เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 258 จิ่วหุนฟื้นแล้ว !
หลูเซียงฮั่วอึ้งไปเล็กน้อย
คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็เหมือนไม่เข้าใจอีก แต่ว่าเมื่อคิดๆ ดูแผนการของแม่นางเยี่ยเม่ยที่ผ่านมา ก็ยังไม่เกิดปัญหาอะไรเลย ดังนั้นเขาคิดว่า
อย่างนั้นก็เชื่อแม่นางเยี่ยเม่ยเถอะ
เยี่ยเม่ยเดินกลับเข้าไปในเมือง ก่อนสั่งการว่า “รอแม่ทัพเซียวกลับมาก่อน ไม่ว่ามีสถานการณ์อะไรก็รีบมารายงานข้าทันที!”
“ขอรับ!” หลูเซียงฮั่วรับคำสั่งทันควัน
มองทิศทางที่เยี่ยเม่ยจากไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสายตาทอประกายวาบ รู้อยู่ในใจว่าเวลานี้ นางต้องไปดูอาการจิ่วหุนแน่ แต่เขาก็ไม่รั้งเอาไว้
เพียงแต่เยี่ยเม่ยกลับหันมองเขา บอกว่า “ข้าไปดูจิ่วหุนก่อน แล้วยังมีธุระต้องถามซือหม่าหรุ่ย เรื่องของสตรี ท่านก็ไม่ต้องติดตามมาชั่วคราว!”
เรื่องที่นางอยากถามเกี่ยวพันกับราชสำนักจงเจิ้ง
หากอาซีคือสหายสนิทของซือหม่าหรุ่ย หากอดีตที่ผ่านมาของนาง ก็คือคนที่ซือหม่าหรุ่ยจำผิดในตอนแรก อย่างนั้น…ก็หมายความว่า ซือหม่าหรุ่ยต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดในปีนั้น
ส่วนเรื่องพวกนี้ นางยังไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้เป็นการชั่วคราว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักฝีเท้า มองนางจ้ำพรวดๆ ออกไป
เขาไม่คิดขวางความต้องการของนาง เพียงแต่ตอนนี้…ไม่รู้เพราะอะไร ในใจของเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางประการ มองเงาหลังของนาง คล้ายกับมองเห็นเส้นแบ่งเขตแดนกันอยู่ตรงแผ่นหลังของเยี่ยเม่ย ต้องการแยกให้พวกเขาไกลห่างกันออกไป
สิ่งนี้ทำให้เขาทนไม่ไหวกำหมัดแน่น
จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก คิดถึงเรื่องไม่นานก่อนหน้า ความอบอุ่นที่นางอยู่ในอกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขายังจะแยกจากกันคนละทิศคนทางได้อย่างไร
กลัวว่า…….คงเข้าใจผิดไปเอง
อวี้เหว่ยมองออกว่าเจ้านายเหม่อลอย จึงถามออกไปด้วยความอดรนทนไม่ไหว “เตี้ยนเซี่ย ท่านเป็นอะไรไป”
“ไม่มีอะไร!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนสายตากลับมองอวี้เหว่ย “นอกจากนางให้เจ้าไปรวบรวมข้อมูลแล้ว เจ้ายังต้องเตรียมของอีกสิ่งหนึ่ง!”
……
เยี่ยเม่ยก้าวเท้ากว้างๆ เข้ามาในห้องซือหม่าหรุ่ย
จิ่วหุนคล้ายกับสัมผัสได้ ยามนี้เขาพลันฟื้นขึ้นมา
ซือหม่าหรุ่ยยินดีทันที ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปหา ก็เห็นเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา นางรีบบอกว่า “จิ่วหุนฟื้นแล้ว!”
