เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 23
บนเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินไปถึงข้างบ่อน้ำ กวาดตามองกองเพลิงข้างบ่อ ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก
กวาดตามองรอยเท้า เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ดูท่าเยี่ยนคาดไม่ผิด นางเคยมาที่นี่จริงๆ”
อวี้เหว่ยมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่ เห็นได้ชัดว่าแม่นางผู้นั้นจากไปแล้ว
แต่ดูท่าเพิ่งจากไปได้ไม่นาน
เขามองสีหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมของเตี้ยนเซี่ย ถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่านางอยู่ที่ไหน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วคลี่ยิ้ม ชี้นิ้วยังทิศที่เยี่ยเม่ยจากไป เอ่ยช้าๆ “ที่นี่มีทางออกสายเดียวเท่านั้น”
อวี้เหว่ยเข้าใจทันที เหลียวมองเตี้ยนเซี่ยของเขาอีกครั้ง “ดูท่าแม่นางท่านนั้น คาดเดาได้ว่าท่านจะติดตามการเคลื่อนไหวของนาง!”
บุรุษหล่อเหลามาดร้ายได้ฟัง กลับหัวเราะออกมา “อย่างนี้ถึงจะยิ่งสนุก สตรีฉลาดถึงคู่ควรให้องค์ชายอย่างข้าใช้ความคิดมากมายเช่นนี้เพื่อไล่ตาม ไปเถอะ เจ้าก็ได้ยินพวกชาวบ้านเอ่ยแล้ว ข้างกายนางยังมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เยี่ยนไม่อยากให้สตรีในดวงใจ ถูกคนช่วงชิงไปก่อน!”
เขาเอ่ยจบ นัยน์ตาพลันทอประกายเผยความเยือกเย็นที่ไม่รู้ว่าเป็นไอสังหารหรือว่าเล่นสนุกออกมาหลายส่วน
เขาสะบัดชายเสื้อ ก้าวเท้าเหยียบย่ำยังทิศทางที่เยี่ยเม่ยจากไป
ฝีเท้าของเขาดูแล้วเชื่องช้า แท้จริงเพียงชั่วครู่ก็ก้าวออกจากเขาลูกนี้ไปแล้ว
อวี้เหว่ยยกยิ้ม มองเงาหลังของเตี้ยนเซี่ย…หรือว่าเตี้ยนเซี่ยกำลังหึงเข้าให้แล้ว
หึงแล้ว?!
……
เยี่ยเม่ยพาเด็กหนุ่มผู้นั้นขี่ม้าเดินทาง
วิ่งไปได้หลายสิบลี้ สลัดเหล่าทหารที่ติดตามตนมาได้สำเร็จ เคี่ยวกรำอยู่หลายชั่วยาม จนฟ้าสางแล้ว
พวกนางวิ่งมาถึงข้างบึงแห่งหนึ่ง
ผ่านการเคี่ยวกรำมาทั้งคืน เยี่ยเม่ยเองก็เหน็ดเหนื่อย พลิกตัวลงจากหลังม้า วางคนด้านหน้าของตนลงพื้น สักเกตเด็กหนุ่มอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่
นางไม่เข้าใจอย่างมากว่า ไฉนตัวเองถึงได้กระตือรือร้น ถึงกับยุ่งเรื่องชาวบ้าน พาเด็กหนุ่มนี้หนีมานานได้เพียงนี้
ในขณะที่กำลังสงสัยนั้น ขนตายาวของเจ้าหนุ่มผู้นั้นขยับเล็กน้อย ดูคล้ายจะฟื้นแล้ว!
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นมองเยี่ยเม่ย ชั่วขณะที่สบตากัน ทั้งสองชะงักไปชั่วครู่
เมื่อมองดวงตาคู่นั้นของเขาอีกครั้ง เยี่ยเม่ยยังรู้สึกแตกตื่น…
เด็กหนุ่มรูปงามถึงขั้นรอบกายเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา สะอาดบริสุทธิ์ดูฉลาดมีไหวพริบ ทว่ามีสายตาอึดอัดหนักแน่นคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่งามนั้น ไม่ว่าเป็นรูปตา หรือว่าสีนัยน์ตาล้วนงดงามเกินธรรมดา ทว่ากลับไร้แววตาคล้ายน้ำแห้งขอด
เยี่ยเม่ยได้สติกลับมา สีหน้าเย็นชาเหมือนเคย ถามเสียงนิ่ง “ฟื้นแล้ว? หิวหรือไม่”
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้สติ เขามองนางอย่างตระหนก ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว สำรวจรอบด้าน มีเพียงพวกเขาสองคนกับม้าหนึ่งตัว
เวลานี้เยี่ยเม่ยเห็นอารมณ์แตกตื่นบนใบหน้าเขา
เขาชะงักไปชั่วครู่ มองเยี่ยเม่ย “เจ้าช่วยข้า?”
