เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 227 ทัพเสริมของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน!
ดังนั้นเยี่ยเม่ยมีฐานะเดียวอย่างนั้นจริงๆ หรือ
ในที่สุดเป่ยเฉินอี้ก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อนเช่นกัน ความจริงแล้วเทียบกับเยี่ยเม่ยที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องมาหลายวัน เขาก็ไม่ได้ดีกว่านางเท่าไหร่นัก ใบหน้าเช่นนั้นของหญิงสาว ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นระยะ ปรากฏตัวอยู่ในสมองของเขา เขายังจะรู้สึกดีได้อีกหรือ
……
ขณะที่ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงเดินทางนำสมุนไพรกลับ ถูกลอบโจมตีระหว่างทางอย่างที่เยี่ยเม่ยคาดการณ์ไว้
คนเหล่านี้ล้วนมีท่าทีดุร้าย หาใช่คนกลุ่มเดียวกับที่รั้งพวกนางไว้ในคืนนั้น ดูท่าแล้วคงไม่ใช่คนของเป่ยเฉินอี้
เวลานี้ซินเยว่เยี่ยนอดขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้าเด็กจิ่วหุนนี่ล่วงเกินคนไปมากน้อยแค่ไหนกันแน่ คนพวกนี้ถึงคิดกำจัดเขาทิ้ง
เมื่อเห็นว่าคนที่ล้อมเข้ามามีมากขึ้นทุกที ซินเยว่เยี่ยนก็ตัดสินใจทันที มองจงรั่วปิง “เจ้าเอายากลับไป ข้าจะรั้งท้ายให้เอง!”
ครั้นเอ่ยประโยคนี้ นางก็ถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจ
นางเองก็ไม่เข้าใจว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ทำไมสามวันห้าวันถึงต้องคอยรั้งท้ายอยู่เสมอ นางกังวลเหลือเกินว่าหากวันใดวันหนึ่งนางระวังหลังไม่สำเร็จ สุดท้ายถูกผู้อื่นตัดหนทางหนีรอด
จงรั่วปิงเห็นสถานการณ์ก็ไม่บ่ายเบี่ยง
กอดยาสมุนไพรไว้แน่น กระโดดฝ่าวงล้อมออกไปด้านหนึ่ง ก่อนจากไปยังกำชับว่า “เจ้าระวังให้ดี!”
“อืม!”
ซินเยว่เยี่ยนรับคำ ไม่ทันหันกลับไปมองอีกฝ่าย ผ้าต่วนในมือก็พลิ้วสะบัดออกคลี่คลายสถานการณ์ลำบากตรงหน้า
เห็นคนวิ่งติดตามแผ่นหลังของจงรั่วปิงไป นางทุ่มเทแรงกายสกัดอยู่ด้านหลัง ตวัดผ้าในมืออีกครั้ง ฟาดใส่คนที่เข้าไปขัดขวางจงรั่วปิง
มีหลายคนที่ออกจากวงล้อม ติดตามจงรั่วปิงไปอย่างหนักแน่น หญิงสาวหาได้เกรงใจไม่ กระบี่เล่มยาวในมือฟันลงมา หัวคนก็ขาดสะบั้นไปหลายหัว
นางเอากล่องยาหนีออกไปได้สำเร็จ
เดิมทีเป้าหมายของคนที่ดักซุ่มเหล่านี้ก็หาใช่พวกนางสองคนไม่ พวกเขามาเพื่อขัดขวางการช่วยชีวิตจิ่วหุน ผู้เป็นหัวหน้ารีบเอ่ยปากว่า “ไม่ต้องรบเร้าพัวพันกับนางคนนี้ พวกเราตาม!”
“จะรบเร้าพัวพันกับข้าหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่พวกเจ้า!”