“ฟื้นแล้ว?” หลายวันที่ผ่านมาเยี่ยเม่ยอารมณ์ไม่ดีมาตลอด ในที่สุดเวลานี้ก็นับว่าดีขึ้นครึ่งหนึ่ง
นางก้าวเท้ากว้างๆ เดินเข้ามากลางห้อง
จิ่วหุนลืมตา จากนั้นไอออกมาสองสามคำ
เยี่ยเม่ยมุ่งไปที่โต๊ะ รินชาถ้วยหนึ่ง พยุงจิ่วหุนขึ้นป้อนน้ำชาให้เขา “ดื่มชาก่อน!”
หลายวันที่ไม่ได้สติ ต่อให้ซือหม่าหรุ่ยสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อยเพื่อยื้อชีวิตเขาไว้ แต่เยี่ยเม่ยก็เดาว่าเขาน่าจะทั้งหิวทั้งคอแห้ง
จิ่วหุนหาได้ขัดขืน ดื่มชาลงไป
ทั้งยังดื่มอย่างรีบร้อน จนเกือบสำลัก
เยี่ยเม่ยรีบปลอบ “ช้าหน่อย!”
“อืม!” จิ่วหุนกลับเชื่อฟังมาก ปรับความเร็วให้ช้าลงทันที เมื่อดื่มหมดไปถ้วยหนึ่ง ซือหม่าหรุ่ยก็รีบยกกาน้ำชามาให้ รินน้ำชาใส่ถ้วยที่เยี่ยเม่ยถืออยู่
เยี่ยเม่ยป้อนเขาอีกครั้ง
จิ่วหุนก็ดื่มลงไปอีก
เยี่ยเม่ยถามว่า “ยังจะดื่มอีกไหม”
จิ่วหุนส่ายหน้า
จากนั้นเขาก็เหม่อลอย ท่าทางเหม่อลอยของเขาดูแล้วน่ารักมาก สายตามองไปทั้งสี่ด้าน คล้ายกับไม่เข้าใจว่าไฉนตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้
เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางของเขา เสี้ยวเวลานี้นางหายโมโหไปชั่วครู่
จากนั้นตำหนิอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้าอธิบายมาซะดีๆ ว่าทำไมตอนถูกไล่สังหารแล้วยังไม่มาขอความช่วยเหลือจากข้าอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าอันตรายแค่ไหน หากข้าไปช้าอีกนิดเดียว ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าจะเหลืออยู่หรือไม่ ใครก็ไม่อาจรู้แล้ว”
จิ่วหุนอึ้งไป
สมองเริ่มทำงาน ความทรงจำก่อนที่เขาจะสลบไปค่อยๆ ผุดภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด หลังจากเขาคิดได้แล้วฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ใบหน้าขาวซีดนั้นค่อยแดงเรื่อขึ้นบ้าง
ซินเยว่เยี่ยนด้านข้างอดไม่ไหวถามขึ้นมาว่า “จริงด้วย! เจ้าไม่รู้หรอกว่า วันนั้นอากาศหนาวเหน็บแค่ไหน พวกเราสองคนออกตามหาเจ้าไปทั่ว เยี่ยเม่ยเป็นห่วงเจ้ากระโดดลงไปในแม่น้ำแล้วไม่ขึ้นมาอีก จึงกระโดดลงไปหาเจ้าอยู่ตั้งนาน ข้ากลัวว่านางจะเป็นตะคริวจนเกิดเรื่องขึ้นในน้ำแล้ว…”
เมื่อซินเยว่เยี่ยนเล่าออกมา จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ยด้วยความตกตะลึง
ดวงตาสงบราวน้ำนิ่งคู่นั้น ยามนี้ทอประกายอย่างชัดเจน อารมณ์ความรู้สึกนั้นถึงกับไม่สามารถให้คำพูดมาอธิบายได้ในเวลาอันสั้น
เยี่ยเม่ยกลับไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา นางอารมณ์ไม่ดีมาก ชี้หน้าเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากทำให้ข้าพลอยลำบากไปด้วย แต่เมื่อเจ้าเกิดเรื่อง ข้ายังไม่สนใจได้อีกหรือ เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะให้เรื่องวุ่นวายขึ้น ทำให้ข้าลำบากขึ้นก็เท่านั้น เจ้าเข้าใจไหม”
