าทำไม”
“เพื่อเซียวชินน่ะสิ!” ซินเยว่เยี่ยนเสียงดังไม่น้อย เมื่อเอ่ยออกมาแล้วก็รีบลดเสียงเบาลง มองไปรอบๆ กล่าวต่อว่า “ข้าสัญญาว่าจะช่วยตามหาเซียวชิน แม่เจ้าเถอะ! เมื่อข่าวนี้แพร่ออกมา ข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้อู๋เหินรู้ที่อยู่ของเซียวชินตั้งนานแล้ว นับตั้งแต่เซียวชินหายตัวไป อู๋เหินก็รู้มาตลอด!”
“อะไรนะ” ซือหม่าหรุ่ยชะงักไปเล็กน้อยตามมาด้วยสีหน้ายินดี วันนี้พบอาซีแล้วหากยังรู้ที่อยู่ของเซียวชินด้วย สำหรับนางถือว่าเป็นเรื่องมงคลสองเรื่องเลยทีเดียว
ซินเยว่เยี่ยนเห็นนางตกใจ ก็รีบเอ่ย “เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้ามิได้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรอง ดังนั้นข้าถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน! อู๋เหินรู้ทั้งรู้ว่าพวกเรารู้จักกัน แต่ไม่ยอมบอกข้าเลย!”
เมื่อพูดแล้วซินเยว่เยี่ยนก็ปวดหัวนัก
น้องชายคนนี้ของนาง มีนิสัยโดดเดี่ยวและเฉื่อยชา แม้แต่เรื่องนี้ยังคร้านจะเล่าให้นางฟัง คิดแล้วซินเยว่เยี่ยนยังรู้สึกเหนื่อยใจ สงสัยว่าตัวเองมีน้องชายปลอมๆ คนหนึ่ง
ซือหม่าหรุ่ยใส่ใจเรื่องพวกนี้ที่ใดกัน นางรีบจับมือซินเยว่เยี่ยน ถามว่า “อยู่ที่ไหน เซียวชินอยู่ที่ไหน”
“ความจริงเมื่อก่อนพวกเราก็เคยสงสัยว่า เซียวชินคือจั่วอี้อ๋องผู้ลึกลับของต้ามั่ว!” ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยไปก็มุ่นคิ้ว
ซือหม่าหรุ่ยตะลึงงัน “อะไรนะ”
พวกนางเคยสงสัยฐานะของเซียวชินมาก่อน จั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วปรากฏตัวออกมาในชั่วเวลาที่ประจวบเหมาะมาก ซ้ำยังมีวิชาแพทย์ติดตัว
ดังนั้นซือหม่าหรุ่ยมาชายแดนครั้งนี้ ไม่เพียงเพื่อหาเซียวเซ่อหยางเท่านั้น แต่ก็เพื่อหาเบาะแสของ เซียวชินด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าจั่วอี้อ๋องผู้นั้นใช่เซียวชินหรือไม่
แต่นางคิดไม่ถึง เพิ่งมาถึงก็ได้รับข่าวว่าจั่วอี้อ๋องรับหน้าที่โจมตีภาคกลาง
จากความเข้าใจที่นางมีต่อเซียวชิน นางรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไร ต่อให้เซียวชินช่วยนางวางยาพิษลงในแม่น้ำหมิงเมื่อปีนั้น แต่ก็ไม่มีทางรับคำสั่งโจมตีภาคกลางแน่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นไม่ใช่เซียวชิน ด้วยเหตุนี้จึงไม่พิสูจน์ต่อ คิดไม่ถึงเลยว่า…
ซินเยว่เยี่ยนเองก็ถอนใจ “ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน จั่วอี้อ๋องคือเซียวชิน พูดกันตามตรงแล้ว ตอนนั้นข้าติดตามเยี่ยเม่ยออกรบ ข้าเองก็เคยพบจั่วอี้อ๋องผู้นั้น ยามนั้นไม่ทันคิดมากมาย เห็นอีกฝ่ายสวมหน้ากาก ข้าก็…”
ว่าไปแล้วซินเยว่เยี่ยนเคยพบเซียวชินเพียงสองครั้ง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายสวมหน้ากากนางจึงจำไม่ได้
ซือหม่าหรุ่ยรีบเอ่ย “ไม่ได้ ข้าจะต้องไปหาเขาที่ต้ามั่วเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าไปต้ามั่วก็เปล่าประโยชน์แล้ว!” ซินเยว่เยี่ยนปราบคำหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจอีก เอ่ยต่อ “ครั้งก่อน เซียวชินแพ้สงคราม ก็ถูกริบอำนาจทางการทหาร ภายหลังเขาทิ้งจดหมายแล้วจากไป ต้ามั่วก็ไม่รู้ว่าคนหายไปไหน ราชาต้ามั่วออกตามหาเขามาตลอด คนของหมู่ตึกกูเยว่ก็หาไม่พบ…”
เล่าไปแล้ว ซินเยว่เยี่ยนก็อดมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่งไม่ได้
ไม่ง่ายจะหาที่อยู่ของเซียวชินพบ แต่คิดไม่ถึงว่าความหวังที่มีความจริงแล้วเป็นเพียงความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง
นางปลอบว่า “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ยังดีที่พวกเรารู้ว่าเซียวชินยังมีชีวิตอยู่!”
เมื่อนางเอ่ยออกมา ซือหม่าหรุ่ยรับรู้ได้ถึงความปลอบโยน พยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด ยังดีที่เขายังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่!”