เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 235 สถานที่ที่เป่ยเฉินอี้พบจงเจิ้งซีเป็นเป็นครั้งแรก!
เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เอ่ยต่อไป “ข้าน้อยไม่กล้าบอกว่าแม่ทัพจิวมั่วไม่จงรักภักดี แต่ในเมื่อเขาเป็นเช่นนี้ก็นับว่าแปลกประหลาด ท่านข่านสมควรป้องกันไว้!”
ราชาต้ามั่วฟังจบแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “ในเมื่อขุนนางรักกล่าวเช่นนั้น เช่นนั้นก็ไม่บอกจิวมั่วเหอชั่วคราว เจ้าทำหน้าที่ติดต่อกับเป่ยเฉินอี้ก็พอแล้ว!”
“ขอบคุณที่ท่านข่านเชื่อใจข้า!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่พยักหน้าทันที เอ่ยต่อว่า “ความหมายของเป่ยเฉินอี้คือต้องการให้เมืองชายแดนวุ่นวาย พวกเราถึงมีโอกาส!”
ราชาต้ามั่วแค่นหัวเราะเย็นชา “ในเมื่อเยี่ยเม่ยไม่อยู่ชายแดน เปลี่ยนเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรักษาการณ์แทน เขาวรยุทธ์ไม่ธรรมดา พวกเราไม่อาจบุกไปโดยพลการดังเดิม แต่ขอเพียงภายในเมืองเกิดจลาจล เช่นนั้นเมืองชายแดนก็เป็นของข้าแล้ว!”
“ท่านข่านปรีชานัก! ข้าน้อยคิดว่าเรื่องเล็กน้อยนี้ เป่ยเฉินอี้ย่อมทำได้!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่รีบเปิดปากเสนอทันที ใจเขายอมรับในความสามารถของเป่ยเฉินอี้มาก
ราชาต้ามั่วพยักหน้า “อืม ข้าหวังเช่นนั้น!”
พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ระหว่างที่พวกเขาปรึกษากันอยู่นั้น องครักษ์หน้ากระโจมผู้หนึ่งแอบฟังอยู่ หลังจากนั้นก็หมุนตัวจากไป…
……
เมืองหลวง จวนเซี่ยโหวเฉิน
เหวยซื่อวิ่งเข้ามาในห้องเซี่ยโหวเฉินอย่างร้อนรน เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวดีแล้ว!”
เซี่ยโหวเฉินกำลังมองกระดานหมากเบื้องหน้า สายตาครุ่นคิด
เห็นเหวยซื่อวิ่งเข้ามาอย่างกระวนกระวายก็หาได้หันมอง เพียงเอ่ยเสียงนิ่งว่า “เงียบ ข้ากำลังอ่านหมากอยู่!”
เหวยซื่อเงียบลงทันที ไม่กล้าส่งเสียง
เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเตี้ยนเซี่ยของตนมีเป้าหมายในการเอาชนะเป่ยเฉินอี้มาตลอด ในเมื่อตอนนี้เตี้ยนเซี่ยกำลังอ่านหมากอยู่ เช่นนั้น…คงกำลังวิเคราะห์หมากที่เป่ยเฉินอี้วางไว้ หากเขาขัดเตี้ยนเซี่ยในเวลานี้ ก็เท่ากับทำให้เตี้ยนเซี่ยเสียความคิด
ในเวลานี้เอง
เรียวคิ้วของเซี่ยโหวเฉินขมวดแน่น เอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หากเป่ยเฉินอี้ผลักดันหมากก้าวนี้จริงๆ ไฉนเวลานี้เขากลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยสักน้อย!”