ซินเยว่เยี่ยนตอบกลับไปเช่นนี้ ก็รีบทะยานออกไปขวางทางคนเหล่านั้นไว้ “ถึงแม้ว่าเอ่ยประโยคนี้ออกไปยามนี้ จะเชยไปเสียหน่อย แต่ข้ายังคงต้องพูด หากพวกเจ้าจะไล่ตามนางไป ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
เมื่อเอ่ยจบ ซินเยว่เยี่ยนเองยังรู้สึกเหน็บหนาว
อ๊าก ช่างเป็นคำพูดที่ชวนอาเจียนเหลือเกิน
คำพูดของนางยั่วโทสะของคนชุดดำกลุ่มนั้น สายตามองจงรั่วปิงที่หนีไกลออกไป โทสะในใจยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ซินเยว่เยี่ยนยืนขวางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา เวลานี้พวกเขาต่างจนใจไร้หนทาง
หัวหน้าคนชุดดำเกิดโทสะแล้ว “กำจัดผู้หญิงคนนี้ก่อน!”
สิ้นคำพูด คนทั้งหมดพุ่งเข้าสังหารซินเยว่เยี่ยนด้วยความดุดัน เดิมเพียงต้องการแย่งชิงยาสมุนไพร ในเวลานี้กลายเป็นสังหารคน ซินเยว่เยี่ยนดูเหมือนเหลาะแหละ แต่ก็ไม่กล้าชะล่าใจเลยสักน้อย รีบออกกระบวนท่าตั้งรับพวกเขาด้วยแรงทั้งหมด
ฝ่ายหัวหน้าคนชุดดำเห็นซินเยว่เยี่ยนกระทำเช่นนี้ กลับหัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “ต่อให้เจ้าช่วยปกป้องนางหนีไปได้ชั่วคราวแล้วจะทำไม คนที่ซุ่มอยู่ระหว่างทางไม่ใช่มีแค่กลุ่มเดียว พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าจิ่วหุนล่วงเกินคนไปมากน้อยเพียงไหน เช่นเดียวกับที่ข้าไม่เข้าใจพวกเจ้าว่าทำไมถึงปกป้องปีศาจฆ่าคน การลงมือครั้งนี้ สุดท้ายแล้วพวกเราต้องเป็นฝ่ายชนะ!”
“หึ จงรั่วปิงเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง พวกเจ้าคิดรั้งนางก็หาใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น สุดท้ายอาจถูกนางสังหารจนตายหมดก็ได้! ส่วนที่ว่าเพราะอะไรพวกข้าถึงปกป้องจิ่วหุน ปัญหานี้พวกเจ้าอาจต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตครุ่นคิดเอาเองก็แล้วกัน!” ซินเยว่เยี่ยนตอบกลับไปอย่างไร้ความรู้สึก
ความจริงในใจนางรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว
หากจงรั่วปิงเจอคนซุ่มโจมตีอีกกลุ่มหนึ่ง จะนำยากลับไปส่งได้ทันหรือไม่ก็ยากจะบอกได้แล้ว
“หึ เจ้าก็แค่ปากแข็งเท่านั้น!”
หัวหน้าคนชุดดำหัวเราะเสียงเย็น ม้วนตัวเข้าสู่วังวนการจู่โจมซินเยว่เยี่ยน
……
จงรั่วปิงนำยาหนีออกไปหลายลี้
พลันรู้สึกถึงจิตสังหาร…
ชั่วขณะนั้นนางใจเต้นระส่ำ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง แล้วก็เป็นไปดั่งคาด…ถัดมาคนชุดดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากที่ซ่อน มีดกระบี่ในมือร่ายรำเข้าใส่จงรั่วปิง
หัวหน้ากลุ่มเอ่ยปากว่า “แม่นางผู้นี้ หากคิดมีชีวิตรอดแนะนำให้เจ้าทิ้งยาไว้ที่นี่ เอาของทิ้งไว้เจ้าก็จากไปได้!”