เขาดูไปแล้วคล้ายกับอินทรีอ่อนแรง แต่เมื่อเอ่ยปากกลับมีน้ำเสียงที่ใสที่สุดในใต้หล้า เสียงติงตังน่าฟังดุจดั่งเสียงน้ำไหล
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ว่าอย่างนั้นก็ได้!”
หลังจากตอบแล้ว นางไม่มองเขาอีก
เขาหิวหรือไม่นางไม่รู้ แต่นางต้องกินข้าวเช้านะ นางเก็บกิ่งไม้ที่พื้น เดินไปริมบึง สายตาคมมองน้ำใสในบึง พริบตาเดียวก็เห็นปลาว่ายผ่าน
นางไม่จำเป็นต้องลง กิ่งไม้ในมือแทงผ่านลงไปในน้ำ!
“ฉึก!” เสียงดังขึ้น กิ่งไม้ปักลงในบึง ครึ่งหนึ่งโผล่อยู่เหนือน้ำ
นางตวัดสายรัดเอวออกไปพันกิ่งไม้ไว้ ดึงขึ้น แรงนั้นดึงกิ่งไม้ขึ้นมาจากบึงน้ำ! อีกทั้งปลายกิ่งไม้ยังเสียบปลาไว้สามตัว
เด็กหนุ่มเห็นฝีมือแม่นยำของนาง สีหน้าไม่ตกใจเลยสักน้อย เพียงแต่มองนางนิ่งๆ
เยี่ยเม่ยเห็นเขาร่างกายอ่อนแอ ดูท่าจะช่วยไม่ได้ จึงเก็บกิ่งไม้ขึ้นมา ใช้หินจุดไฟ เสียบปลาสามตัวคนละไม้ เริ่มย่างปลา นางกระทำการอย่างว่องไว ผ่านไปหลายนาที กลิ่นหอมปลาย่างลอยฉุยขึ้นมา
ทักษะการใช้ชีวิตในป่า นางตั้งใจไปฝึกในป่าลึกโดยเฉพาะ
ทั้งสองนั่งข้างกองไฟ เยี่ยเม่ยย่างปลา มองเขา ถามเสียงนิ่ง “เจ้าชื่ออะไร”
เด็กหนุ่มเบือนหน้ามองนาง แล้วก้มหน้ามองกองไฟดูปลาที่กำลังย่างอยู่
ไม่ตอบ
เยี่ยเม่ยยักไหล่ ไม่ใส่ใจ ถามเสียงนิ่งขึ้นมาอีกว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
นางสงสัยปัญหานี้จริงๆ แววตาเจนโลกนั้นปกปิดอายุของเขา นางเชื่อว่าใครก็ยากคาดเดาอายุของเขาได้
นางถามคำถามนี้ออกมา เด็กหนุ่มครั้งนี้ไม่มองนางเลยสักน้อย
ยังไม่ตอบอีก
คราวนี้เยี่ยเม่ยไม่พอใจแล้ว
ทว่าคร้านจะพูดมากความ ปลาสามตัวในมือย่างสุก คิดว่าตัวเองกินเซาปิ่งไปชิ้นหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้หิวมาก
โยนปลาสองตัวไปให้เขา เหลือไว้เพียงตัวเดียว
เด็กหนุ่มยื่นมือรับอย่างว่องไว มองเยี่ยเม่ย นัยน์ตางดงามมีความสับสน ทว่าไม่ส่งเสียง
นางกัดปลาในมือ ลุกขึ้นมองม้าที่พวกนางขี่มาตลอดทาง
เหลียวมองเด็กหนุ่มผู้นั้น เอ่ยว่า “ม้าตัวนี้ไม่เลวเลย แบกเจ้าวิ่งมาได้ไกลขนาดนี้ เจ้ากินหมดแล้วขี่มันจากไปเถอะ สองวันนี้ข้าล่วงเกินคนไปไม่น้อย เจ้าอย่าตามข้าเลย ไม่ปลอดภัยกับเจ้า ข้าขอตัวก่อนแล้ว!”