“เอ๋” เหวยซื่ออึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมาย
เซี่ยโหวเฉินกวาดตามองเขาคราหนึ่ง สีหน้านิ่งขรึมอธิบาย “จิ่วหุนถูกเล่นงาน เยี่ยเม่ยออกจากชายแดน หากเป็นสถานการณ์ที่เป่ยเฉินอี้วางไว้ อย่างนั้นตามหลักแล้ว ขอเพียงควบคุมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไว้ได้คนเดียว ก็มากพอจะลงมือแล้ว ถึงร่างกายของเป่ยเฉินอี้ในเวลานี้ไม่อาจประลองยุทธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องปกป้องจิ่วหุน ก็นับเป็นจุดอ่อน ดังนั้น…”
เหวยซื่อเอ่ยถาม “ดังนั้นท่านอ๋องคิดว่า เวลานี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เป่ยเฉินอี้จะลงมือ แต่ว่าเขากลับไม่ลงมือ เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่”
เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า หัวเราะเบาๆ หันมองเหวยซื่อ “ไม่ผิด!”
ถึงเขากำลังหัวเราะ แต่การหัวเราะนั้นไม่ได้ออกจากเบื้องลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาในยามนี้ตกต่ำเป็นอย่างมาก คิดเอาชนะศัตรู ก็ต้องทำความเข้าใจศัตรูของตนก่อน สถานการณ์ยามนี้ แม้กระทั่งเป่ยเฉินอี้ทำเช่นนี้เพราะอะไร เขายังวิเคราะห์ออกมาไม่ได้เลย
คิดเอาชนะเป่ยเฉินอี้ หาใช่เรื่องง่าย
เหวยซื่อเอ่ยปาก “พูดตามจริง หากปัญหานี้ท่านถามข้าน้อยเมื่อวาน ข้าน้อยย่อมมืดมนคิดไม่ออก แต่วันนี้…บางทีภาพนี้อาจช่วยให้คำตอบท่านได้!”
ระหว่างที่เขาเอ่ย ก็ยื่นภาพวาดให้เซี่ยโหวเฉิน
เซี่ยโหวเฉินกางม้วนภาพออก เห็นคนในภาพนั้นก็ตะลึงงัน มองเหวยซื่ออย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าหมายความว่านี่คือ…”
เหวยซื่อพยักหน้า “เดิมทีข้าน้อยคิดว่าการหาภาพเหมือนของจงเจิ้งซีเป็นเรื่องยากมาก ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะราบรื่นจนน่าแปลก ข้าน้อยพบจิตรกรสามัญชนผู้หนึ่ง บอกว่าปีนั้นจงเจิ้งซีหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกวัง เห็นจิตรกรตั้งแผงอยู่ริมถนน จึงให้คนวาดภาพนี้ออกมา นั่นก็คือภาพที่อยู่ในมือท่านภาพนี้!”
เซี่ยโหวเฉินมองคุณภาพกระดาษของภาพวาด ทั้งยังมีลายหมึก หาใช่ภาพใหม่ สมควรเป็นภาพที่วาดไว้หลายปีก่อนหน้าแล้ว
ระหว่างเงยหน้าขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนภาพนี้ถึงได้…”
“ได้ยินว่าหลังจากจิตรกรเพิ่งจะวาดภาพนี้เสร็จ จงเจิ้งซีถูกลอบสังหาร เขากลัวจะเดือดร้อนไปด้วย จงเจิ้งซีหนีเอาชีวิตรอดไม่ได้กลับมาเอาภาพไป ด้วยเหตุนี้ภาพจึงอยู่ในมือเขา ไม่รู้ว่าจิตรกรได้ข่าวมาจากไหนว่าอี้อ๋องกำลังตามหาภาพภาพนี้ ยินยอมใช้เงินพันตำลึงเพื่อซื้อมา ดังนั้นเขาจึงแอบมาที่เมืองหลวง บังเอิญได้พบข้าน้อยพอดี!”
เหวยซื่อเอ่ยไปก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย ทั้งยังลอบมองเซี่ยโหวเฉินอย่างระวัง “ดังนั้น ท่านอ๋อง ข้าน้อยจึงจ่ายเงิน ทั้งยังจ่ายไปไม่น้อยอีกด้วย เพราะรูปภาพเพียงรูปเดียว ข้าน้อยไม่กล้าปล่อยโอกาสไปง่ายๆ!”