เยี่ยเม่ยไม่ปรามยามซินเยว่เยี่ยนเอ่ยคำพูดเมื่อครู่
นางต้องการให้เจ้าเด็กนี่รับรู้ว่า เพราะเขาไม่ยอมไปขอความช่วยเหลือจากนาง นางจึงต้องแช่อยู่ในน้ำเย็น หวังว่าภายหน้าเจ้าเด็กนี่จะฉลาดขึ้นมาสักหน่อย ไปขอความช่วยเหลือจากนางทันที
“ข้า…” จิ่วหุนพลันเข้าใจความคิดของนาง ฟังคำประโยคว่า เจ้าเกิดเรื่องแล้ว ข้าจะไม่สนใจได้หรือ
เขารู้สึกว่าหัวใจที่แต่เดิมอบอุ่นขึ้นเพราะนาง ยิ่งร้อนวาบขึ้นมาแล้ว
จิ่วหุนก้มหน้าลง ทำท่าทางเชื่อฟังหลังก่อเรื่อง “ข้าสำนึกผิดแล้ว”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ทำท่าทางเคร่งขรึมมากขึ้น “ภายหน้าห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่ เจ้าหายตัวไป เจ้ารู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”
“รู้แล้ว!” จิ่วหุนผงกหัวเชื่อฟัง เมื่อมองเยี่ยเม่ยอีกครั้งกระบอกตาแดงก่ำ ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาคลอเบ้า
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เยี่ยเม่ยสะอึกไปเล็กน้อย
ต่อให้มีความไม่พอใจรวมถึงคำตำหนิมากมายแค่ไหน ในยามนี้ก็พูดไม่ออกแล้ว
นางสูดลมหายใจลึก หันกลับมองซินเยว่เยี่ยน “แม่นางซิน เจ้าไปเอาของกินที่ห้องครัวมาหน่อย เอาที่เป็นอาหารอ่อนๆ หลายวันนี้เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย กระเพาะคงอ่อนแอมาก กินอาหารรสจัดมากไม่ไหว!”
“ได้ !” ซินเยว่เยี่ยนรับปาก รีบเดินออกไป
เยี่ยเม่ยกลับมาจับจ้องเจ้าเด็กหน้าเหม็นอีกครั้ง เตือนอีกประโยค “ครั้งหน้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะตีเจ้าแล้ว!”
เขารีบส่ายหน้าอย่างเชื่อฟัง รับรองว่า “ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
ซือหม่าหรุ่ยยืนมองอยู่ข้างๆ อยากหัวเราะ อดไม่ได้เอ่ยถามว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว! เขาเพิ่งฟื้น เจ้าก็อย่าว่าเขาเลย เขาคงรู้แล้วว่าเขาสำคัญกับเจ้ามาก ภายหน้าไม่กล้าแก้ไขปัญหาลำพัง อย่าคิดถึงแต่ตัวเองอีก”
ในเมื่อสถานการณ์ยามนี้ชัดเจนมากแล้ว ผลของความหวังให้เยี่ยเม่ยไม่เกิดเรื่อง ก็คือเยี่ยเม่ยยิ่งลำบาก เชื่อว่าเจ้าเด็กจิ่วหุน คงเข้าใจเหตุผลนี้แล้ว
“อืม !” เยี่ยเม่ยพยักหน้า วางจิ่วหุนลงที่เตียง สั่งการว่า “อีกเดี๋ยว ซินเยว่เยี่ยนเอาอาหารมา เจ้ากินหมดแล้วค่อยพักผ่อน หลายวันนี้รักษาตัวเองให้ดี แม่นางจง รบกวนเจ้าช่วยเล่าเรื่องหลังจากที่เขาสลบไปให้เขาฟังด้วย ต้องให้เขาจำไว้ว่า มีเรื่องบางเรื่องสมควรเผชิญหน้า ถึงกันไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้อีก!”
“ได้ !” จงรั่วปิงพยักหน้า
เยี่ยเม่ยค่อยมองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าตามข้าออกมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า!”