“สหายตัวน้อยของพวกเจ้ากลุ่มก่อนหน้านี้ก็พูดเช่นนี้! พูดจาเหมือนกันราวกับแกะ หรือพวกเจ้าเป็นฝาแฝด” จงรั่วปิงเลิกคิ้วสูง มองอีกฝ่ายโดยไม่ตอบปฏิเสธ
ท่าทางไม่ใส่ใจของนางยั่วโทสะของหัวหน้าคนชุดดำ เขาเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อสุราเชื้อเชิญแม่นางไม่ดื่ม จะดื่มสุราจับกรอก เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!”
ครั้นเอ่ยจบ เขากวาดสายตามองกลุ่มคนชุดดำด้านหลัง ไม่ช้าก็พุ่งเข้าไปล้อมจงรั่วปิงไว้
สีหน้าจงรั่วปิงยังเป็นปกติ ไม่หวั่นเกรงต่อคนพวกนี้เลยสักน้อย แต่ปัญหาในตอนนี้คือ หากนางยังรบเร้าพัวพันกับพวกเขาต่อไป พลอยจะทำให้เสียเวลาไปหมด
เพียงแต่…
ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นางแล้ว
คนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาจู่โจมในทันที จงรั่วปิงหวังว่าจะรีบสู้รีบจบได้ไว รีบนำของออกไปจากที่นี่แต่เนิ่นๆ จากนั้นคล้ายกับว่าคนเหล่านี้คาดเดาความคิดของนางได้ ก็เข้ามาพัวพันอย่างระวังยิ่งขึ้น
ไม่ปล่อยโอกาสให้นางฉวยโอกาสยามวุ่นวายหนีจากไป
กลยุทธ์การศึกของนางคือหวังว่าจะหาทางออก รีบหนีออกไปได้ ฝ่ายยุทธวิธีของคนชุดดำเหล่านั้นคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้ ขอเพียงรั้งนางไว้ได้อีกสักวันหนึ่ง ต่อให้นางสามารถนำยากลับไปได้ คิดจะช่วยจิ่วหุนก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เวลาผ่านไปแต่ละวินาที ทำให้จิตใจจงรั่วปิงร้อนรนขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง
คนอีกกลุ่มหนึ่งมุ่งเข้ามา พวกเขาก็สวมชุดดำเช่นเดียวกัน จงรั่วปิงเห็นภาพสีดำเบื้องหน้า ไม่นะ ยังมีคนมาอีกหรือ
คิดไม่ถึงว่า หลังจากคนกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามา ไม่ช้าก็จำจงรั่วปิงได้
หัวหน้าคนชุดดำเอ่ยปากว่า “เจ้าคือแม่นางจงหรือ”
จงรั่วปิงทางหนึ่งก็ต่อสู้ อีกทางหนึ่งก็หันกลับไปตอบ “ถูกแล้ว!” ไม่สนแล้ว อย่างไรก็หนีเภทภัยไม่รอด แต่หากเป็นโชคดีเล่า
หลังจากคนกกลุ่มนั้นเข้ามาก็เข้าโจมตีคนที่กลุ่มรุมนางอยู่พอดี จงรั่วปิงมองด้วยหางตา ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว
“ข้าคือเสี่ยวกวน เป็นคนขององค์ชายสี่ มาตามหาแม่นางเยี่ยเม่ย พวกเจ้ารีบปกป้องแม่นางจง!” เสี่ยวกวนสั่งการทันที
“ขอรับ!” องครักษ์เงาด้านหลังเขารีบลงมือทันที…
……
ในเวลานี้เอง
รถม้าของเป่ยเฉินอี้หยุดลง เยี่ยเม่ยเปิดตาออก ถามขึ้นว่า “ถึงแล้วหรือ”
“อืม ถึงแล้ว” เป่ยเฉินอี้ตอบรับ
เยี่ยเม่ยเลิกผ้าม่านออก “นี่คือที่ไหน”
“ที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง!”