เงินมาจากห้องบัญชี พันตำลึงหาใช่จำนวนน้อยๆ ดังนั้นเขาต้องบอกเสียหน่อย
เซี่ยโหวเฉินโบกมือ ไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่า จงเจิ้งซีจะหน้าตาเหมือนแม่นางเยี่ยเม่ยไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด”
พูดถึงเยี่ยเม่ยเซี่ยโหวเฉินก็คิดได้ ยามนั้นเขาอยู่บนหอสูงที่ชายแดน เห็นสตรีนางหนึ่งเล่นงานคนของหอคณิกา
ตามหลักแล้ว หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเป่ยเฉินอี้ไม่สนใจนาง สตรีเช่นนี้ เขาเซี่ยโหวเฉินก็ไม่มีทางปล่อยไป
สถานการณ์ในเวลานี้…
เขาแค่นหัวเราะ “ดังนั้น ความผิดปกติของเป่ยเฉินอี้ในยามนี้ ล้วนเป็นเพราะเยี่ยเม่ยผู้นี้หรือ ไม่แน่อาจเป็นเพราะนางมีใบหน้าเหมือนกับจงเจิ้งซีก็เป็นได้”
“ข้าน้อยเดาว่าเป็นเช่นนี้” เหวยซื่อรีบตอบรับทันควัน
เซี่ยโหวเฉินปรายตามองเขา ถามอีกว่า “ก่อนหน้าข้าให้เจ้าตรวจสอบฐานะของนาง พวกเจ้าหาพบแล้วหรือไม่”
คำถามนี้เมื่อเอ่ยออก สีหน้าเหวยซื่อปรากฏความลำบากใจ “ท่านอ๋อง ร่องรอยสักนิดก็ไม่มี คนผู้นี้คล้ายโผล่ออกมาจากอากาศ ครั้งแรกที่นางปรากฏกายก็พบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่กลางเขา ร่องรอยเบาะแสอื่นๆ ไม่มีเลยสักน้อย อีกทั้งข้าน้อยยังบังเอิญตรวจพบว่ามีคนหลายกลุ่มที่กำลังสืบหาฐานะของนางเช่นกัน ดูท่าก็ไม่มีใครล่วงรู้อะไรเลย!”
เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว สืบต่อไป!”
“ขอรับ!” เหวยซื่อพยักหน้า ถามว่า “เช่นนั้นท่านอ๋อง ท่านเตรียม…”
เซี่ยโหวเฉินแค่นเสียงเบาๆ โยนภาพไปไว้อีกทางหนึ่ง “เตรียมการหรือ…ในเมื่อรู้ว่าเยี่ยเม่ยหน้าตาเหมือนจงเจิ้งซี โอกาสเช่นนี้ ข้าจะต้องใช้มันให้ดีแน่!”
……
เช้าตรู่ ยามฟ้าสาง
สถานที่ตั้งเดิมของราชวงศ์จงเจิ้ง
ชานเมือง…
รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ หยุดลงยังที่แห่งนี้ เวลานี้เยี่ยเม่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว สายตาเป่ยเฉินอี้มองนาง ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่เป็นสถานที่สุดท้ายที่ เป่ยเฉินอี้จะพาเจ้าไปดู!”
เยี่ยเม่ยจ้องมองเป่ยเฉินอี้ นั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เมื่อวานนางเผยพิรุธออกไปอย่างใหญ่หลวงแล้ว วันนี้หากไม่เตรียมตัวให้ดีก่อน นางไม่กล้าลงรถม้าโดยพลการ กลัวว่าจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้อีก ไม่ทันควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ทัน ถูกเป่ยเฉินอี้จับพิรุธได้อีกครั้ง
นางถามกลับเสียงนิ่ง “ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน”
เป่ยเฉินอี้จ้องหน้านาง ตอบตามตรง “นี่คือสถานที่ที่เป่ยเฉินอี้พบจงเจิ้งซีครั้งแรก”
เยี่ยเม่ยชะงักงัน
กัดฟันแน่น เตรียมใจไว้พอประมาณแล้ว เอ่ยว่า “ถึงไม่รู้ว่าจงเจิ้งซีคือใคร แต่ในเมื่ออี้อ๋องบอกว่าเป็นที่สุดท้ายเช่นนั้นก็ลงจากรถเถอะ!”