นางพูดจบกัดปลาในมือ เดินจากไป
เขาไม่ยินยอมสนใจนาง เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้ใจ อย่างไรคนก็ช่วยมาแล้ว เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องสนใจอีก
นางต้องไปหาลูกพี่แล้ว ไม่ว่าพบหรือไม่ ก็ต้องลองดู…
เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของนางด้วยความตะลึง เค้นคำพูดออกมาคำหนึ่ง “เจ้า…”
เยี่ยเม่ยหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองเขา ถามเสียงเย็น “ทำไม จะขอบคุณหรือ”
เยี่ยเม่ยมองเด็กหนุ่มนั้น ไม่ส่งเสียง
เยี่ยเม่ยยกมุมปาก ทั้งไม่พูดอีก ก้าวเท้าจากไป
ทว่านางคิดไม่ถึง เด็กหนุ่มนั่นลุกขึ้น เดินติดตามนางมาทีละก้าวๆ เขาคงหิวแล้วเช่นกัน กัดปลาในมือคำใหญ่ สายตามุ่งตรงไปที่แผ่นหลังเยี่ยเม่ย คล้ายกลัวว่าจะหายไป ท่าทางคล้ายกับลูกสุนัขกลัวถูกทิ้ง
เยี่ยเม่ยรู้ว่าเขาติดตาม ไม่หันกลับไปหยุดเขาไว้ อย่างไรนางก็ช่วยเขาแล้ว พวกนางไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน เขาคงไม่ใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณหรอกกระมัง
ทั้งสองคนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง กินปลาย่างไป เว้นระยะห่างต่อกันประมาณห้าเมตร
คิดไม่ถึงว่า เพิ่งกินปลาหมด
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ทหารกองหนึ่งล้อมทางที่พวกเขาเดินทางไป
ผู้นำคือแม่ทัพหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง มือเขาถือกระดาษแผ่นหนึ่ง
เขามองเยี่ยเม่ย จากนั้นมองภาพวาดในมือตน ใบหน้าเดียวกันชัดๆ เขาส่งเสียงสูงดัง “เจ้าคือคนที่ทำร้ายท่านหญิงฉางเล่อ?”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง ออกหน้าแทนท่านหญิงแล้วหรือ
เห็นเยี่ยเม่ยไม่ตอบ เขายิ้มเย็น “ได้ยินว่าน้องสาวถูกคนทำร้าย ข้าส่งคนแอบตามหามานานเพียงนี้ ไม่พบร่องรอยเลยสักน้อย! คิดไม่ถึงว่าครั้นจะได้มาก็ไม่ต้องเสียงแรงสักน้อย ถึงกับมาพบโดยบังเอิญในที่นี้!”
เยี่ยเม่ยเข้าใจได้ทันที ที่แท้บังเอิญ นางถึงไม่รู้สึกว่ามีคนติดตามมา
นางปรายตามองเขา เสียงนิ่งเอ่ยว่า “เจ้าต้องการแก้แค้นแทนนางหรือ”
“ไม่ผิด วางใจได้ หลังจากเจ้าตายแล้ว องค์ชายสี่ไม่มีทางได้ข่าวเรื่องนี้เลยสักน้อย! ทุกคนกำจัดนางซะ!” ซือถูเฟิงจ้องตาดุร้ายใส่นาง ออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชา
เหล่าทหารรับคำ ไม่ช้าก็ล้อมเยี่ยเม่ยไว้
เยี่ยเม่ยเห็นสถานการณ์ ถอนใจยอมรับชะตา ลูบมีดสั้นในแขนเสื้อ ปัญหาไม่หยุดหย่อนเสียจริง
จากนั้นที่น่าแปลกประหลาดคือ นางยังไม่ทันลงมือ
เสี้ยวขณะที่นางกระพริบตา เด็กหนุ่มท่าทางดูอ่อนแอด้านหลังผู้นั้นปรากฎอยู่ข้างกายนางแล้ว
ถัดมาเขาทะยานไปอยู่เบื้องหน้าซือถูเฟิง แม่ทัพตกตะลึง ยื่นมือออกไปจับกระบี่ยาว ทว่าเด็กหนุ่มนั้นชิงลงมือก่อน ดึงกระบี่ของซือถูเฟิงออกมาพาดคอของเขา!
คนทั้งหมดอยู่ในอารามตกตกตะลึง ซือถูเฟิงยิ่งหน้าคล้ำ
เยี่ยเม่ยยังทึ่งไปชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มที่ไม่สนใจนางเท่าไหร่ กลับช่วยเหลือนาง อีกทั้งฝีมือยังเฉียบคมเช่นนี้
เด็กหนุ่มลงมือแล้ว หันกลับมองเยี่ยเม่ย
แววตาเขาแสดงออกชัดเจน ใบหน้ารูปงามไร้สีหน้าใดๆ คล้ายกับสุนัขภักดี “เขาคิดฆ่าเจ้า ฆ่าไหม”